หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 472-2 ฉีกหน้ากากฮองเฮา (1)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 472-2 ฉีกหน้ากากฮองเฮา (1)
ตอนที่ 472-2 ฉีกหน้ากากฮองเฮา (1)
เฉียวเวยนึกถึงหลายครั้งล่าสุดที่ได้พบท่านน้า ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ช่วยนางมาจากราชาเยี่ยหลัวหรือตอนที่จะลากพานางไปโรงพนัน ความรู้สึกอยากใกล้ชิดสนิทสนมยากจะต้านทานนั้น ดูไม่เหมือนเป็นการเสเสร้งเอาเสียเลย
ข้อมูลที่ได้นี้ทำให้เฉียวเวยรู้สึกโล่งอก อย่างไรนางก็ยังเป็นห่วงท่านน้า ต่อให้รู้ว่า “ท่านน้า” กระทำการเลวร้ายกับพวกนางเช่นไร แต่พอนึกถึงด้านอ่อนโยนน่าเข้าใกล้ของอีกฝ่ายแล้ว นางก็ยังรู้สึกเจ็บปวดอย่างน่าประหลาดทุกครั้งไป
ทั้งหมดที่นางทำไม่ใช่การเสแสร้ง ช่างดีเหลือเกิน
นอกจากดีใจแล้ว เฉียวเวยก็ยังอดงุนงงไม่ได้ เรื่องราวเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร หรือว่า…ท่านน้าก็เป็นเหมือนจีซั่งชิง ที่ถูกคนควบคุมเอาไว้?
ฟู่เสวี่ยเยียนก็ดูจะคิดถึงเรื่องนี้ได้เช่นกัน “ในเยี่ยหลัวมีวิชาเชิดหุ่นที่หายสาบสูญไปนานแล้ว ถึงข้าจะไม่เคยเห็นกับตาแต่กลับเคยได้ยินคนเอ่ยถึง บางทีฮองเฮานาง…อาจจะถูกคนควบคุมเอาไว้”
หากถูกคนควบคุมเอาไว้ยังไม่เท่าไร ตามหาคนที่ควบคุมนางเจอแล้วสังหารทิ้งไปก็เป็นอันจบเรื่อง ที่น่ากลัวก็คือนางไม่ได้ถูกคนควบคุมไว้ แต่เป็นตัวนางเองที่…
ความคิดนี้แวบขึ้นมาในหัวเฉียวเวย ถึงแม้จะฟังดูไม่สมเหตุสมผล แต่เฉียวเวยเป็นหมอ การตอบรับของนางรวดเร็วกว่าคนธรรมดามากนัก
นางยังไม่ได้โผงผางแสดงอะไรออกไป ถึงอย่างไรก็ต้องลองพิสูจน์ให้รู้กันไปสักตั้งก่อน
ระหว่างที่พวกเขาพูดคุยกันนั้น ใต้เท้าเจ้าสำนักก็เอาตัวจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูกลับมาส่ง และถือโอกาสรับตัวฟู่เสวี่ยเยียนกลับไปด้วย
ทิ้งพวกเขาพ่อลูกเอาไว้ในห้องตั้งนานเพียงนั้น ใช้ไม่ได้เลยจริงๆ!
เรื่องที่ควรพูดฟู่เสวี่ยเยียนได้พูดไปหมดแล้ว หลังจากนี้จะทำเช่นไรคงต้องขึ้นอยู่กับจีหมิงซิวกับเฉียวเวยแล้ว ฟู่เสวี่ยเยียนไม่สะดวกจะรั้งอยู่ต่อจึงเอ่ยขอตัวกลับ แล้วกลับห้องไปพร้อมกับใต้เท้าเจ้าสำนัก
จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูตื่นเต้นกันอยู่ค่อนคืน เวลานี้ในที่สุดก็ฝืนต่อไปไม่ไหวเสียที เสื้อผ้าเพิ่งถอดไปได้ครึ่งทางก็ปีนขึ้นเตียงนอนหลับปุ๋ยกันไปเสียแล้ว
เฉียวเวยไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นางถอดเสื้อผ้าที่เหลือให้ทั้งสอง จับทั้งสองให้นอนเข้าที่เรียบร้อย แล้วดึงผ้าห่มหนาๆ หนักๆ ขึ้นมาห่มให้
จากนั้นตัวนางเองก็ลงนอนทางฝั่งจิ่งอวิ๋น ส่วนจีหมิงซิวลงนอนทางฝั่งวั่งซู
ถึงอย่างไรเฉียวเวยก็เพิ่งนอนมาหลายชั่วยาม เวลานี้จึงไม่ง่วงเท่าไรนัก นางพลิกตัวไปมาอยู่หลายครั้งทำอย่างไรก็นอนไม่หลับสักที
แต่แล้วจู่ๆ ร่างคนสูงใหญ่ก็ข้ามผ่านเด็กทั้งสองมาอยู่ด้านหลังนาง ดึงผ้าห่มขึ้นแล้วเลื่อนตัวเข้าไป
เฉียวเวยรับรู้ได้ถึงการเต้นของหัวใจอีกฝ่ายอย่างชัดเจน ปลายจมูกรับรู้ได้แต่กลิ่นของคนผู้นั้น
เฉียวเวยหยิกแขนอีกฝ่าย ช่วงที่ผ่านมาเขาไม่ได้ฝึกวิชาฝ่ามือเก้าสุริยันอย่างเปล่าประโยชน์ กล้ามเนื้อตรงแขนของเขาดูจะแน่นขึ้นไปอีก
“เจ้าสำนักเฉียว เจ้ากำลังยั่วยวนข้า” เขาเอ่ยเสียงเรียบ
เฉียวเวยเอ่ยอย่างเห็นขัน “ใครเป็นคนมาหาใครกันแน่”
จีหมิงซิวเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าเพียงอยากนอนหลับดีๆ อยู่ใต้ผ้าห่มเท่านั้น”
ฟังดูพูดเข้า ไม่กลัวลมตัดลิ้นขาดหรือไร!
…
หลังจากค่ำคืนที่หนักหนา เฉียวเวยนอนหลับไปจนตะวันโด่ง ในวังส่งข่าวมาบอกว่า… ราชาเยี่ยหลัวเชิญเข้าวัง เฉียวเวยถึงได้ลุกจากเตียงด้วยความอ่อนล้า
ราชาเยี่ยหลัวยังไม่รู้ว่าเด็กน้อยทั้งสองก็มาที่เยี่ยหลัวด้วย และยิ่งไม่รู้ว่าฟู่เสวี่ยเยียนให้กำเนิดบุตรสาวหนึ่งคนกับจีหมิงเยี่ย จึงให้คนมาเชิญเพียงสองพี่น้องจีหมิงซิวกับเฉียวเวย
หากเป็นก่อนหน้านี้ ใต้เท้าเจ้าสำนักคงโวยวายอยากจะไปด้วย แต่เวลานี้พอมี “ครอบครัว” วังเวิงอะไรนั่นเขาก็คร้านจะออกไปทั้งสิ้น
เฉียวเวยกับจีหมิงซิวจัดการเขาไปยกหนึ่ง แล้วถึงได้ขึ้นนั่งรถม้ามุ่งหน้าไปวังหลวง
ที่น่าเอ่ยถึงก็คือ รถม้าคันนี้เป็นรถม้าที่วังหลวงส่งมา ซึ่งไม่เพียงกว้างขวางแต่ยังหรูหรา หากเทียบกับรถม้าของจวนมู่อ๋องมีแต่จะดีกว่าไม่มีแย่กว่า
จังหวะที่พวกเขาก้าวขึ้นรถม้า สีหน้าของมู่อ๋องก็บูดบึ้งทันที
ราชาเยี่ยหลัววันนี้เรียกตัว “บุตรชายกับลูกสะใภ้” เข้าวัง เป้าประสงค์สำคัญก็เพื่อกระชับสัมพันธ์ระหว่างบิดากับบุตร พอได้ยินว่าจั๋วหม่าน้อยหายตัวไปในเมืองหลวงของเยี่ยหลัวถึงสองครั้ง หนำซ้ำทั้งสองครั้งยังเป็นมู่อ๋องที่ให้ทหารราชองครักษ์ไปตามหาตัวกลับมา ราชาเยี่ยหลัวที่อยากเป็น “บิดาผู้สมบูรณ์แบบ” จึงรู้สึกว่าตนออกจะบกพร่องในหน้าที่ไปสักหน่อย ดังนั้นถึงตัดสินใจชดเชยให้ในวันนี้
ในเยี่ยหลัวมีประเพณีสู้สัตว์มาโดยตลอด ไล่ย้อนกลับไปไกลที่สุดนั้นมีมาตั้งแต่ก่อนราชวงศ์เทียนฉี่จะก่อตั้งแคว้นเสียอีก ในตอนนั้นเยี่ยหลัวยังเป็นเพียงชนเผ่าที่ไม่ได้เรื่องไม่ได้ราว แต่ประเพณีการสู้สัตว์ของชนเผ่ากลับดุเดือดมากแล้ว
หลังจากราชวงศ์เทียนฉี่สถาปนาขึ้นก็ได้รับการรุกล้ำจากวัฒนธรรมของจงหยวน ประเพณีสู้สัตว์พ่ายแพ้ให้กับการละเล่นชู่จูว์ แต่พอราชวงศ์แตกพ่าย คนเยี่ยหลัวหลบหนีเข้าไปในทะเลทราย ประเพณีสู้สัตว์จึงถูกคนในชนเผ่าดึงกลับมาอีกครั้ง
การสู้สัตว์ไม่ได้มีให้เห็นในโรงพนันเท่านั้น ในราชวงศ์เองก็มี ยิ่งไปกว่านั้นการสู้สัตว์ของราชวงศ์ยังน่าตื่นตาตื่นใจและดุดันกว่าอีกด้วย
สนามสู้สัตว์ของเยี่ยหลัวมีลักษณะเช่นเดียวกับชนเผ่าลึกลับ ชั้นล่างเป็นทางเข้าออกของสัตว์ต่อสู้ ส่วนชั้นสองและสามถึงเป็นที่นั่งของผู้ชม
บัลลังก์ของราชาเยี่ยหลัวอยู่บนชั้นสอง พวกเขาที่เป็นขุนนางทูตจากต้าเหลียงโชคดีอย่างยิ่งที่ได้จัดให้นั่งอยู่ด้านข้างราชาเยี่ยหลัว
ฮองเฮาเดินเข้ามาโดยมีนางกำนัลขนาบข้างอย่างแน่นขนัด
นางอยู่ในชุดหวาฝูสีทองอร่าม คาดผ้าโปร่งปิดหน้าสีทอง ตรงหน้าผากแต้มจุดสีแดงเป็นลายดอกไม้ เส้นผมดำขลับทิ้งตัวสยายอยู่ตรงหัวไหล่ พอมีลมอ่อนๆ พัดมาจึงดูงดงามจนน่าตกตะลึง
สายตาของนางสูงสง่าและเย่อหยิ่ง แค่เพียงได้สบตาเพียงช่วงสั้นๆ เฉียวเวยก็ดูออกทันทีว่านางเป็นใคร
ฮองเฮาเดินเอื่อยๆ เข้าไปหาราชาเยี่ยหลัว ราชาเยี่ยหลัวจับมือนางไว้อย่างรักใคร่ แล้วทำท่าบอกให้นั่งลงข้างกายตน
นางก็ไม่มีบ่ายเบี่ยงอย่างออดอ้อน นั่งลงข้างกายอีกฝ่ายทันที
เฉียวเวยเอ่ยกับจีหมิงซิวว่า “ข้าจะเข้าไปหาสักหน่อย”
จีหมิงซิวเหลือบมองฮองเฮาทีหนึ่งแล้วพยักหน้า “ไปเถิด”
เฉียวเวยยิ้มพริ้มพลางเดินเข้าไปหาราชาเยี่ยหลัว “ฝ่าบาท หม่อมฉันกับฮองเฮาพบหน้ากันคราแรกก็ราวกับรู้จักกันมานาน ขอให้ข้าได้นั่งกับฮองเฮาได้หรือไม่”
ขันทีที่อยู่ด้านข้างเอ่ยแปลที่เฉียวเวยพูดให้ฟัง
ราชาเยี่ยหลัวจึงตอบรับอย่างยิ้มแย้ม
นางกำนัลยกเก้าอี้มาให้ วางลงด้านข้างฮองเฮา ถัดออกไปประมาณครึ่งเมตร
เฉียวเวยส่งเสียงจึ๊ทีหนึ่ง “เหตุใดต้องห่างเหินเพียงนี้ เมื่อครั้งฮองเฮาของพวกเจ้าไปต้าเหลียง นางไปพักอยู่ในบ้านข้าเชียวนะ! ข้ากับฮองเฮาของพวกเจ้าสนิทสนมกันเป็นไหนๆ!”
พูดจบนางก็ดันเข้าไปไปทางฮองเฮาเสียจนชิดติดกัน
ฮองเฮาไม่ได้ว่าอะไร
เฉียวเวยนั่งลงพร้อมหน้าตายิ้มแย้ม
*******************