หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 406 หงายไพ่หรงเฟย
ตอนที่ 406 หงายไพ่หรงเฟย
เรื่องที่หรงเฟยกลับมาเป็นที่โปรดปรานอีกครั้งได้สร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ให้กับวังหลัง ได้ยินว่าคืนนั้นพระสนมกุ้ยเฟยโมโหจนหมดสติไปเลยทีเดียว นางสู้ทนมาเป็นสิบปี ถึงแม้จะไม่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ แต่ก็เป็นฮองเฮาที่ไร้มงกุฎ แต่เรื่องที่กระทั่งฮองเฮาไร้มงกุฎยังทำไม่ได้ หรงเฟยกลับทำได้ นางเดือดดาลจนล้มป่วย พระสนมทั้งหลายที่เคยทำให้หรงเฟยไม่พอใจก็ตกใจจนล้มป่วยเช่นกัน วังหลังอลหม่านกันไปหมด
แน่นอนว่านั่นคือเรื่องในอนาคต มาพูดถึงเรื่องปัจจุบันกันดีกว่า
ตั้งแต่หรงเฟยหกล้มตกเนินเขาลงมา ตามตัวนางมีบาดแผลเต็มไปหมด หมอหลวงมีแต่บุรุษ จึงไม่สะดวกจะตรวจรักษาให้ ฮ่องเต้จึงเรียกตัวเฉียวเวยเข้าวังกลางดึกคืนนั้นเลย
เฉียวเวยหิ้วกล่องยาเข้าไปในตำหนักกานลั่ว
ตำหนักกานลั่วไม่เสียแรงที่เป็นตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ ใหญ่โตกว่าตำหนักฉางฮวนมากนัก อุทยานเล็กอุทยานน้อยมีไม่ต่ำกว่าเจ็ดแปดแห่ง ภายในอุทยานมีทั้งบ่อน้ำทั้งก้อนหิน ต้นไม้ดกหนา ตำแหน่งศาลารับลมหอสูงมีการจัดวางอย่างวิจิตร คนไม่รู้ยังคิดว่าเข้ามายังแดนฟ้าแดนสวรรค์
“ฮูหยิน ถึงแล้วขอรับ” ฝูกงกงหยุดอยู่หน้าหอสูงแห่งหนึ่ง
เฉียวเวยดึงสายตามองสำรวจไปรอบด้านของตนแล้วพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเดินขึ้นบันไดไป
ฝูกงกงยืนอยู่ด้านนอก เอ่ยรายงานเสียงเบาว่า “ฝ่าบาท จีฮูหยินมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ให้เข้ามา”
“พ่ะย่ะค่ะ” ฝูกงกงแหวกเปิดม่านให้เฉียวเวย “ฮูหยิน เชิญ”
เฉียวเวยก้าวเข้าไปด้านใน กลิ่นไม้จันทร์หอมฟุ้งเตะจมูก เฉียวเวยเดินเข้าไปสายตามองตรงไปข้างหน้า ก่อนจะเจอกับผ้าม่านอีกชั้นหนึ่ง มีนางกำนัลเปิดม่านไข่มุกให้นางอย่างใส่ใจ
นางพยักหน้าเล็กน้อย
นางกำนัลค้อมกาย
ตอนที่เดินผ่านม่านไข่มุกชั้นที่ห้านั้น ในที่สุดเฉียวเวยก็ได้เห็นพระแท่นมังกรในตำนานเสียที เป็นอย่างที่เล่าลือกันจริงๆ เสียด้วย เหลืองทองอร้าอร่าม ทั้งกว้างทั้งใหญ่ ผ้าม่านสีเหลืองสดที่ห้อยลงมาจากด้านบนถูกนางกำนัลดึงไปเกี่ยวไว้ด้านข้าง
ฮ่องเต้ประทับนั่งอยู่ข้างเตียง หรงเฟยนอนอยู่ข้างกายพระองค์ ท่าทางดูผ่านเรื่องทุกข์ยากมาเหลือคณานับทีเดียว
หากเอ่ยถึงเพียงเรื่องรูปลักษณ์ หรงเฟยถือว่าแค่เพียงหมดจด แต่เวลาได้ทิ้งร่องรอยเอาไว้บนใบหน้านาง เลยยิ่งบั่นทอนความงดงามลงไปอีก แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ก็ไม่เห็นว่าฮ่องเต้จะทรงรังเกียจนาง เห็นได้ว่าฮ่องเต้มิใช่คนที่ลุ่มหลงในหญิงงาม
เฉียวเวยทำความเคารพตามกฎระเบียบ “ถวายบังคมฝ่าบาท ถวายบังคมพระสนมหรงเฟย”
ฮ่องเต้ยกมือขึ้นบอกให้เฉียวเวยลุกขึ้น “เรียกเจ้ามาดึกดื่นป่านนี้ หมิงซิวคงไม่ไม่พอใจกระมัง ข้าได้ยินว่าหลายวันนี้เขาไม่สบาย เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
เฉียวเวยคลี่ยิ้ม เอ่ยด้วยสีหน้าคงเดิมว่า “ไปโดนลมเย็นยามดึกเข้าเลยเป็นหวัดน่ะเพคะ พักไม่กี่วันก็หายดีแล้ว”
ฮ่องเต้พยักหน้า “ไม่เป็นอะไรมากก็ดี มา เจ้ามาดูอาการให้หรงเฟยที”
พระองค์พูดพลางขยับหลบให้
เฉียวเวยเดินเข้าไปเงียบๆ วางกล่องยาลงตรงเก้าอี้หน้าเตียง มองหรงเฟยที่สองตาปิดสนิทแล้วเอ่ยว่า “พระสนมหรงเฟย ข้ามาดูอาการให้ท่านนะเพคะ”
หรงเฟยเผยอเปลือกตาขึ้น ส่งยิ้มอย่างอ่อนแรง “ลำบากจีฮูหยินแล้ว”
เฉียวเวยดึงมือนางไป ลูบฝ่ามือกับปลายนิ้วของนาง “มือของพระสนมออกเย็นเล็กน้อย”
ฮ่องเต้พลันขมวดคิ้ว
ฝูกงกงตาไว เดินเข้ามาทันที ไม่นานก็ถือถุงอุ่นเข้ามา อันหนึ่งใช้อุ่นมือ อีกอันหนึ่งใช้อุ่นเท้า
เฉียวเวยจับชีพจรให้หรงเฟย แล้วตรวจดูบาดแผล “ตามตัวพระสนมมีแผลถลอกอยู่ไม่น้อย ล้วนเป็นแผลภายนอก ไม่หนักหนาอะไร ฝ่าบาทกับพระสนมโปรดวางใจ นอกจากนี้พระสนมสลบไปในที่ที่มีไอเย็นทั้งคืน เนื้อตัวจึงร้อนเล็กน้อย จำต้องกินยาเพื่อให้คลายไอร้อนที่ตัวออกก่อนถึงจะดีเพคะ”
ฮ่องเต้รีบตรัสว่า “เจ้ารีบเขียนใบยาเถิด!”
เฉียวเวย “หาได้จำเป็นต้องเขียนใบสั่งยาใหม่ไม่ ไฉหูลดไข้ของสำนักหมอหลวงก็ได้ผลดีมากแล้วเพคะ”
ฮ่องเต้จึงหันไปสั่งฝูกงกง “รีบไปเอายาไฉหูมา!”
“พ่ะย่ะค่ะ!” ฝูกงกงรีบเดินฉิวออกไปทันที
เฉียวเวยหยิบยาสมานแผลธรรมดาทั่วไปออกมาจากกล่องยา “นี่คือยาสรรพคุณพิเศษจากหอหลิงจือ ออกฤทธิ์กับบาดแผลภายนอกได้ดียิ่งนัก พระสนมทาทุกวันเช้าเย็น ไม่เกินสามวันห้าวันก็จะหายดีเพคะ”
นางกำนัลข้างกายหรงเฟยรับขวดยาไป
หรงเฟยเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ขอบคุณมาก”
“พระสนมเกรงใจแล้ว” เฉียวเวยเก็บข้าวของแล้วปิดกล่องยา “พระสนมเป็นกังวลมากเกินไป หากคิดจะกลับมาแข็งแรงดังเก่า ควรหยุดความคิดวุ่นวายในหัวจะดีที่สุดนะเพคะ”
“เป็นกังวลมากเกินไป?” ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว
ดวงตาหรงเฟยพลันหดตัว
เฉียวเวยบอกว่า “ใช่แล้วเพคะ การที่ท่านยิ่นอ๋องประสบเหตุมีอันต้องเข้าไปอยู่ในคุกทำให้พระสนมทุกข์ใจยิ่งนัก หากเป็นเช่นนี้นานวันเข้า ร่างกายจะแข็งแรงได้อย่างไร”
สีพระพักตร์ฮ่องเต้ดูย่ำแย่ไปเล็กน้อย
เฉียวเวยแสร้งทำท่าถอนหายใจ “หม่อมฉันขอพูดตามตรง วันนั้นที่หม่อมฉันไปเยี่ยมยิ่นอ๋องในคุก ท่าทางเขาดูเหมือนมีเรื่องลำบากใจอย่างหนัก เพียงแต่ว่า… เขาไม่สู้อยากจะบอกแก่หม่อมฉันเท่าไรนัก พระสนมหรงเฟยลองเกลี้ยกล่อมเขาหน่อยดีหรือไม่ ยิ่นอ๋องจะต้องฟังพระสนมแน่เพคะ!”
หรงเฟยกำมือแน่น
เฉียวเวยมองนางด้วยสายตาเยือกเย็น รู้สึกผิดรึยัง หรงเฟย?
ฮ่องเต้กลับเห็นว่าความคิดของเฉียวเวยไม่เลว ถึงแม้เขาจะไม่ชอบหน้าบุตรชายผู้นั้นนัก แต่กลับไม่คิดเชื่อว่าเขาจะสมคบคิดกับคนเยี่ยหลัว หากเขาทำไปเพราะความลำบากใจจริง…จะเห็นแก่มารดาของเขา ยอมให้อภัยเขาสักครั้งก็ได้
หรงเฟยหันไปมองเฉียวเวย เฉียวเวยระบายยิ้มหวาน หรงเฟยแค่เพียงเหยียดยิ้มบางๆ เฉียวเวยหันไปทางอื่นแล้ว รอยยิ้มนางก็ยังค้างอยู่ตรงมุมปาก
ฮ่องเต้รับสั่งให้คนไปเอาตัวยิ่นอ๋องมาจากในคุกทันที
ชีวิตในคุกของยิ่นอ๋องเป็นไปอย่างยากลำบาก ตามเนื้อตัวมีแต่รอยเลือดให้เห็น ปลายนิ้วบวมเป่ง ริมฝีปากแตกระแหง เขาไม่มีแรงกระทั่งลุกขึ้นยืน ทำได้เพียงปล่อยให้องครักษ์รูปร่างกำยำหิ้วปีกเอาไว้อย่างนั้น
พอได้เห็นสภาพยิ่นอ๋อง น้ำตาของหรงเฟยก็หยดแหมะลงมาทันที “ยิ่นเอ๋อร์…”
ฮ่องเต้ไม่พอพระทัยยิ่งนัก มององครักษ์สองนายนั้นด้วยสายตาเย็นยะเยือก ข้าให้พวกเจ้าทำทุกวิธี พวกเจ้าก็ทำทุกวิธีจริงๆ อย่างนั้นหรือ ไม่รู้หรือว่าเขาเป็นองค์ชายน่ะ!
องครักษ์ถูกฮ่องเต้จ้องเขม็งจนขาสั่นระริก…
พวกเจ้าดูเอาแล้วกัน อยู่ในตำแหน่งนี้เอาแน่เอานอนไม่ได้เพียงใด
ยามฮ่องเต้กำลังเลือดขึ้นหน้า ก็สั่งให้พวกเขาซ้อมบุตรชายอย่างเอาเป็นเอาตาย พวกเขาก็ปฏิบัติตามคำสั่งไม่มีบิดพริ้ว แต่พอความโกรธหายไป ก็มากล่าวโทษว่าพวกเขาหนักมือไปเสียอีก…
ความโกรธของฮ่องเต้หายไปกว่าครึ่งตั้งแต่ได้ยินเฉียวเวยบอกว่ายิ่นอ๋องดูมีท่าทีทุกข์ใจแล้ว เวลานี้เมื่อได้เห็นสภาพของบุตรชาย ความโกรธอีกครึ่งหนึ่งก็หายไป จนเหลือเพียงความหงุดหงิดใจเพียงเล็กน้อยที่ “หากเจ้าพูดความลำบากใจของเจ้าออกมา ข้าก็จะไม่ถือสาเรื่องในอดีตอีก”
“ได้ยินว่าเจ้าลำบากใจอย่างหนัก” ฮ่องเต้เอ่ยเสียงขรึม “เจ้าลองว่ามาสิ หากมีเหตุผล ข้าจะยอมให้อภัยเจ้า”
หรงเฟยกำผ้าเช็ดหน้าแน่น จับจ้องไปที่ยิ่นอ๋องไม่วางตา
ยิ่นอ๋องกลับไม่มองนางเลย เขาไม่มองเฉียวเวยด้วย ยิ่งฮ่องเต้ยิ่งไม่มองเข้าไปใหญ่ เขาเอาแต่ก้มหน้าก้มตา พอได้ยินที่ฮ่องเต้ตรัส หัวไหล่เขาก็สั่นเล็กน้อย หางตาเหลือบมองไปทางเฉียวเวย คล้ายในที่สุดก็ตัดสินใจบางอย่างได้ จึงเอ่ยปากอย่างยากลำบากว่า “กระหม่อม…”
หรงเฟยมองบุตรชายด้วยใจตระหนก
เฉียวเวยก็พลอยตื่นเต้นตามไปด้วย
เรื่องนี้จะชนะหรือแพ้ขึ้นอยู่กับตัวเขาแล้ว ขอเพียงเขายอมเอ่ยปากกล่าวโทษหรงเฟย ความพยายามทั้งหมดของหรงเฟยก็จะเป็นอันสูญเปล่า
“ไม่มีอะไรลำบากใจพ่ะย่ะค่ะ”
เขาตอบอย่างสุภาพ
หรงเฟยสีหน้าพลันโล่งอก ค่อยๆ เอนหลังพิงหมอนด้านหลัง
เฉียวเวยเบิกตาโตอย่างไม่อยากเชื่อ มาถึงขั้นนี้แล้ว เขายังจะปิดบังให้หรงเฟยอีกหรือ เขาไม่รู้หรือว่าหรงเฟยกำลังใช้ประโยชน์จากเขา ต่อให้หรงเฟยเป็นมารดาแท้ๆ ของเขาก็เถิด เขาก็ไม่ต้องทำถึงขั้นนี้กระมัง! เขาไม่กลัวฝ่าบาทจะสั่งประหารเขาจริงๆ หรือ!
โทสะที่อุตส่าห์คลายลงแล้วของฮ่องเต้พลันปะทุขึ้นมาอีกครั้ง “ที่เจ้าพูดมาเป็นความจริงหรือ”
ยิ่นอ๋องกล่าวว่า “จริงแท้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ทรงกริ้วจนทิ้งตัวไปด้านหลัง แน่นอนว่าพระองค์ไม่มีทางคิดว่าเฉียวเวยกำลังโกหก เจ้าเด็กนี่ทั้งๆ ที่มีเรื่องในใจแท้ๆ แต่เป็นตายอย่างไรกลับไม่ยอมเอ่ยปากบอกเขา!
เขาเป็นเสด็จพ่อเขาเชียวนะ!
กระทั่งเสด็จพ่อก็ยังไม่ไว้ใจอีกหรือ!
เจ้ายังจะไว้ใจผู้ใดอีก!
มาถึงเวลานี้ สาเหตุความโกรธของฮ่องเต้เอนเอียงไปแล้ว แต่ก็ยังทรงกริ้วอยู่ “ข้าจะบอกเจ้าให้เข้าใจไว้นะ มีคนเห็นเต็มสองตาว่าคนที่ขโมยคัมภีร์ลึกลับไปไม่ใช่เจ้า หากเจ้าไม่ยอมสารภาพออกมา เช่นนั้นข้า…ก็จะถือว่าเจ้าสมคบคิดกับคนเยี่ยหลัวจริงๆ! ความผิดนี้…เพียงพอให้ข้าประหารเจ้านับร้อยครั้ง!”
“ฝ่าบาท!” หรงเฟยพาเอาร่างกายที่อ่อนแอเดินเข้าไปทรุดลงคุกเข่าต่อหน้าฮ่องเต้ นางเอ่ยขอร้องว่า “ฝ่าบาท เขาอายุยังน้อยไม่ประสา พระองค์โปรดไว้ชีวิตเขาด้วยเถิด! พระองค์ให้เวลาเขาอีกสักนิด…หากเขาคิดได้แล้ว…ก็ย่อมต้องพูดออกมาเอง…”
ฮ่องเต้ตรัสเสียงเย็นว่า “อายุน้อยไม่ประสา? เขาเป็นพ่อของเด็กตั้งสามคนแล้วนะ!”
หรงเฟยน้ำตาไหลนองหน้า “เป็นเพราะหม่อมฉันสั่งสอนเขาไม่ดีเอง…ฝ่าบาทหากพระองค์จะลงโทษ…ก็ได้โปรดลงโทษหม่อมฉันเถิด…”
หากไม่รู้ความจริงมาก่อน เฉียวเวยคงซาบซึ้งไปกับความรักระหว่างแม่ลูกนี้แล้ว คราแรกตอนที่ใช้ประโยชน์จากบุตรชาย เหตุใดจึงไม่คิดบ้างว่าวันนี้จะมาถึง
“ฝ่าบาท…” หรงเฟยเอ่ยกับฮ่องเต้ด้วยน้ำตากลบตา
ฮ่องเต้ถึงอย่างไรก็ยังทำใจแข็งกับหรงเฟยไม่ได้ พระองค์ถอนหายใจด้วยความหนักอกและจนใจ “เจ้าไปพักผ่อนก่อนเถิด วันนี้ข้า…ไม่เอาชีวิตเขาหรอก”
หรงเฟยทำความเคารพด้วยความซึ้งใจ แล้วจึงออกไปพร้อมกับฝูหลิง
เฉียวเวยมองตามแผ่นหลังนางไป สายตาสั่นไหวเล็กน้อย “ฝ่าบาท ข้ามีเรื่องอยากเอ่ยกับพระสนมหรงเฟยเพคะ”