หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 67 ลาภลอย
ตอนที่ 67 ลาภลอย
ยิ่นอ๋องมองนางด้วยแววตาลึกซึ้ง นัยน์ตาแฝงความรู้สึกบางอย่างที่ยากจะอธิบาย “น้ำ”
ดื่มน้ำต้องทำถึงขนาดนี้เชียวหรือ เห็นได้ชัดว่ากำลังทดสอบอะไรบางอย่างกับนาง!
เฉียวเวยมองเขากลับด้วยแววตาลึกล้ำ แล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ดื่มน้ำก็ดื่มน้ำไปสิ จะกระชากข้าทำไม ปล่อยเดี๋ยวนี้!”
ยิ่นอ๋องปล่อยมือ ความรู้สึกในร่ายกายของเฉียวเวยกลับมาเป็นปกติ นางยื่นถ้วยน้ำให้เขา เขารับไปด้วยมือข้างเดียว
ขันทีหลิวต้องการใช้เข็มเงินเพื่อทดสอบว่ามีพิษหรือไม่ แต่เจ้านายของเขาดื่มเข้าไปเสียแล้ว
ขันทีหลิวกระแอมในลำคอ หยิบน้ำขึ้นมาดื่มอย่างช่วยไม่ได้
หวานชุ่มคอ รสชาติดีกว่าน้ำที่อื่นจริงๆ
ยิ่นอ๋องมองดูเสื้อผ้าเล็กๆ บนราวตากผ้า “เจ้ามีลูกแล้วหรือ”
“มีเจ้าเด็กดื้อสองคน!” รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเฉียวเวยเมื่อนางเอ่ยถึงลูก
ยิ่นอ๋องหลับตาลงและไม่กล่าวอันใดอีก
หลังจากทั้งสองคนดื่มน้ำเสร็จ เฉียวเวยก็หยิบถ้วยขึ้นมาแล้วพูดว่า “ยังต้องการอีกหรือไม่ ถ้วยต่อไปแถม”
ยิ่นอ๋องขมวดคิ้วเล็กน้อย ใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าจะเข้าใจว่านางหมายความว่าถ้วยที่สองไม่คิดเงิน เขามองนางแปลกๆ แล้วตอบแผ่วเบา “ไม่จำเป็น หลิวเฉวียน”
หลิวเฉวียนเปิดถุงเงินหยิบเงินออกมา เขามีเงินพกติดตัวไม่ถึงสองตำลึง จึงต้องหยิบก้อนทองที่มีค่าสิบตำลึงออกมา
เฉียวเวยชั่งน้ำหนักก้อนทองด้วยมือและพูดโดยสีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด “ไม่มีทอน”
ยิ่นอ๋องยืนขึ้น “ไม่ต้องทอน”
ขันทีหลิวตกใจ “นายท่าน!”
นั่นเงินสิบตำลึงเชียวนะ! ท่านทราบหรือไม่ว่าเงินสิบตำลึงมีค่าเท่าใด เพียงพอให้ชาวนาธรรมดามีกินมีใช้ถึงสองปี! เราดื่มน้ำของนางเพียงสองถ้วย! แต่จ่ายค่ากินค่าอยู่ให้นางสองปี! ขาดทุนแล้ว!
เฉียวเวยมีความสุขมากจนอยากกระโดดตัวลอย อยู่ๆ ก็ได้เงินสิบตำลึง ช่างเป็นลาภลอยที่สวรรค์ประทานให้โดยแท้!
เฉียวเวยกลั้นยิ้ม แล้วพูดอย่างเคร่งขรึม “ครั้งหน้ามาบ้านข้าอีกไม่คิดเงิน เชิญดื่มได้ตามสบาย! ยินดีต้อนรับกลับมาใหม่!”
ระหว่างทางลงจากภูเขา หัวอกของขันทีหลิวบีบรัดอย่างเจ็บปวด พวกเขามาเพื่อสืบหาเบาะแสขององครักษ์หลิน แต่ไม่พบกระทั่งวิญญาณสักดวง กลับต้องมาเสีย ‘เงินที่ได้มาอย่างเหนื่อยยาก’ ไปอีกสิบตำลึง “ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ หญิงชาวบ้านผู้นั้นฉลาดแกมโกงนัก ไม่น่าแปลกใจที่องครักษ์หลินกับอู๋ต้าจินต่างเสียท่าในมือของนาง เหตุใดเราไม่จับตัวนางไปจวนอ๋อง บังคับให้นางบอกว่าองครักษ์หลินอยู่ที่ใด”
ยิ่นอ๋องมองหมู่บ้านที่อยู่ไม่ไกลแล้วกล่าวว่า “องครักษ์หลินตายแล้ว แต่นางไม่ได้สังหารเขา”
ขันทีหลิวตกใจ “พ่ะย่ะค่ะ?”
ยิ่นอ๋องเหมือนกำลังขบคิดบางสิ่ง “เมื่อครู่ข้าใช้กำลังภายในทดสอบเส้นลมปราณของนาง ผลปรากฏว่านางไม่มีกำลังภายใน คนเช่นนี้ย่อมสังหารองครักษ์หลินมิได้”
ขันทีหลิวพยักหน้าอย่างเข้าใจ แล้วถามต่ออย่างรวดเร็ว “แต่…ท่านทราบได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะว่าองครักษ์หลินตายแล้ว”
ยิ่นอ๋องกล่าวอย่างเย็นชา “หากไม่ตายเขาคงกลับมานานแล้ว แต่ถึงนางไม่ใช่คนฆ่า ก็น่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับนาง”
ขันทีหลิวครุ่นคิดตามก็เข้าใจ “จริงสิ องครักษ์หลินลักพาตัวลูกของนางไปก่อนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย ดูท่าคนที่ช่วยนางพาลูกกลับมาก็คือฆาตกรที่ฆ่าองครักษ์หลิน บ่าวก็ว่าแล้วหญิงชาวบ้านนางหนึ่งจะเก่งกล้าสามารถปานนั้นได้เช่นไร แสดงว่าต้องมีคนอยู่เบื้องหลังสินะ”
ยิ่นอ๋องรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้สูงมาก ไม่เช่นนั้นสตรีอ่อนแอนางหนึ่งคงไม่กล้าต่อกรกับพรรคในยุทธภพอย่างเปิดเผยเช่นนี้
สาเหตุของความขัดแย้งเป็นเหตุผลส่วนตัวของนางหรือเป็นการเล่นงานเขาหลี่ยิ่นผู้นี้ เขาจำเป็นต้องตรวจสอบอย่างละเอียดรอบคอบ
แต่เมื่อเทียบกับสิ่งเหล่านี้ มีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ยิ่นอ๋องสนใจและสงสัยมากกว่า นั่นคืออีกฝ่ายคือเฉียวเวยจากจวนเอินปั๋วใช่หรือไม่
หากเป็นเช่นนั้นเหตุใดจึงไม่รู้จักเขา แล้วเหตุใดจึงเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนี้
หากมิใช่ ไฉนหน้าตาจึงคล้ายกันมากเพียงนี้ นอกเสียจากเฉียวเจิงแอบมีลูกสาวกับหญิงชาวบ้านอยู่อีกหนึ่งคน
ยิ่นอ๋องสั่งหลิวเฉวียน “เจ้าส่งคนไปค้นหาว่าคุณหนูจวนเอินปั๋วผู้ถูกขับไล่ออกจากตระกูลเมื่อห้าปีก่อน ตอนนี้อยู่ที่ใด”
คุณหนูใหญ่เฉียวที่เมื่อห้าปีก่อนปีนเตียงท่านอ๋อง ทำให้ท่านอ๋องกับใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีต้องผิดใจกันจนเกิดเป็นความแค้นคนนั้นน่ะหรือ
เหตุใดจู่ๆ ท่านอ๋องจึงคิดจะตามหาตัวนาง
หลิวเฉวียนตอบรับคำสั่งอย่างฉงน “พ่ะย่ะค่ะ บ่าวจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”
“ท่านลุงหมิง!”
วั่งซูตัวน้อยกระโดดอย่างเริงร่าวิ่งเข้ามาหาแล้วกอดต้นขาของยิ่นอ๋องจากด้านหลัง!
นางเพิ่งเลิกเรียน ทีแรกกำลังจะไปทานอาหารเย็นที่บ้านท่านยาย แต่เสี่ยวไป๋ปวดฉี่ นางจึงเดินตามมาคุ้มกันเสี่ยวไป๋ นางโชคดีนัก อยู่ๆ ก็ได้พบท่านลุงหมิงที่ทางเข้าหมู่บ้าน!
นางไม่ได้เจอท่านลุงหมิงมาหลายวันแล้ว คิดถึงจริงๆ!
เด็กน้อยกอดแน่น ร่างกายนุ่มนิ่มราวกับลูกแมวเชื่องๆ ตัวหนึ่ง
ยิ่นอ๋องไม่ได้ผลักนางออกทันที แต่หันหน้ามามองเจ้าซาลาปาน้อยที่กำลังออดอ้อนเขาอย่างน่ารักน่าชัง ความรู้สึกอันแปลกประหลาดและไม่คุ้นเคยผุดขึ้นมาในหัวใจ
ในเมืองหลวงมีขอทานเช่นนี้มากมาย เข้ามากอดแข้งกอดขา ขานเรียกท่านลุงท่านน้า หากไม่ให้เงินก็ไม่ยอมปล่อย ขันทีหลิวเห็นนางสวมเสื้อผ้าซ่อมซ่อจึงรีบกระชากนางออกอย่างแทบไม่ทันต้องคิด “ขอทานน้อยมาจากใด ไปให้พ้น!”
วั่งซูล้มก้นกระแทกพื้น!
เจ็บนักเชียว!
น้ำตาของวั่งซูไหลพราก น้ำตาคลอเบ้ามองอีกฝ่าย ครั้งนี้เห็นด้านหน้าจึงพบว่าบนหน้าเขาไม่ได้สวมหน้ากากอยู่
แต่เขากับท่านลุงหมิงดูเหมือนกันยิ่งนัก ไม่ใช่เพียงด้านหลัง ใบหน้ายิ่งเหมือนกันไม่มีผิด
เขาคือลุงหมิงใช่หรือไม่นะ
อีกด้านหนึ่ง เสี่ยวไป๋ที่ปัสสาวะเสร็จแล้วได้ยินเสียงของวั่งซูจึงกระโดดออกจากพงหญ้าแล้วพุ่งเข้าใส่ขันทีหลิวด้วยท่าทางดุร้าย ใช้กรงเล็บข่วนไปหนึ่งที!
ขันทีหลิวถูกข่วนจนเห็นรอยข่วนสามเส้น หยดเลือดไหลออกมาแหมะๆ เขาโกรธจัด “เจ้าเดรัจฉาน! กล้าทำร้ายข้าหรือ คอยดูว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร!”
เขาเตะมันเต็มแรง!
วั่งซูรีบอุ้มเสี่ยวไป๋ไว้ในอ้อมแขน
ยิ่นอ๋องสามารถหยุดเรื่องทั้งหมดนี้ได้ แต่เขาไม่ทำ
ขณะที่เท้าของขันทีหลิวกำลังจะเตะถูกร่างของวั่งซู ทันใดนั้นก้อนหินก็พุ่งออกมาจากด้านหลังต้นไม้ กระแทกเข้ากลางหน้าผากของขันทีหลิว!
ขันทีหลิวส่งเสียงร้องลั่นแล้วล้มลงกับพื้น!
ยิ่นอ๋องมองขันทีหลิวที่กำลังกลิ้งอยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวด แล้วมองไปยังต้นไหวเก่าแก่ที่อยู่ไม่ไกล ด้านหลังต้นไม้มีเงาเล็กๆ ทอดอยู่บนพื้น
เขาหันไปมองวั่งซูอีกหน แววตาอบอุ่นของวั่งซูถูกแทนที่ด้วยความหวาดกลัว ดวงตากลมโตมองเขาอย่างระแวดระวัง
เขาเอ่ยขึ้นว่า “ข้า…”
“ท่านไม่ใช่ท่านลุงหมิง! ท่านลุงหมิงไม่มีวันปล่อยให้ผู้ใดมารังแกวั่งซู แล้วก็ไม่มีวันปล่อยให้ผู้ใดรังแกเสี่ยวไป๋! ท่านเป็นคนไม่ดี!”
หลังจากวั่งซูต่อว่าอย่างผิดหวังจบ นางก็ปาดน้ำตาแล้วลุกขึ้นอุ้มเสี่ยวไป๋วิ่งจากไปโดยไม่หันกลับมามอง