หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 431 ล่องูออกจากถ้ำ (1)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 431 ล่องูออกจากถ้ำ (1)
ตอนที่ 431 ล่องูออกจากถ้ำ (1)
วันต่อมา ปี้เอ๋อร์ก็กลับมายังบ้านชิงเหลียนพร้อมหน้าตาแช่มชื่น พอเห็นหน้าตาเบ่งบานเป็นประกายของนาง เฉียวเวยก็รู้ว่าเฝิงซื่อเห็นด้วยให้นางกับเสี่ยวเว่ยแต่งงานกันแล้ว
นิสัยอย่างเฝิงซื่อที่ในสายตามีแต่บุตรชายไม่เคยมีปี้เอ๋อร์นั้น เฉียวเวยยังคิดว่านางจะแกล้งอะไรเสี่ยวเว่ยสักหน่อยก่อนแล้วถึงค่อยตกลงกับการแต่งงานครั้งนี้
อันที่จริงถึงแม้เฉียวเวยจะเดาไม่ถูกทั้งหมด แต่ก็ไม่ต่างจากนี้มากนัก
เฝิงซื่อเคยอยู่ในป่ามาก่อน นางรู้จักเสี่ยวเว่ย ตอนนางเห็นคนงานตัวเล็กๆ ของโรงงานถึงขั้นมาสู่ขอบุตรสาวที่ราวกับหัวแก้วหัวแหวนของนาง ไม่ต้องบอกเลยว่าใจนึกรังเกียจเพียงใด!
บุตรสาวของนางเป็นสาวใช้ข้างกายฮูหยินอัครเสนาบดี ฐานะของนางสูงส่งกว่าคุณหนูตระกูลใหญ่ๆ เหล่านั้นเสียอีก ใช่คนที่ยาจกคนหนึ่งจะคู่ควรกับนางหรือ!
รู้หรือไม่ว่าหลังจากนางป่าวประกาศเรื่องบุตรสาวของนางไปทำงานที่จวนอัครเสนาบดีออกไป คนที่มาสู่ขอแทบจะเหยียบธรณีประตูบ้านนางจนพังราบไปแล้ว เป็นนางที่เลือกมากจนตาลายไปหมด ถึงได้ชักช้าไม่ตัดสินใจเสียที
แต่ต่อให้นางไม่ตัดสินใจเลือกคนอื่นไม่ได้ แต่นางจะยกประโยชน์ให้เจ้าเด็กป่าคนนี้ไปไม่ได้!
ในขณะที่เฝิงซื่อกำลังจะไล่ตะเพิดเสี่ยวเว่ยออกไปนั้น โจรป่าสิบกว่ายี่สิบคนที่อยู่ในชุดโจรป่าผุๆ ขาดๆ ก็ถือขวานสนิมเกรอะเข้ามาพร้อมกับเอาของหมั้นยกเข้ามาในห้องด้วยหน้าตาดุดัน!
น้องชายของปี้เอ๋อร์ตกใจจนร้องไห้ไปเลย
เป็นโจรป่าหนึ่งวันเท่ากับเป็นไปชั่วชีวิต พวกเขาภูมิใจกับความเป็นโจรป่าของตน วันนี้น้องเล็กของรังโจรจะแต่งงานรับโจรป่าคนใหม่เข้ามา พวกเขาจำต้องใช้พิธีการอย่างโจรป่าที่สุดในการเอาสินสอดมาสู่ขอ
พิธีการนี้ก็ได้ผลเอามากๆ เสียด้วย
เดิมทีแม่ฝ่ายเจ้าสาวรังเกียจเสี่ยวเว่ยมาก แต่พอได้เจอพวกเขาก็แทบอยากจะดึงเสี่ยวเว่ยเข้าไปกอด!
จะไม่ให้ดึงเข้าไปกอดได้อย่างไร ตกใจจนฉี่จะราดอยู่แล้ว…
สุดท้ายของท้ายสุด เฝิงซื่อก็อนุญาตให้ปี้เอ๋อร์แต่งงานกับเสี่ยวเว่ยด้วยความเต็ม (ตก) ใจ (ใจ)
…
วันนี้ประชุมราชการเช้าไม่มีประเด็นสำคัญ ฮ่องเต้ก็บอกเลิกประชุมแต่หัววัน จีหมิงซิวพอเสร็จประชุมไม่ได้ไปที่สำนักอัครเสนาบดีในส่วนพระราชฐานชั้นนอก แต่ขึ้นนั่งรถม้ากลับตระกูลจี
เฉียวเวยกำลังตัดแต่งดอกไม้อยู่ในสวน ระหว่างที่ตัดก็ใจเหม่อลอย จีหมิงซิวเดินมาถึงข้างหลังแล้วก็ยังไม่รู้สึกตัว
จีหมิงซิวจับผมนุ่มลื่นของนางขึ้นมาปรอยหนึ่งแล้วใช้ปลายผมปัดหน้านาง “ยืนเหม่ออะไรอยู่ ใจลอยเพียงนี้เชียว”
เฉียวเวยสติกลับเข้าร่าง ยกมือขึ้นนวดแก้มที่ถูกเขาแกล้งจนคันยิบๆ “ท่านกลับมาแล้วหรือ วันนี้เร็วเพียงนี้เชียว”
จีหมิงซิวหัวเราะเบาๆ “ไม่มีเรื่องอะไรก็เลยกลับมาก่อน เมื่อครู่เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่หรือ”
เฉียวเวยเหลือบมองพวกปี้เอ๋อร์สามคนที่กำลังพูดคุยกันอย่างหน้าชื่นตาบานแล้วกระซิบบอกว่า “ข้ากำลังคิดว่าคนผู้นั้นใช่ฟู่เสวี่ยเยียนหรือไม่ ข้าควรหาวิธีการใดมาลองเชิงนางดี”
“เรื่องนี้ไม่ง่ายออกหรือ” จีหมิงซิวกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูนาง
เฉียวเวยพลันได้ความกระจ่าง เอ่ยกับเขาด้วยความยินดีว่า “ความคิดดีนี่ เหตุใดข้าถึงคิดไม่ได้นะ ท่านถือไว้ก่อน ข้าจะไปที่สถานศึกษา!”
พูดจบนางก็เอาบัวรดน้ำยัดใส่มือจีหมิงซิว
จีหมิงซิวกลับสูดได้แต่อากาศเย็นๆ เขาวางงานในมือเพื่อกลับมาอยู่เป็นเพื่อนนาง นางกลับดีด ทิ้งเขาให้อยู่บ้านคนเดียวเสียได้!
“จิ่งอวิ๋นยังไม่เลิกเรียนเลยนะ”
เฉียวเวยโบกมือให้ว่อน “ข้ารู้! ข้าจะรอ!”
จีหมิงซิวถอนหายใจ ข่มความอยากจับตัวใครบางคนกลับมาสั่งสอนให้หนักสักรอบเอาไว้ “ข้าไปด้วย!”
พวกเขาขึ้นนั่งรถม้าออกจากจวน พอตกเย็นก็พาซาลาเปาทั้งสองไปที่จวนยิ่นอ๋อง
ตอนออกมา หน้าจิ่งอวิ๋นที่อุตส่าห์ยุบลงไปแล้วกลับมากลายเป็นกระรอกอีกครั้ง ส่วนในมือเฉียวเวยกลับมีธนูคันหนึ่งเพิ่มเข้ามา
ตกดึก เฉียวเวยจัดโต๊ะอาหารกินเลี้ยงที่บ้านชิงเหลียน เพื่อฉลองให้กับการหมั้นหมายระหว่างปี้เอ๋อร์กับเสี่ยวเว่ย ท่านน้ากับฟู่เสวี่ยเยียนก็ได้รับเชิญมาเช่นกัน
สถานที่จัดงานอยู่ในสวนด้านหลัง มีทั้งหมดสี่โต๊ะ โต๊ะหญิงรับใช้หนึ่งโต๊ะ สาวใช้หนึ่งโต๊ะ ปี้เอ๋อร์ เยียนเอ๋อร์ ฉานเฮ่อร์ เฉี่ยวหลิงกับซิ่งฉินที่เป็นสาวใช้ขั้นสูงหนึ่งโต๊ะ อีกโต๊ะที่เหลือก็คือพวกเฉียวเวย
เด็กน้อยสามคนนั่งกันไม่ติดที่ ไม่นานพอกินข้าวอิ่มก็วิ่งไปเล่นของพวกตนแล้ว
วั่งซูมีธนูอยู่คนหนึ่ง เรื่องนี้ทุกคนรู้ดี แต่ว่าวันนี้ในมือจิ่งอวิ๋นก็มีเพิ่มเข้ามาคันหนึ่งเช่นกัน
ธนูสองคันหน้าตาเหมือนกันราวกับแกะ แทบจะเรียกได้ว่าลอกแบบกันมาเลยทีเดียว
สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนกันก็คือ ธนูคันนั้นดูจะหนักประมาณหนึ่งสำหรับจิ่งอวิ๋น เขายกขึ้นมาไม่ไหวด้วยซ้ำ ได้แต่วางเล่นอยู่กับพื้น
ใต้เท้าเจ้าสำนักกะพริบตาคู่งามของตนแล้วถามอย่างไม่เข้าใจว่า “ทำไมจิ่งอวิ๋นถึงมีธนูจันทร์โลหิตด้วยล่ะ ของเลียนแบบหรือ”
น้องสาวมีธนู พี่ชายกลับไม่มี จะทำของเลียนแบบขึ้นมาให้พี่ชายเล่นก็ดูจะพออธิบายได้
ทุกคนได้ยินที่เขาบอกก็พากันหันไปมองธนูในมือจิ่งอวิ๋น
องค์ชายสามเบิกตาโตด้วยความตกใจ “เหตุใดถึงมีธนูจันทร์โลหิตสองคันได้”
สายตาของเฉียวเวยมองผ่านใบหน้าฟู่เสวี่ยเยียนไป นัยน์ตาฟู่เสวี่ยเยียนก็มีประกายประหลาดแวบผ่านเช่นกัน เพียงแต่ว่านางจะตกใจที่ในโลกนี้มีธนูจันทร์โลหิตสองคันหรือเพราะธนูจันทร์โลหิตคันที่สองมาอยู่ในมือจิ่งอวิ๋น นางก็ไม่อาจรู้ได้แล้ว
เฉียวเวยระบายยิ้มเอ่ยว่า “เดิมทีธนูจันทร์โลหิตมีเห็นคู่ ในมือราชครูคันหนึ่ง ส่วนอีกคันหนึ่ง…”
พอพูดถึงตรงนี้เฉียวเวยก็ตั้งใจเว้นวรรคไป ก่อนจะพูดต่อยิ้มๆ ว่า “อีกคันหนึ่งอยู่ในมือหรงเฟย”
“หรงเฟย?” พระสนมต้าเหลียงของพวกเจ้าเหตุใดถึงมีธนูของพวกเราชาวเยี่ยหลัวได้” องค์ชายสามเป็นคนที่ข่าวคราวมาไม่ถึงตัวที่สุดในบรรดาพวกเขาแล้ว จึงไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วหรงเฟยเป็นสายลับ และยิ่งไม่รู้เลยว่าหลายวันนี้เกิดเรื่องอะไรกับหรงเฟยบ้าง
ฮองเฮาเยี่ยหลัวกับใต้เท้าเจ้าสำนักและฟู่เสวี่ยเยียนกลับรู้ดี เพียงแต่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่าง “หรงเฟย” ใช้ธนูยิงเฉียวเวย เฉียวเวยยังไม่ได้บอกกล่าวให้พวกเขารู้
วันนี้ได้เวลาควรเปิดเผยได้แล้ว
เฉียวเวยจึงบอกว่า “หรงเฟยเป็นสายลับของเยี่ยหลัว นางถูกจับได้แล้ว นางยังเคยใช้ธนูจันทร์โลหิตยิงข้า ซึ่งก็คือครั้งนั้น ข้าถึงได้รู้ว่าในโลกนี้แท้จริงแล้วมีธนูจันทร์โลหิตอยู่สองคันด้วยกัน”
“เจ้าเคยบาดเจ็บ?” ใต้เท้าเจ้าสำนักจับแขนเฉียวเวยมาดูด้วยความตกใจ
อีตานี่ปากเสียไร้น้ำใจ แต่ในช่วงสำคัญก็ยังรู้จักเป็นห่วงตน นับว่าไม่เสียแรงที่เคยแกล้งเขามา เฉียวเวยบอกว่า “ไม่เป็นอะไรแล้ว”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเลยส่งเสียงเหอะเย็นๆ แล้วปล่อยมือ
องค์ชายสามบอกว่า “พวกเจ้าเองก็ส่งสายลับสองคนไปที่เยี่ยหลัวเหมือนกันนี่!”
เฉียวเวย “…”
เจ้าพูดเช่นนี้ไม่กลัวจะถูกบิดาแท้ๆ ของเจ้าตีตายเอาหรือ…
“ธนูสองคันนี้ คันไหนร้ายกาจกว่ากัน” ใต้เท้าเจ้าสำนักถามด้วยความสนใจ
ฟู่เสวี่ยเยียนยกชาจิบ
จีหมิงซิวเหลือบมองนางด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เฉียวเวยผายมือออก “ข้าก็ไม่รู้สิ ข้าไม่เคยลองเสียด้วย”
“เจ้าเด็กอ้วน!” ใต้เท้าเจ้าสำนักวางชามกับตะเกียบลง แล้วเดินปรี่เข้าไปหาวั่งซู เขาจับต้าไป๋กับเสี่ยวไป๋วางลงบนโต๊ะหินแล้วจับธนูสองคันยัดใส่มือวั่งซู “เอ้า ลองยิงซิ”
ต้าไป๋ “…”
เสี่ยวไป๋ “…”
สุดท้ายแน่นอนว่าเป็นใต้เท้าเจ้าสำนักที่ถูกอัดเสียน่วม!
สัตว์ตัวเล็กอย่างพวกข้าไม่ใช่อะไรที่จะรังแกกันได้ง่ายๆ นะ!
งานนี้ทั้งฉลองที่ปี้เอ๋อร์หมั้นหมาย และฉลองที่หรงเฟยติดบ่วง ทุกคนเลยดื่มกันไปหลายจอก นอกจากฟู่เสวี่ยเยียนที่กำลังตั้งครรภ์เลยไม่สะดวกที่จะดื่มแล้ว คนอื่นๆ ก็กลับห้องกันไปพร้อมความเมามาย
ทั้งจีหมิงซิวและเฉียวเวยไม่ใช่คนคอแข็งด้วยกันทั้งคู่ พอได้ทิ้งตัวนอนลงบนฟูกนิ่มๆ ก็หลับกันไปอย่างไม่รู้ฟ้ารู้ตะวัน
“พวกเรา…ดื่มกัน…พอแล้วกระมัง” ดูสมจริงแล้วกระมัง เฉียวเวยถามเสียงอ้อแอ้
จีหมิงซิวตอบอื้ออย่างมึนเมาแล้วพูดต่อว่า “…ยา”
เฉียวเวยขยับพลิกตัวอย่างยากลำบาก นางยื่นมือไปดึงตู้ที่อยู่ตรงหัวเตียง ดึงอยู่นานก็เปิดไม่ออกเสียที “เหตุใด…มี…ตู้…สามใบได้”
“ข้าเอง…” จีหมิงซิวนวดขมับที่ปวดหนึบของตน ในขณะที่กำลังจะลุกขึ้นไปหานั้น เฉียวเวยก็เปิดตู้สำเร็จ “ได้แล้ว”
เฉียวเวยคลำหาในตู้อยู่นานในที่สุดก็ได้ยาสร่างเมามาเสียที จากนั้นก็เอามาแบ่งกินกับจีหมิงซิวกันคนละเม็ด
ผ่านไปครึ่งเค่อ ยาออกฤทธิ์แล้ว สมองที่เคยเบลอกระจ่างชัดขึ้นเล็กน้อย
เฉียวเวยมองผ้าม่านที่มีเม็ดลูกปัดห้อยอยู่แล้วถอนหายใจยาวออกมา “ท่านว่านางจะติดกับหรือไม่ หากเกิดนางไม่มาจะทำอย่างไร ความพยายามของพวกเราจะไม่เสียเปล่ากลายเป็นให้นางดูเล่นหรือ”
จีหมิงซิวนิ่งไปนาน เฉียวเวยคลำไปข้างตัวก็คลำไปเจอมือของเขา นางบีบมือนั้นเบาๆ “นี่ ท่านไม่เป็นอะไรกระมัง”
จีหมิงซิวยังคงไม่มีความเคลื่อนไหว
เฉียวเวยพลันขยับลุกขึ้นนั่ง ขมวดคิ้วมองสามีแล้วตบหน้าเขาเบาๆ “หมิงซิว หมิงซิว หมิงซิว!”
อีตานี่คอไม่เข็ง คงไม่ได้…ดื่มจนเป็นอะไรไปกระมัง
เฉียวเวยยื่นมือไปตรงจมูกเขา ไม่หายใจแล้วเสียด้วย!
เฉียวเวยใจเต็นระรัว เอามือไปจับตรงข้อมือเขา ชีพจรก็ไม่เต้นแล้ว…
หน้าเฉียวเวยพลันขาวซีด รีบก้มลงไปฟังเสียงหัวใจตรงหน้าอกเขา แล้วเหนือศีรษะก็มีเสียงขำคิกลอยมา ขำเสียตัวโยกเลยเสียด้วย กระทั่งไหล่กว้างก็ยังสั่นเบาๆ
“ท่านตั้งใจ?”
เฉียวเวยพลันหน้าบึ้งลง
จีหมิงซิวลุกขึ้นนั่ง อมยิ้มมองภรรยาแล้วเอ่ยอย่างน่าตีว่า “ดูท่าทางตกอกตกใจของเจ้าเข้า หากไม่มีข้าเจ้าก็คงอยู่ไม่ได้แล้วกระมัง”
เฉียวเวยผลักเขาออกทันที ตัวเขาเอนหงายไปข้างหลัง ก่อนที่เขาจะล้มลงไปนั้นเขาก็มือไวคว้ามือเฉียวเวยไว้ได้ เฉียวเวยเลยถูกเขาลากล้มลงบนเตียงไปด้วยกัน
เฉียวเวยถลึงตาใส่เขาด้วยความโมโห ในขณะที่นางกำลังจะยกขาขึ้นถีบนั้น ขายาวๆ ของเขาก็กดทับลงบนขาของเฉียวเวย แล้วใช้ฝ่ามือใหญ่ของตนจับข้อมือสองข้างของเฉียวเวยตรึงไว้เหนือศีรษะ หน้าตาเขามีความมึนเมาอันเย้ายวน มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย มองนางด้วยสายตาล้ำลึก
เฉียวเวยไม่พอใจเขาอย่างมาก แกลังกันอย่างนี้ได้ด้วยหรือ เมื่อครู่นางตกใจมากจริงๆ ยังคิดว่าเขาเป็นอะไรไปเสียอีก แต่ใครจะรู้ว่าเขาแสร้งทำเพื่อหลอกนาง!
มุมปากจีหมิงซิวยกขึ้น ก่อนจะก้มหน้าลงไปจูบนาง
ในขณะนั้นเอง ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้น
จีหมิงซิวพลันชะงัก
มาแล้ว
ทั้งสองรีบปลดม่านลง หาท่าเหมาะแล้วลงนอน
ประตูถูกผลักเปิด แสงไฟตรงทางเดินส่องเข้ามา
สายตาของทั้งสองมองผ่านโปร่งออกไปเห็นเป็นเงาตะคุ่มๆ เดินเข้ามา
อีกฝ่ายใส่เสื้อคลุมสีดำ สวมผ้าโปร่งปิดหน้ากับถุงมือสีเงิน
ธนูจันทร์โลหิตคันที่สองวางอยู่บนตู้ตรงหัวเตียงนั้นเอง
ใครคนนั้นเดินช้าๆ มาที่เตียง
เฉียวเวยกระชับกริชในมือ ในขณะที่อีกฝ่ายยื่นมือมาจะหยิบธนูจันทร์โลหิตไปนั้นก็พลันกระโดดออกจาผ้าม่านแล้วคุกเข้าหาอีกฝ่ายทันที!
บนตัวอีกฝ่ายพลันมีไออันน่าพรั่งพรึงแผ่ออกมา สายตาก็เปลี่ยนเป็นดุดัน มือที่กำลังจะคว้าธนูจันทร์โลหิตก็เปลี่ยนมาจับกริชของเฉียวเวยไว้
เดิมทีเฉียวเวยไม่ได้คิดจะปลิดชีพนางด้วยมีดเดียวอยู่แล้ว นี่เป็นเพียงการหลอกล่อ ต่อจากนี้ต่างหากถึงเป็นของจริง!
เฉียวเวยยื่นมืออีกข้างออกไปแล้วออกแรงกระตุกผ้าปิดหน้าของนาง!