หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 73-1 อัครมหาเสนาบดีมาแล้ว
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 73-1 อัครมหาเสนาบดีมาแล้ว
ตอนที่ 73-1 อัครมหาเสนาบดีมาแล้ว
กลางถนนมีม้าหกตัวกำลังลากรถม้าผ่านไปอย่างช้าๆ ม้าแต่ละตัวเป็นม้าชั้นหนึ่งจากเหมิงกู่ พวกมันเป็นม้าที่แข็งแรง งดงาม แผงคอและขนมันวาว กีบเท้าทั้งสี่ข้างก้าวเดินอย่างแข็งขัน เสียงม้าเดินย่ำเท้ากึกๆ เป็นจังหวะน่าเกรงขามไปตามพื้นถนนหินสีคราม
ภายในรถมีบุรุษผู้หนึ่งสวมอาภรณ์สีน้ำเงินปักลายงดงามนั่งอยู่กับขันทีวัยกลางคนที่สวมชุดธรรมดา
ขันทีผู้นี้มิใช่ใครอื่นนอกจากหลิวเฉวียน
ขันทีหลิวได้ยินเสียงดังเอะอะมาจากสำนักศึกษาหนานซานก็คิดในใจว่า นั่นเป็นสนามสอบของการสอบเสินถงมิใช่หรือ ผู้ใดมาก่อเรื่องในสนามสอบกัน เขาเปิดม่านมองไปทางสำนักศึกษา จึงเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยอยู่ในหมู่ฝูงชนอย่างรวดเร็ว เขาคิดว่าตัวเองตาฝาดจึงขยี้ตาอย่างแรง “เป็นนางจริงๆ!”
“ผู้ใด” ยิ่นอ๋องถามเสียงเรียบ
ผู้หญิงขี้โกงคนนั้น!
ขันทีหลิวปิดม่านแล้วพูดว่า “หญิงชาวบ้านที่ชอบเป็นอริกับพวกเรา มิหนำซ้ำยังโกงเงินเราสิบตำลึงพ่ะย่ะค่ะ! นางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ยังทะเลาะกับคนอื่นเขาอีก”
ไม่น่าแปลกใจที่มีปัญหากับคนอื่น แม้แต่พรรคชิงหลงยังกล้าจัดการจนอยู่หมัด ก่อเรื่องกลางถนนจะแปลกอันใด สิ่งที่น่าแปลกคือนางสวมชุดใหม่ราวกับเป็นคนละคน แตกต่างกับหญิงชาวบ้านผู้สวมผ้าป่านเนื้อหยาบจนเขาเกือบจำไม่ได้
ครั้นเห็นร่องรอยของความลังเลบนใบหน้าของเจ้านาย ขันทีหลิวจึงถามด้วยรอยยิ้มว่า “นายท่าน จะไปดูหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ดูว่าผู้หญิงคนนั้นทำเรื่องน่าอายอันใด แล้วถือโอกาสจัดการนางเสีย เรื่องน่าสนุกถึงเพียงนี้เหตุใดจะไม่ทำ “ยิ่นอ๋องเสด็จ…”
ทหารที่กำลังจับกุมเฉียวเวยหยุดทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนั้น จากนั้นทุกคนต่างก็ทยอยกันคุกเข่า
ใต้เท้าเฉิงผลักอาซิ่วออก เขาเดินอ้อมฝูงชนไปที่รถม้าแล้วโค้งคำนับอย่างสุภาพ “น้อมรับเสด็จยิ่นอ๋องพ่ะย่ะค่ะ! ไม่ทราบว่าองค์ชายจะเสด็จมาจึงไม่ได้มารับเสด็จตั้งแต่เนิ่นๆ หวังว่าองค์ชายจะให้อภัยพ่ะย่ะค่ะ”
วันนี้เป็นการสอบเสินถง เพื่อหลีกเลี่ยงการเดินทางที่แออัด ยิ่นอ๋องจึงเดินทางด้วยขบวนเล็ก นอกจากสารถีแล้ว ก็มีองครักษ์ตามเสด็จเพียงสองนาย ไม่แปลกใจที่ใต้เท้าเฉิงจะไม่รู้ล่วงหน้า
“ข้าผ่านมาทางนี้ ได้ยินเสียงโกลาหลวุ่นวาย เกิดอันใดขึ้น” ยิ่นอ๋องที่นั่งอยู่ในรถม้าเอ่ยขึ้นเบาๆ
ใต้เท้าเฉิงโค้งคำนับและตอบว่า “ทูลองค์ชาย เมื่อครู่มีขโมยลงมือทำร้ายคนพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมกำลังจะลงโทษนาง ไม่คิดว่าจะรบกวนขบวนเสด็จ เป็นความผิดของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
ขุนนางชาติสุนัขตัวนี้พูดเสียน่าฟังยิ่งกว่าเสียงเพลง ยังไม่ถาม ไม่ตรวจสอบ อาศัยเพียงคำพูดของอนุภรรยาฝ่ายเดียวก็ติดสิน ‘ความผิด’ ของนาง! ไม่แปลกใจเลยที่อนุภรรยาจะหยิ่งยโสและกำเริบเสิบสานเช่นนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสามีของนางก็คงจะเป็นเช่นเดียวกัน คนประเภทเดียวกันโคจรมาอยู่ร่วมกันได้แท้ๆ เชียว
เฉียวเวยมองเขา ยิ้มเยาะแล้วเอ่ยขึ้นว่า “พวกเขาขโมยป้ายของข้าแต่กลับใส่ร้ายว่าข้าเป็นขโมย! ปาโถอาจมใส่คนอื่นเก่งนักนะท่านรองหัวหน้ากอง!”
ใต้เท้าเฉิงถูกด่าจนเดือดดาล หัวใจเต้นกระหน่ำดุจตีกลอง ด้วยเกรงว่ายิ่นอ๋องจะสั่งให้มีการสอบสวนอย่างละเอียด เขาจึงหันศีรษะไปตวาด “นังไพร่เหิมเกริม! บังอาจกล่าววาจาหยาบคายต่อหน้าองค์ชาย! พวกเจ้าทั้งหลาย ยังไม่รีบไปปิดปากนางอีก!”
ทหารหลายนายวิ่งกรูเข้าไปล้อม
ยิ่นอ๋องยกมือขึ้น ขันทีหลิวกล่าวว่า “ช้าก่อน”
ทหารมองหน้ากันและถอยกลับไป
พูดตามตรง ความประทับใจที่เฉียวเวยมีต่อยิ่นอ๋องไม่ค่อยดีนัก ในวันที่ลงทะเบียนองครักษ์ของเขาเกือบเหยียบเด็กคนหนึ่งตาย แต่เขาทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ทั้งยังโยนก้อนทองคำไล่คนไปอีก นางรู้ว่านี่เป็นยุคโบราณ ถือลำดับชนชั้นเคร่งครัด แต่ถึงอย่างไรนั่นก็คือชีวิตมนุษย์ หากเขาไม่ขอโทษ อย่างน้อยเขาก็ควรดูว่าเด็กคนนั้นเป็นเช่นไร ได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ความเป็นห่วงเป็นใยถือเป็นบรรทัดฐานเบื้องต้นของศีลธรรม
สิ่งที่ท่านอ๋องผู้นี้กระทำนับว่าเลือดเย็นอย่างยิ่ง
แต่เมื่อครู่เขากลับไม่ปล่อยให้ทหารพาตัวนางไป ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาคิดสิ่งใดอยู่ในใจ
ยิ่นอ๋องเลิกม่านด้านข้างขึ้น ดวงตาของเขาจับจ้องเรือนร่างอันคุ้นเคยด้วยสีหน้าซับซ้อน “เรื่องที่ให้เจ้าไปสืบ เป็นเช่นไรบ้าง”
เสียงของเขาเบาหวิว เห็นได้ชัดว่าพูดกับขันทีหลิว
ขันทีหลิวตกตะลึงอยู่ชั่วขณะ นานหลายอึดใจกว่าจะรู้ว่าคนที่ท่านอ๋องถามถึงคือสตรีนางนั้น เขาหลุบตาลงตอบว่า “ยังไม่พบเบาะแสของคุณหนูใหญ่เฉียวพ่ะย่ะค่ะ”
เขาคงไม่คิดว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเป็นคุณหนูใหญ่ของจวนเอินปั๋วที่ถูกขับออกจากจวนกระมัง คุณหนูผู้นั้นไม่ค่อยปรากฏตัวข้างนอก เขาไม่เคยมีโอกาสพบหน้า ทว่าเคยได้ยินข่าวลือบางอย่าง นางแตกต่างกับโจรสาวผู้นี้อย่างเทียบไม่ได้
“บ่าวจะส่งกำลังคนออกไปเพิ่ม จะค้นหาเบาะแสของนางโดยเร็วที่สุดพ่ะย่ะค่ะ” เขารับรองเป็นมั่นเป็นเหมาะ
ยิ่นอ๋องไม่พูดอันใดอีก ส่งเสียงถามด้านนอกรถม้าว่า “เกิดอันใดขึ้นกันแน่”
เฉียวเวยเหลือบมองใต้เท้าเฉิงอย่างเย็นชา ใต้เท้าเฉิงตัวสั่นสะท้านในทันที นางละสายตา มองทะลุม่านลูกปัดเข้าไปในรถม้า แล้วพูดขึ้นว่า “อนุภรรยาของรองหัวหน้ากองขโมยป้ายเข้าสอบของลูกชายหม่อมฉัน แต่ไม่ยอมคืนหม่อมฉัน ทั้งยังใส่ร้ายว่าหม่อมฉันเป็นขโมยและทำร้ายคนเพคะ”
ใต้เท้าเฉิงกล่าวด้วยท่าทาง ‘ชอบธรรม’ ว่า “องค์ชาย! ท่านอย่าฟังนางพูดเหลวไหลพ่ะย่ะค่ะ! ก่อนนี้นางเคยถูกหอหลิงจือจับได้ว่าเป็นขโมย เป็นเหตุให้คุณหนูใหญ่เฉียวขับไล่นางต่อหน้าผู้คน วันนี้ป้ายของลูกชายนางหายไป จึงคิดจะแย่งชิงของผู้อื่นพ่ะย่ะค่ะ”
ขณะที่เขาพูดก็ดึงอาซิ่วมา แล้วถลกแขนเสื้อของนางขึ้น เผยให้เห็นข้อมือที่บวมแดงเล็กน้อย “องค์ชาย ท่านดูสิพ่ะย่ะค่ะ แผลนี้เป็นเพราะนางพ่ะย่ะค่ะ!”
ขันทีหลิวเหลือบมองผ่านม่านลูกปัดและพูดด้วยความรังเกียจ “ใต้เท้าเฉิง! หยุดไร้มารยาท!”
เปิดเผยเรือนร่างของอนุภรรยาให้ท่านอ๋องเห็น ไม่กลัวทำให้ดวงตาของท่านอ๋องแปดเปื้อนหรือไร!
ใต้เท้าเฉิงใจฝ่อจึงรีบร้อนจะพิสูจน์ตัวเอง จนลืมแม้แต่ข้อห้ามระหว่างชายหญิง เขากระแอมอย่างเขินอาย บอกให้อาซิ่วถอยออกไป
เฉียวเวยนับถือความสามารถในการปั้นน้ำเป็นตัว กลับดำเป็นขาวของคนเหล่านี้จริงๆ เก่งกาจไม่น้อยกว่าฝังมามาเลย มิน่าเล่าคนถึงได้พูดกันว่าหากมิใช่คนประเภทเดียวกันคงมิสุมหัวอยู่ด้วยกัน รองหัวหน้ากองโปรดปรานอนุภรรยาของตนถึงเพียงนี้ ผู้ใดมองก็ต้องบอกว่าเป็นผีเน่ากับโลงผุ
“เจ้ามีสิ่งใดจะพูดหรือไม่” ยิ่นอ๋องถามเฉียวเวย
เฉียวเวยจึงกล่าวว่า “หม่อมฉันมิได้ขโมย มิว่าเวลาใดก็มิเคยทำ และหม่อมฉันก็มิได้ทำร้ายผู้ใด เป็นเพราะนางผิวบาง ไม่เหมือนคนยากจนเช่นเราที่ผิวหนังหยาบกระด้าง อย่าว่าแต่จับข้อมือเบาๆ ต่อให้โดนโบยหลายสิบไม้ก็ยังไม่เห็นความแตกต่าง”
“เจ้าโป้ปดมดเท็จ…” อาซิ่วกำลังจะตวาดด่าด้วยความโกรธ แต่ใต้เท้าเฉิงถลึงตามองด้วยสายตาเย็นชา ท่านอ๋องกำลังถามอยู่ เจ้าพูดแทรกได้หรือ
ยิ่นอ๋องถามขึ้นว่า “เจ้าบอกว่าป้ายเป็นของเจ้า มีหลักฐานหรือไม่”
เฉียวเวยคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบว่า “ลูกชายของหม่อมฉันซุกซน เขาใช้ถ่านทำเครื่องหมายไว้บนป้าย องค์ชายให้คนตรวจสอบได้เพคะ”
อาซิ่วลนลานพลิกดูป้ายในมือ แล้วก็พบรอยที่มุมล่างขวาด้านหลัง ก่อนหน้านี้นางสนใจแต่ขโมยของแต่ไม่ได้ตรวจสอบอย่างระมัดระวัง เกือบถูกจับได้แล้วเชียว นางขยับไปหลบหลังสามี พ่นน้ำลายใส่มือแล้วเช็ดเครื่องหมายบนป้าย เครื่องหมายถูกลบออกจนเกลี้ยง!
นางยื่นป้ายให้สามีของนาง ใต้เท้าเฉิงรับมันมา ตอนแรกสัมผัสโดนส่วนที่เปียกก็รู้สึกรังเกียจจนเกือบจะโยนทิ้ง!
เขาถลึงตามองอาซิ่วแวบหนึ่ง หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาวางป้ายลงบนนั้น จากนั้นมอบให้องรักษ์ของยิ่นอ๋องไปตรวจสอบด้วยท่าทางเคารพ
องครักษ์พลิกดูทั้งสองด้านก็ไม่พบเครื่องหมายใด “ท่านอ๋อง มิมีเครื่องหมายใดพ่ะย่ะค่ะ”
อาซิ่วเชิดหน้าขึ้นอย่างลำพอง “เจ้าคนสับปลับ คราวนี้ไม่มีอันใดจะแก้ตัวแล้วใช่หรือไม่”
เฉียวเวยคว้ามือของนางแสดงให้เห็นนิ้วที่เปื้อนเป็นสีดำ “เจ้าจะอธิบายคราบถ่านบนปลายนิ้วของเจ้าอย่างไร”
อาซิ่วพูดอึกอัก “ข้า…ข้า…ข้าบังเอิญไปจับมาจากที่ไหนสักแห่ง!”
เฉียวเวยยิ้มเยาะ “จริงหรือ เจ้าเอาแต่พูดว่าป้ายเป็นของญาติเจ้า ถ้าเช่นนั้นเจ้าต้องลงทะเบียนจริงๆ ข้าขอถาม แล้วหนังสือเข้าสอบเล่า”
อาซิ่วหน้าถอดสีทันที “หะ…หายไปแล้วเหมือนกัน!”
เฉียวเวยยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าจำลำดับที่นั่งบนเอกสารได้หรือไม่ หนึ่งร้อย? หนึ่งพัน? หรือหนึ่งพันหนึ่ง?”
อาซิ่วและหญิงร่างท้วมไม่สามารถตอบได้เลย
สิ่งสำคัญเช่นนี้มิควรลืม ลำดับที่นั่งของวั่งซูคือหกร้อย ของจิ่งอวิ๋นคือหกร้อยเอ็ด ตัวเลขง่ายๆ เช่นนี้ไม่ยากที่จะจดจำ
“นายท่าน…” อาซิ่วมองใต้เท้าเฉิงด้วยแววตาขอความช่วยเหลือ
ตอนนี้ใต้เท้าเฉิงยังเอาตัวไม่รอด จะกล้าปกป้องนางได้อย่างไร
“คืนป้ายให้ข้าได้หรือยัง การสอบเริ่มขึ้นแล้ว” เฉียวเวยถาม
การคืนป้ายให้เฉียวเวยหมายถึงการยอมรับว่าเฉียวเวยเป็นผู้บริสุทธิ์ อนุภรรยาของใต้เท้าเฉิงเป็นผู้ใส่ร้ายทุกอย่าง อนุภรรยาคนนี้ต้องถูกลงโทษและใต้เท้าเฉิงผู้ปกป้องนางต่อหน้าต่อตาประชาชนก็สมควรรับโทษตามกฎหมายเช่นเดียวกัน
รู้กฎหมายแต่ยังฝ่าฝืนกฎหมาย ในราชวงศ์ต้าเหลียงเป็นโทษสถานหนัก
ดวงตาเย็นชาของยิ่นอ๋องจับอยู่บนใบหน้าของรองหัวหน้ากองเฉิง ใต้เท้าเฉิงเหงื่อตกทันที
ขันทีหลิวเตือนเสียงแผ่วเบา “องค์ชาย อิงกุ้ยเหรินทรงครรภ์อยู่พ่ะย่ะค่ะ”
มือข้างที่ถือถ้วยน้ำชาของยิ่นอ๋องชะงักครู่หนึ่ง จากนั้นจึงค่อยๆ วางถ้วยน้ำชาลง เขาลูบแหวนหยกบนนิ้วโป้งซ้ายเบาๆ “ใต้เท้าเฉิง เจ้าจัดการสอบเสินถงมาแล้วสองครั้ง ที่ผ่านมาเคยมีเหตุการณ์ทำป้ายเข้าสอบหายหรือไม่”
ใต้เท้าเฉิงเป็นผู้หัวไว เมื่อเห็นว่าท่านอ๋องไม่ลงโทษเขาทันทีจึงรู้ว่ามีโอกาสแก้สถานการณ์ เขาพลันรู้สึกโล่งใจ ในเวลาเดียวกันก็รีบประสานมือคำนับตอบว่า “ที่ผ่านมาก็เคยมีบ้างพ่ะย่ะค่ะ ทุกคนทำหล่น แต่ถึงจะเก็บได้ก็มิทราบว่าเป็นของผู้ใด โดยทั่วไปในสถานการณ์นี้เรายอมผ่อนผันให้ตามสถานการณ์ ตราบใดที่แสดงหนังสือเข้าสอบพิสูจน์ลำดับที่นั่งของตนเองได้ เราก็จะปล่อยให้เข้าสนามสอบ กระหม่อมเข้าใจความรู้สึกของฮูหยินท่านนี้ เพียงแต่กระหม่อมไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงต้องลงมือทำร้ายคน ข้าก็บอกแล้วว่าจะให้เจ้าเข้าไป”
ไม่มีคนไร้ยางอายที่สุด มีแต่คนไร้ยางอายยิ่งกว่า!
กล่าววาจาผิดต่อมโนธรรมเช่นนี้ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเจ้าไม่เจ็บปวดบ้างหรือ
ใต้เท้าเฉิงมองไปทางเฉียวเวยและถอนหายใจอย่าง ‘สลดใจ’ “เหตุผลที่ข้าสั่งให้คนโบยเจ้าสามสิบไม้ ก็เพราะหวังว่าเจ้าจะได้เรียนรู้ วันนี้ล่วงเกินข้าเป็นเรื่องเล็ก หากวันหน้าไปล่วงเกินบรรดาผู้สูงศักดิ์เข้า อาจมิได้โดนโบยธรรมดาเช่นนี้ ข้ากระทำเช่นนี้ก็เพื่อฮูหยิน”
เฉียวเวยโกรธจนหัวเราะ “ถ้าเช่นนั้นข้าสมควรซาบซึ้งหรือ ท่านรองหัวหน้ากอง”
“แค่กๆ!” ใต้เท้าเฉิงไอ
ยิ่นอ๋องกล่าวโดยสีหน้าไม่แปรเปลี่ยนสักนิด “สถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นสนามสอบ หากส่งเสียงดังเอะอะเกินไปย่อมส่งผลกระทบต่อผู้เข้าสอบ เช่นนั้นมอบให้ฝ่ายราชการเป็นผู้ตรวจสอบดีหรือไม่ ใต้เท้าเฉิงคิดอย่างไร”
เฉียวเวยตกตะลึง สอบความกันอยู่นาน แต่ท่านอ๋องผู้นี้กลับไม่มอบความยุติธรรมให้นาง แล้วก่อนหน้านี้เขาจะถามให้มากความไปไย
ใต้เท้าเฉิงลอบดีใจ “ยิ่นอ๋องกล่าวถูกต้องเป็นที่สุด! กระหม่อมจะสั่งให้คนคุมตัวนางไปที่จวนเจ้าเมืองเดี๋ยวนี้!”
ยิ่นอ๋องกล่าวอย่างไม่เร่งรีบ “การสอบเสินถงถือเป็นการสอบเคอจวี่ขนาดย่อมของราชวงศ์ต้าเหลียง จะประมาทเลินเล่อมิได้ ใต้เท้าเฉิงให้ลูกน้องอยู่รักษาระเบียบของสนามสอบเพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ไม่คาดฝันอื่นเถิด ส่วนนาง ข้าบังเอิญต้องผ่านทางพอดี เจ้ามอบคนไว้กับข้าก็พอ”
ใต้เท้าเฉิงยินดีเป็นอย่างยิ่ง “เช่นนั้นต้องรบกวนองค์ชายแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ขันทีหลิวเปิดม่านด้านหนึ่งแล้วส่งสัญญาณมือให้องครักษ์
องครักษ์พยักหน้ารับ เอื้อมมือจะไปจับตัวเฉียวเวย แต่เขายังไม่ทันแตะตัวเฉียวเวยแม้เพียงปลายก้อย เสี่ยวไป๋ก็กระโจนเข้าใส่อย่างดุร้าย มันพุ่งเข้าหาเขาราวกับสายฟ้าฟาด กรงเล็บวาววับประหนึ่งลูกธนูแล่นออกจากแล่ง จู่โจมใบหน้าของเขาในพริบตา!
ขันทีหลิวจำเจ้าตัวเล็กนี้ได้ มันคือเพียงพอนหิมะที่ข่วนหน้าเขาจนลายพร้อยที่ทางเข้าหมู่บ้านมิใช่หรือ
หรือว่า…เด็กหญิงคนนั้นเป็นลูกสาวของหญิงชาวบ้านคนนี้
พาลูกสาวมาสอบเสินถง นางเสียสติไปแล้วกระมัง
ตอนแรกองครักษ์ไม่ได้ระวังเสี่ยวไป๋ เขาเห็นก้อนขนตัวกระจ้อยอยู่ข้างเท้าของเฉียวเวยก็คิดเช่นเดียวกับคนส่วนใหญ่ นั่นคือคิดว่ามันเป็นสุนัขสีขาวตัวเล็กๆ ที่ไม่เป็นอันตราย เมื่ออีกฝ่ายพุ่งเข้าใส่เขา เขาจึงไม่ได้ใส่ใจ โดยไม่รู้เลยว่าจะติดกับดักของอีกฝ่าย!
องครักษ์โกรธจัด เกร็งนิ้วมือทั้งห้านิ้วจนกลายเป็นกรงเล็บ จากนั้นจู่โจมเข้าใส่เสี่ยวไป๋!
เสี่ยวไป๋หลบลอดรักแร้เขาอย่างว่องไว แล้วบิดตัวกลับมาข่วนหลังคอของเขา!
รอยเล็บสามเส้นปรากฏขึ้น หยดเลือดไหลออกมาซิบๆ
องครักษ์ยกมือปิดบาดแผลที่หลังคอ แล้วหันกลับมาด้วยท่าทางเหี้ยมเกรียม
เสี่ยวไป๋ส่ายหางใส่อย่างเหิมเกริม
มาสิ ไล่ตามมาสิ ลองไล่ตามท่านเพียงพอนตัวนี้ดูสิ!
องครักษ์โกรธจนถึงขีดสุด เขาเริ่มต่อสู้กับเสี่ยวไป๋
เห็นได้ชัดว่าวรยุทธ์ของคนผู้นี้สูงกว่าชายชุดดำ เสี่ยวไป๋เคยถูกชายชุดดำจัดการมาแล้ว แต่ตอนนี้ มันสามารถจัดการกับคนผู้นี้ได้อย่างง่ายดาย เห็นชัดว่าฝีมือของเสี่ยวไป๋พัฒนาขึ้นไม่น้อย
เสี่ยวไป๋กระโดดขึ้นลง หลบซ้ายขวา สะบัดกรงเล็บไปทางนั้นทางนี้ ทำให้เสื้อผ้าของหน่วยองครักษ์ชิงอีเว่ยขาดวิ่น ทั้งใบหน้า มือ และคอขององครักษ์โดนข่วนจนรุ่งริ่ง สภาพน่าอดสูยิ่งนัก
ดวงตาของยิ่นอ๋องค่อยๆ ดำมืดขึ้นทีละน้อย อามั่วเป็นองครักษ์ชิงอีเว่ยนายหนึ่ง วรยุทธ์ของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าองครักษ์หลิน แต่กลับถูกเพียงพอนเล่นงานจนสู้กลับไม่ได้…
เมื่อใต้เท้าเฉิงเห็นว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดี จึงรีบสั่งทหารในสนามสอบ “พวกเจ้ายืนบื้ออยู่ไย เหตุใดไม่รีบเข้าไปช่วย”
เมื่อนั้นทุกคนจึงกรูกันเข้าไป ทหารที่ฉลาดไปหยิบตาข่ายมาจากประตู
เสี่ยวไป๋ขาดประสบการณ์ในการต่อสู้กับคนหมู่มาก มันจึงโดนจับด้วยตาข่ายเพราะไม่ระวัง…
ดวงตาทั้งสองข้างของมันเหลือกลอยนอนฟุบลงบนพื้น ‘ตายแล้ว!’
ทหารรีบเปิดตาข่าย ทันใดนั้นเสี่ยวไป๋ก็กลับมามีชีวิตอีกครั้ง! มันถ่มน้ำลายใส่หน้าทุกคน แล้วเผ่นแผล็วออกไป!
“จับผู้หญิงคนนั้นไว้!” ใต้เท้าเฉิงตะโกน
ทหารรับคำสั่งแล้วรีบวิ่งไปจับเฉียวเวย
ต้องขอโทษจริงๆ ที่เฉียวเวยเป็นเจ้าแม่แห่งการต่อสู้กับหมาหมู่ ในอดีตสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าของนางเคยตกเป็นเป้าหมายของกลุ่มอิทธิพลมืด กลุ่มอิทธิพลมืดจะบังคับให้พวกเด็กผู้หญิงอย่างพวกนางออกไปค้าประเวณี นางจึงซ้อมพวกมันจนสมองเกือบไหลออกมาจากกะโหลก
ทหารทั้งหลายถูกเฉียวเวยจัดการจนน่วม
ใต้เท้าเฉิงหวาดกลัวจึงรีบไปซ่อนตัวอยู่หลังรถม้าของยิ่นอ๋อง
แววตาของยิ่นอ๋องเย็นชา เขายื่นมือออกจากม่านรถ ใช้กำลังภายในส่งแรงดูดสายหนึ่ง ดูดเสี่ยวไป๋เข้ามาไว้ในกำมือ เขาบีบคอเสี่ยวไป๋แน่น กล่าวด้วยเสียงเย็นชาว่า “หยุด ไม่เช่นนั้นข้าจะฆ่ามัน”
เสี่ยวไป๋หายใจไม่ออก ตาเหลือก ลิ้นจุกปาก
เฉียวเวยตัวแข็งทื่อ
เหล่าทหารถูกนางจัดการจนแตกกระเจิง มีหลายคนร้องครวญครางอยู่บนพื้น ครั้นเห็นนางหยุดกะทันหัน พวกเขาจึงส่งสายตาให้กันแล้วคว้าเชือกหมายจะมัดตัวนางไว้!
ในเวลานี้เองกลับมีฝนดอกไม้โปรยปรายลงมาจากท้องนภาบริเวณไม่ไกลนัก ยามแรกเหมือนกลีบดอกไม้เริงระบำตามสายลม นุ่มนวล ละเอียดอ่อนดั่งเรือนร่างงามชดช้อยของหญิงสาว ชวนให้ผู้มองลุ่มหลงมัวเมา เมื่อมันลอยเข้ามาใกล้ ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือออกไปรับมาสักกลีบ ทันใดนั้นเองกลีบดอกไม้เหล่านั้นกลับเหมือนหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ ทว่าเพียงชั่วพริบตากลีบดอกไม้พลันแตกเป็นเสี่ยงๆ ส่วนที่แตกกลายเป็นเข็มเงินพุ่งออกไปราวสายฝน ปักลงบนอกของทุกคนอย่างสยดสยอง!
บรรดาทหารล้มระนาว!
แม้แต่หน่วยองครักษ์ชิงอีเว่ยของจวนยิ่นอ๋องก็ไม่รอด!
เข็มเงินอีกสองเล่มเจาะม่านรถทะลุเข้าไปในรถม้า เล่มหนึ่งปักบนเป้าของขันทีหลิว ตอกกางเกงกับเบาะนั่งอย่างแน่นหนา ขันทีหลิวก้มลงมองเป้าของตัวเอง เขากลัวมากจนปัสสาวะราด…
อีกเล่มหนึ่งยิ่นอ๋องใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางคีบไว้ได้ แต่ผู้ใดจะรู้ว่าพริบตาต่อมาเข็มเงินเล็กๆ อีกเล่มหนึ่งกลับพุ่งออกจากเข็มเงินเล่มนี้ มันพุ่งไปชนผนังรถแล้วกระเด็นกลับมาตัดเส้นผมของยิ่นอ๋องขาดหนึ่งเส้น
คนโบราณมองว่าผมคือชีวิต การตัดผมคือการตัดศีรษะ ไม่อาจให้อภัยได้
สีหน้าของยิ่นอ๋องย่ำแย่ยิ่งนัก บรรยากาศอึมครึมกระจายไปทั่วรถม้า
เฉียวเวยรู้สึกถึงความหนาวเย็นและแรงกดดันหนักหน่วงที่ลอดออกมาจากม่านลูกปัดหนา
อาวุธลับเมื่อครู่นี้ยอดเยี่ยมนัก เหมือนสเปเชียลเอฟเฟคไม่มีผิด หากไม่ใช่เพราะยังมีกลุ่มทหารนอนระเกะระกะลุกไม่ขึ้นอยู่ นางคงคิดว่าตัวเองตาฝาดเสียแล้ว ยิ่นอ๋องอะไรนั่นที่อยู่ข้างในก็คงบาดเจ็บเหมือนกันกระมัง จึงได้โกรธมากเช่นนี้
เจ็บเสียได้ก็ดี!
ผู้ใดใช้ให้เจ้าปกป้องขุนนางชาติสุนัข! ผู้ใดให้เจ้าใช้กฎหมายเข้าข้างพวกตนเอง! เจ้าเต่าหดหัวชั่วช้าสารเลว!
เฉียวเวยอุ้มเสี่ยวไป๋ที่ร่วงลงมาอยู่บนพื้นขึ้นมา นางรีบหลบไปยังตรอกที่อยู่ห่างออกมาสามจั้ง ด้วยเกรงว่าคนที่อยู่ด้านในจะอับอายจนเกรี้ยวกราดมาระบายความโกรธเอากับนาง!
ยิ่นอ๋องโกรธมากจริงๆ ผู้ที่ใช้อาวุธลับได้อย่างยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ มองดูทั่วทั้งต้าเหลียงแล้วคงมีเพียงเยี่ยนเฟยเจวี๋ยราชาแห่งองครักษ์เงาผู้ลึกลับเท่านั้น
เมื่อสิบปีก่อน เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเป็นยอดฝีมือด้านอาวุธลับลำดับต้นๆ ในยุทธภพ แต่เนื่องจากสำนักของเขาสั่งห้ามใช้อาวุธลับ เยี่ยนเฟยเจวี๋ยจึงแตกหักกับสำนัก เมื่อไม่มีสำนักคอยคุ้มครอง เขาจึงถูกผู้คนมากมายในยุทธภพตามฆ่า ต่อมามีข่าวลือว่าเขาไปขอพึ่งจีหมิงซิวและกลายเป็นหนึ่งในเจ็ดยอดฝีมือใต้บัญชาของจีหมิงซิว
อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น ไม่มีผู้ใดเคยเห็นเขาปรากฏตัวข้างกายจีหมิงซิวจริงๆ ยิ่นอ๋องเคยสงสัยข่าวลือว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ถึงขนาดคิดว่าเยี่ยนเฟยเจวี๋ยอาจถูกเหล่าศัตรูคู่อริสังหารไปนานแล้ว จนกระทั่งวันนี้ ได้พบอาวุธลับที่ร้ายกาจเช่นนี้ เขาจึงเพิ่งตระหนักว่าตนเองอาจคิดผิดไป
รถม้าไม่สะดุดตาขับเข้ามาใกล้ก่อนจะจอดอยู่ข้างรถม้าอันงดงามหรูหราของยิ่นอ๋อง ทว่าความน่าเกรงขามมิได้ด้อยกว่ายิ่นอ๋องเลย อำนาจบารมีที่แผ่ออกมาอย่างเป็นธรรมชาตินั่นประหนึ่งจักรพรรดิ เพียงพริบตาเดียวก็ข่มอำนาจของยิ่นอ๋องทันที
ขนาดเฉียวเวยผู้อยู่ไกลออกไปยังรู้สึกขนหัวลุกซู่บนศีรษะ
“มาจับคนในเขตของข้า มือของยิ่นอ๋องยาวเกินไปหน่อยแล้วกระมัง”
จีหมิงซิวนั่งอยู่ในรถม้า เสียงของเขาไม่ดังแต่เพียงพอทำให้ผู้คนอกสั่นขวัญแขวน
สีหน้าของใต้เท้าเฉิงเปลี่ยนไปทันที “ใต้…ใต้…ใต้เท้า…อัคร…อัครมหาเสนาบดี?”
ยิ่นอ๋องมองจ้องม่านรถนิ่งนาน ราวกับจะมองทะลุม่านรถเข้าไปด้านในให้เห็นจีหมิงซิวที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
จีหมิงซิวยิ้มเยาะ “ต้องการให้ข้าส่งหรือ”
ยิ่นอ๋องแตะแหวนหยกที่นิ้วโป้งข้างซ้าย “ไป”
รถม้าเคลื่อนออกไป