หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 441-1 ได้รับการช่วยเหลือ สังหารราชันอสูร
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 441-1 ได้รับการช่วยเหลือ สังหารราชันอสูร
ตอนที่ 441-1 ได้รับการช่วยเหลือ สังหารราชันอสูร
สุดท้ายเฉียวเวยก็ไล่ตามไป พลังของธนูจันทร์โลหิตไม่ใช่สิ่งที่มีคนเพิ่มมาคนหนึ่งแล้วจะมีโอกาสชนะเพิ่มขึ้นหนึ่งส่วน เจ้าของขี้โกงชิ้นนี้ ไม่อาจใช้ตรรกะธรรมดามากะเกณฑ์ได้ หากพวกเขาคนใดคนหนึ่งชนะไม่ได้ ต่อให้รวมกันก็ยังพ่ายแพ้อยู่ดี นี่ก็คือจุดที่น่ากลัวที่สุดของธนูจันทร์โลหิต
ยิงถูกหนึ่งคน คนผู้นั้นต้องรับพละกำลังสิบส่วน ยิงถูกสองคน แต่ละคนก็ยังสัมผัสได้ถึงพละกำลังสิบส่วน ไม่ว่าอย่างไรก็แบ่งปันลดทอนไม่ได้
ใช่ว่าเฉียวเวยไม่เคยคิดถึงการลอบโจมตี แต่ด้วยพลังของสตรีนางนั้น การลอบโจมตีไม่มีความหมายมากมายนัก ไม่สู้ไล่ตามเด็กๆ ไปดีกว่า หากโชคดี บางทีอาจจะตามกลับมาได้สักคน
ชั่วพริบตาที่เฉียวเวยก้าวเท้าออกวิ่ง นางก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าคันธนูในมืออีกฝ่ายขยับ
ช่วงเวลาที่เฉียวเวยคิดว่าตนเองจะต้องทนรับลูกธนูแล้วอย่างแน่นอน เงาร่างของจีหมิงซิวก็ขยับวูบเข้ามาบังนางไว้จนมิด แล้วรับ ‘ลูกธนู’ ดอกนั้นเอาไว้แทน
เฉียวเวยได้ยินเสียงครางหนักๆ หนหนึ่ง นางอยากจะหันหลังกลับไป แต่สุดท้ายก็กำหมัดแน่น วิ่งออกไปเร็วกว่าเดิม!
“เจ้าไม่กลัวตายเลยนะ”
เสียงประหนึ่งมารร้ายดังมาจากด้านหลัง นิ้วมือของเฉียวเวยแทบจะจิกเข้าไปในเนื้อ
ตอนนี้ยังสู้นางไม่ได้ แต่ต้องมีสักวันหนึ่ง…ต้องมีสักวันหนึ่งนางจะเหยียบอีกฝ่ายอยู่ใต้ฝ่าเท้า ให้นางรู้จักรสชาติของการถูกผู้อื่นเหยียบย่ำเสียบ้าง!
หลังจากตั้งเป้าหมายแน่วแน่แล้ว เฉียวเวยก็สลัดความคิดว้าวุ่นทิ้ง ใจจดจ่อแต่การไปตามหาคน
ฟู่เสวี่ยเยียนกับชางจิวมุ่งหน้าไปคนละทิศ ไม่ว่าฝ่ามือหรือหลังมือก็ล้วนแต่เป็นเนื้อ ไม่ว่าจะทอดทิ้งคนใดเฉียวเวยก็ลำบากใจ แต่นางดันต้องมาพบเจอกับการเลือกเช่นนี้
นางสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วไล่ตามไปยังทิศทางที่ฟู่เสวี่ยเยียนหนีไป
ไม่ใช่ว่านางไม่อยากช่วยจิ่งอวิ๋น ความจริงแล้วเพียงนึกถึงใบหน้าน้อยที่คาดหวังดวงนั้น หัวใจของนางก็เจ็บปวดแล้ว!
แต่นางอับจนหนทางจึงไม่อาจเลือกทางนั้นได้
แต่เดิมวรยุทธ์ของฟู่เสวี่ยเยียนกับชางจิวก็สูสีคู่คี่กันอยู่แล้ว ทว่าฟู่เสวี่ยเยียนตั้งครรภ์อยู่ จึงใช้วิชาตัวเบาได้ไม่มากนัก ยิ่งมีเจ้าลูกตุ้มน้อยวั่งซูอยู่ด้วย ฟู่เสวี่ยเยียนอยากจะหนีก็คงหนีไปไกลลำบาก แต่ชางจิวไม่เหมือนกัน จิ่งอวิ๋นน่ะอุ้มอยู่กับตัวก็รู้สึกเหมือนไม่ได้อุ้มอะไรเลย แล้วตัวเขาก็ยังใช้วรยุทธ์ได้ถึงเจ็ดแปดส่วน โอกาสที่เฉียวเวยจะไล่ตามไปทันจึงน้อยลงมาก
บิดาของเด็กๆ กำลังใช้ชีวิตซื้อเวลามาให้อยู่
นางไม่ต้องการให้สุดท้ายนางไล่ตามชางจิวไม่ทัน แล้วพอวกกลับมาตามหาฟู่เสวี่ยเยียน ฟู่เสวี่ยเยียนก็หายไปไม่เห็นร่องรอยแล้ว
หากเป็นเช่นนั้นการเสียสละทั้งหมดย่อมสูญเปล่าแล้วจริงๆ
จิ่งอวิ๋น แม่ขอโทษ…
ท่ามกลางความมิดมิด จิ่งอวิ๋นถูกชางจิวอุ้มอยู่ในอ้อมแขน ตอนที่เขาเห็นมารดาไล่ตามมา ในหัวใจเขาเต็มไปด้วยความยินดีท่วมท้น เขาเอื้อมมือน้อยออกไปหามารดาอย่างคาดหวัง ทว่าตอนนั้นเองมารดาก็ขยับเท้าเลี้ยวไปอีกทางหนึ่ง
เขาอดกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป มือน้อยยกขึ้นป้ายขอบตา ร่ำไห้อย่างโศกเศร้าเสียใจ
…
หัวใจของเฉียวเวยเองก็บีบรัดอย่างเจ็บปวด นางขยุ้มหน้าอก กัดฟันวิ่งเข้าไปในเส้นทางขึ้นสู่ภูเขา
ยุคโบราณไม่ว่าอะไรก็ดีทั้งสิ้น เสียแต่ว่ามีการบุกเบิกพัฒนาที่ดินน้อยเกินไป นอกจากรอบนอกของเมืองสำคัญ แทบทุกที่ก็มีแต่ป่าไม้ แม้อาณาเขตส่วนใหญ่ของเผ่าซยงหนีว์จะเป็นทุ่งหญ้า แต่บริเวณชายแดนกลับเป็นเทือกเขาทอดเรียงรายไม่เห็นจุดสิ้นสุด
“ไปไหนแล้ว”
เฉียวเวยยืนอยู่ตรงทางแยก นางหยิบไต้ไฟแท่งเล็กออกมา อยากจะดูรอยเท้าที่เหลือไว้ ทันใดนั้นเองสัตว์ขนาดมหึมาตัวหนึ่งก็กางปีกมหึมาสองข้างร่อนลงมาเกาะบนกิ่งไม้ตรงหน้านาง กิ่งไม้กิ่งนั้นค่อนข้างหนา ถึงอย่างนั้นพริบตาที่อีกฝ่ายร่อนลงมาเกาะ มันก็เกือบจะหักเพราะรองรับน้ำหนักไม่ไหว
“อินทรีทองหรือ” เฉียวเวยดวงตาเป็นประกาย
อินทรีทองกระพือปีก มันเหินขึ้นบนท้องฟ้า ส่งสัญญาณให้เฉียวเวยตามไป
เฉียวเวยตามไป
หลังจากนั้นผ่านไปประมาณพักหนึ่ง อินทรีทองก็นำทางเฉียวเวยจนมาถึงใต้ต้นไหวต้นใหญ่ต้นหนึ่ง เจ้าตุ้ยนุ้ยน้อยที่งดงามราวกับหยกสลักนอนอยู่ใต้ต้นไม้ นั่นมันวั่งซูไม่ใช่หรือ
เฉียวเวยรีบวิ่งเข้าไปอุ้มวั่งซูเข้ามาในอ้อมแขน วั่งซูไม่มีปฏิกิริยา นางคิดว่าวั่งซูถูกทำอันใดเสียอีก แต่เมื่อได้ยินเสียงกรนคร่อกฟี้เบาๆ ก็ทราบว่านางเพียงนอนหลับเท่านั้น
“เจ้าเด็กอ้วนคนนี้ ขนาดนี้แล้วยังหลับได้อีก!”
เฉียวเวยหลั่งน้ำตาอุ้มบุตรสาวเข้ามาในอ้อมแขนแล้วจุมพิตหน้าผากของนาง เมื่อสัมผัสจนแน่ใจแล้วว่าเจ้าตัวน้อยคนนี้อยู่ตรงนี้จริงๆ หัวใจครึ่งดวงก็กลับมาสงบ
แต่ไม่นานนางก็ตระหนักได้ถึงความผิดปกติเล็กๆ
วั่งซูนอนอยู่ตรงนี้คนเดียวได้อย่างไร
ฟู่เสวี่ยเยียนเล่า
นางคิดจะเล่นลูกไม้อะไรอีก
เฉียวเวยกอดลูกสาวแน่น มืออีกข้างหนึ่งชักกริชที่เหน็บอยู่ตรงรองเท้าออกมา นางมองไปรอบด้านอย่างระแวดระวัง “เลิกหลบอยู่ในที่ลับคอยใช้อุบายชั่วร้ายสักที มีความสามารถก็ก้าวออกมา!”
ไม่มีผู้ใดขานรับ
แต่เฉียวเวยกลับไม่คลายความระวังเพราะเหตุนี้ “ข้าไม่สนว่าเจ้าจะอยู่คนเดียวหรือมีกันสิบคน ไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้!”
ยังคงไม่มีเสียงขานรับ
เฉียวเวยฉงนแล้ว เหตุไฉนจึงมีวั่งซูเพียงคนเดียวได้เล่า ฟู่เสวี่ยเยียนไปที่ใดแล้ว
อินทรีทองที่ยืนอยู่บนพื้นกระพือปีกดังพรึ่บพรั่บ
เฉียวเวยลูบหัวของมัน “เจ้าช่วยวั่งซูมาหรือ”
อินทรีทองไม่ร้องตอบสักแอะ
เฉียวเวยไม่รู้ว่านี่หมายความว่าอะไร ทว่าตอนนี้นางไม่มีเวลาคาดเดาความหมายของอินทรีทองแล้ว “ที่แห่งนี้ไม่ควรรั้งอยู่นาน พวกเราไปกัน!”
อินทรีทองไม่ขยับ
เฉียวเวยคิดว่ามันฟังไม่เข้าใจจึงยื่นมือออกไปลูบมัน
แต่มันกลับเขยิบไปด้านข้าง หัวเล็กๆ ก้มหน้าคอตกเหมือนลูกสะใภ้ต่ำต้อยที่ถูกรังแก
“เจ้าเป็นอะไร ไม่อยากไปกับข้าหรือ” เฉียวเวยถาม
อินทรีทองร้อง กรู๊ว์! ตอบอย่างเศร้าสร้อย
เฉียวเวยอยู่กับมันมาไม่นาน จึงยังไม่รู้ใจกันจนถึงขั้นที่จะคาดเดาความหมายภาษานกของมันได้ แต่นางมองออกอยู่จุดหนึ่ง มันไม่ต้องการจะไปกับนาง
“เจ้าจะกลับไปตามหาเจ้าของคนก่อนของเจ้าแล้วหรือ” เฉียวเวยคิดมาตลอดว่าอินทรีทองที่เฉลียวฉลาดและเก่งกาจเช่นนี้ย่อมมีคนฝึกฝนมา
อินทรีทองส่งเสียงร้อง กรู๊ว์! ออกมาอีกหนึ่งหน ท่าทางเศร้าสร้อยอย่างยิ่ง
ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นสัตว์เลี้ยงของผู้อื่น เฉียวเวยจึงไม่สะดวกจะแย่งชิง ยิ่งไปกว่านั้นมันก็ช่วยเหลือพวกเขามามากมายขนาดนี้แล้ว หากนางฝืนรั้งมันไว้ไม่ยอมปล่อยให้ไปอีกจะไม่เกินไปหน่อยหรือ
“เมื่อใดเจ้าคิดถึงพวกเราก็ค่อยกลับมาหาพวกเราบ้างนะ” เฉียวเวยเอ่ยอย่างอาลัยอาวรณ์จบก็ลูบหัวของอินทรีทอง แล้วอุ้มบุตรสาวเดินจากไป
อินทรีทองก้มหน้าคอตก ขยับทีละก้าวๆ ไปด้านหลังต้นไม้
ฟู่เสวี่ยเยียนค่อยๆ เดินออกมา นางมองแผ่นหลังที่หายลับไปของเฉียวเวยแล้วบอกอินทรีทองว่า “พวกเราไปกันเถิด”
…
พรมแดนระหว่างต้าเหลียงกับซยงหนีว์มักจะมีทหารเฝ้าอยู่แน่นหนา แถวเมืองผูก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น แต่กำลังหลักของทหารเผ่าซยงหนีว์จะรวมพลกันอยู่ใกล้กับเมืองหยวนอัน ด้นนอกเมืองผูไม่ค่อยมีสักเท่าไร เมื่อข่าวส่งมาถึงค่ายทหารของซยงหนีว์ หัวหน้าค่ายได้ยินว่าเจ้าเมืองผูนำกำลังพลออกมาก็คิดทันทีว่า หรืออีกฝ่ายคิดจะก่อสงคราม แต่เมื่อฟังต่อว่าพวกเขากำลังต่อสู้กับคนเยี่ยหลัว เขาก็ยัดความคิดที่ว่ากลับลงไปในท้อง
สู้กันไปเลย สู้กันไป เจ้าพวกกระจอกสองฝ่ายนี้สู้กันให้ตายไปเลยถึงจะดี!
ใต้เท้าเจ้าเมืองเองก็กำลังเป็นห่วงว่าเรื่องนี้จะไปกระตุ้นทหารเผ่าซยงหนีว์ จึงไม่กล้าพาผู้ใต้บังคับบัญชามามากนัก ตอนนี้สู้กันมาตั้งนานแล้วพบว่าอีกฝ่ายไม่มีปฏิกิริยา ความกล้าจึงเพิ่มมากขึ้น เขายกนกหวีดขึ้นเป่า เรียกกำลังพลอีกหนึ่งร้อยออกมาจากเมือง
—————————————–