หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 74-1 กักไว้ใต้อ้อมแขน
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 74-1 กักไว้ใต้อ้อมแขน
ตอนที่ 74-1 กักไว้ใต้อ้อมแขน
ด้านหวังมามา หลังจากรายงานสถานการณ์ของคุณหนูใหญ่กับสวีซื่อแล้ว หวังมามาก็รีบนั่งรถม้ากลับไปที่สำนักศึกษาทันที นางต้องการพบคุณหนูใหญ่ก่อนคนจะแยกย้ายกันไปหมด จะได้ถือโอกาสสอบถามความจริงจากคุณหนูใหญ่ ดูว่านางมีเจตนาเช่นไรกันแน่ เมื่อนางมาถึงสนามสอบ นางก็เห็นคุณหนูใหญ่คุยกับนายน้อยอย่างสนุกสนานตั้งแต่ไกล นางตกใจยิ่งนัก…
“ข้าไปแล้วนะ พ่อหนุ่มน้อย!”
เฉียวเวยตบไหล่เฉียวอวี้ฉีแล้วเดินออกจากสนามสอบพร้อมหลัวหย่งเหนียนและเด็กๆ ทั้งสามคน
เฉียวอวี้ฉีมองคนกลุ่มนั้นหายไปจากคลองสายตาอย่างสุดแสนเสียดายพลางถอนหายใจยาว
สาวใช้ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ในจวนก็มีพี่สาว น้องสาวกับน้องชายนี่เจ้าคะ นายน้อยกลับไปเล่นซนกับพวกเขาก็ได้”
เฉียวอวี้ฉีหน้ามุ่ยด้วยความขยะแขยง เฉียวอวี้ซีจอมเอาแต่ใจผู้นั้นน่ะนะ วันๆ คิดแต่จะเอาใจคนในจวนอัครเสนาบดี หน้าไม่อาย!
หลังจากแน่ใจแล้วว่าพวกคุณหนูใหญ่เดินไปไกลแล้ว หวังมามาจึงกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามา พูดด้วยรอยยิ้มว่า “นายน้อยทำข้อสอบเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
“ก็พอได้” เฉียวอวี้ฉีตอบอย่างไม่ยินดียินร้าย
หวังมามาหยิบถุงน้ำจากกุ้ยจือออกมาเปิดจุก “นายน้อย ดื่มน้ำเจ้าค่ะ”
“ไม่ดื่ม!” เฉียวอวี้ฉีผลักออกอย่างรำคาญ
หวังมามายื่นถุงน้ำให้กุ้ยจือ นางขยับเข้าไปใกล้เฉียวอวี้ฉีพลางยิ้มแย้มถามว่า “เมื่อครู่นายน้อยกำลังคุยกับผู้ใดเจ้าคะ ท่าทางเบิกบานใจนักเชียว”
“ผู้มีพระคุณของข้า!” เฉียวอวี้ฉีพูดอย่างร่าเริง น้ำเสียงดีกว่าก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด
ดวงตาของหวังมามาทอประกาย พูดต่อว่า “นางดูยังเด็กอยู่เลย นางมีลูกสามคนแล้วหรือ คนโตที่อายุสิบขวบ…คงไม่ใช่ลูกของนางกระมัง ท่านว่าการสอบสำคัญขนาดนี้ ทำไมบิดาของพวกเขาถึงไม่มาด้วย”
เฉียวอวี้ฉีมองหวังมามาอย่างระมัดระวัง “ทำไม เจ้ากำลังพยายามจะบอกอะไรข้าหรือ ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อน อย่าคิดจะทำอันใดกับผู้มีพระคุณของข้าเชียว! ข้ารู้ว่าเจ้ามีลูกชายโง่เง่า หากเจ้ากล้าหลอกให้นางไปเป็นสะใภ้ของเจ้า ข้าไม่มีวันปล่อยเจ้าไปแน่!”
หวังมามาอ้าปากค้าง เด็กสมัยนี้นี่! จริงๆ เลยเชียว!
…
เฉียวเวยพาเด็กๆ เดินกลับทางที่เคยเดินตอนขามา นางคิดเรื่องปัญหาการจราจรไว้ก่อนแล้ว จึงให้เฉินต้าเตาขับรถม้ามาจอดรอที่ทางเข้าด้านทิศตะวันออกของถนนหนานซาน แต่ทุกคนรออยู่นานก็ไม่พบเฉินต้าเตา เฉียวเวยจึงเดาว่าเฉินตาเตาอาจหลงทาง
เฉินต้าเตาหลงทางจริงๆ เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองให้ดูมีความสามารถต่อหน้าฮูหยิน เขาอายที่จะบอกฮูหยินว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นคนหลงทิศหลงทาง ฮูหยินบอกเส้นทางกับเขาแล้ว แต่เขาไม่รู้ทิศเหนือใต้ออกตก แถมยังไม่กล้าถามทางใครเพราะกลัวจะถูกคนอื่นแกล้งบอกทางผิด เพราะเขาเองก็เคยทำเรื่องเลวๆ เช่นนั้นมาก่อน…
เขาวนรอบถนนใหญ่ วนไปรอบแล้วรอบเล่า รอบแล้วรอบเล่า วิ่งวนจนจิตใจจวนเจียนจะแตกสลายแล้ว ในที่สุดฮูหยินก็ตามหาเขาจนพบ
วินาทีที่เห็นฮูหยิน เขาซาบซึ้งจนแทบร้องไห้!
ทุกคนหิวจัด บังเอิญมีร้านบะหมี่ส่านซีอยู่ใกล้ๆ ลานหลังบ้านขนาดเล็กของร้านบะหมี่มีลุงแก่ๆ รับเฝ้าคอกม้า คิดค่าเฝ้าม้าราคาสิบอีแปะ เฝ้ารถม้าราคายี่สิบอีแปะ เฉียวเวยจึงจ่ายเงินให้เขายี่สิบอีแปะ
ต้องขอบคุณการหลงทางของเฉินต้าเตา เพราะสถานที่แห่งนี้อยู่ไกลจากสนามสอบแต่ละแห่ง ข้าวของจึงราคาถูกกว่ามาก บะหมี่ใส่เนื้อราคาชามละสามสิบอีแปะเท่านั้น นี่ถือเป็นราคาที่ปรานีมากแล้ว
“ลูกค้าทุกท่านรับอะไรดีขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์นำน้ำเปล่าเย็นๆ หนึ่งกามาบริการ ร้านเล็กๆ เช่นนี้ไม่มีบริการน้ำชา
“ร้านเจ้ามีอะไรบ้าง” เฉียวเวยถาม
เสี่ยวเอ้อร์พูดอย่างคล่องแคล่ว “บะหมี่เนื้อ บะหมี่แห้งเส้นใหญ่ เส้นใหญ่เย็น บะหมี่เย็น แป้งสอดไส้เนื้อ บะหมี่เส้นเกลียว หมี่แป้งถั่ว แป้งสับน้ำแกงเนื้อแพะ เนื้อหมักเครื่องเทศ ลูกค้าจะรับอะไรดีขอรับ”
เฉียวเวยสั่งบะหมี่เนื้อหนึ่งชาม เด็กๆ ต่างก็เอาแป้งสับน้ำแกงเนื้อแพะคนละชาม เฉินต้าเตาเอาบะหมี่แห้งเส้นใหญ่กับแป้งสอดไส้เนื้อ
เสี่ยวเอ้อร์ตอบรับด้วยรอยยิ้ม “ท่านลูกค้าโปรดรอสักครู่ เดี๋ยวมาขอรับ!”
เฉียวเวยหยุดเขา “หั่นเนื้อหมักเครื่องเทศมาอีกสองจานด้วย”
“ขอรับ ได้เลยขอรับ!” เสี่ยวเอ้อร์จากไปอย่างมีความสุข ไม่มีผู้ใดไม่ชอบลูกค้ามือเติบ แถมยังสวยขนาดนี้อีกด้วย!
เฉินต้าเตาไม่รู้ว่าช่วงเช้าพวกเขาผ่านเรื่องอกสั่นขวัญแขวนมาขนาดไหน คิดว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี จึงแค่ถามว่าเด็กๆ สอบกันเป็นอย่างไรบ้าง
“ก็พอได้ขอรับ” อาเซิงกล่าว ท่าทางไม่ค่อยร่าเริงนัก มิรู้ว่าสอบไม่ได้ดั่งใจหรือเพราะละอายใจที่ทำให้จิ่งอวิ๋นพลาดการสอบ
“แล้วเจ้าเล่า วั่งซูตัวน้อย” เฉินต้าเตาลูบศีรษะเล็กๆ ของวั่งซู
วั่งซูตอบอย่างมั่นใจ “ข้าทำได้หมดเลยเจ้าค่ะ!”
เฉินต้าเตาหันไปเห็นเสี่ยวไป๋อย่างรวดเร็ว “เสี่ยวไป๋ ทำไมขนที่หางของเจ้าจึงโล้นเช่นนั้น”
ฮือๆ ดึงออกไปหมดแล้ว…
เฉียวเวยลูบศีรษะของจิ่งอวิ๋น ไม่ได้ถามว่าเขาทำข้อสอบได้หรือไม่ ขาดสอบหนึ่งวิชาก็ไม่ยุติธรรมสำหรับเขาแล้ว นางไม่ต้องการกดดันเขา
อาหารของทุกคนถูกยกออกมาอย่างรวดเร็ว ด้วยปริมาณที่คุ้มค่า มีแต่อาหารชามใหญ่ๆ รสชาติก็ยอดเยี่ยม รสชาติเฉกเช่นของแท้ต้นตำรับ กินแล้วรู้สึกมีกำลังวังชา บะหมี่เนื้อเผ็ดเล็กน้อย หมูสามชั้นมันแต่ไม่เลี่ยน หูหลัวปัวกับเต้าหู้รสชาติเข้าเนื้อ เฉียวเวยป้อนลูกสองคนคนละคำ วั่งซูเผ็ดจนต้องแลบลิ้นระบายความเผ็ดร้อน ส่วนจิ่งอวิ๋นเผ็ดจนใบหน้าเล็กๆ ของเขาแดงเถือกไปหมด
เสี่ยวไป๋ไม่ชอบกินพืชผัก ยกเว้นที่เป็นของหวาน เฉียวเวยหยิบถ้วยของเจ้าเพียงพอนออกมาจากห่อผ้า จากนั้นหยิบเนื้อหมักเครื่องเทศชิ้นหนาหลายชิ้นไปล้างน้ำสะอาดแล้ววางใส่ถ้วยของมัน มันเคี้ยวเสียงดังกร้วมๆ
เนื้อหมักเครื่องเทศค่อนข้างแข็ง วั่งซูกับจิ่งอวิ๋นไม่ชอบกินนัก แต่อาเซิงกลับชอบกิน ฐานะครอบครัวของเขาย่ำแย่มากจนไม่อาจกินบะหมี่ได้ทุกวัน เนื้อตุ๋นน้ำแดงนับเป็นอาหารจานหรูที่สุดแล้ว ต้องรอวันสำคัญเท่านั้นจึงจะได้กิน สองมื้อที่ดีที่สุดในเดือนนี้คือสองครั้งที่เดินทางมาเมืองหลวง
อาเซิงมองเจ้าก้อนซาลาเปาน้อยๆ ทั้งสองที่ก้มหน้าก้มตากินจนเหงื่อผุดพรายบนจมูก เฉียวเวยคอยเช็ดเหงื่อให้อย่างนุ่มนวลราวกับว่าพวกเขาคือโลกทั้งใบของนาง เห็นเช่นนี้แล้วก็รู้สึกประทับใจ
จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูในความทรงจำของเขาไม่ได้มีลักษณะเช่นนี้ ตัวพวกเขามักจะสกปรก สีหน้าซีดเซียว ร่างกายผอมบาง เหมือนเด็กที่ไม่เคยได้รับสารอาหารอย่างพอเพียง มักจะนั่งบนก้อนหินหน้าหมู่บ้านด้วยท่าทางน่าสงสาร กลุ่มเด็กๆ ที่เห็นมักจะเข้าไปกลั่นแกล้งและหยอกล้อ นอกจากเอ้อร์โก่วจื่อแล้วก็ไม่มีใครสนใจพวกเขา
ตอนนี้พวกเขาตัวขาวจ้ำม่ำ สะอาดสะอ้านสะอาดแลดูภูมิฐาน เด็กๆ ในหมู่บ้านต่างก็วิ่งตามพวกเขา ยื้อแย่งแข่งกันอยากเล่นกับพวกเขา
ทั้งหมดเป็นเพราะความดีความชอบของพี่เฉียวสินะ
เขาเองก็อยากมีมารดาเช่นนี้สักคน
ความจุกระเพาะของอาเซิงมีจำกัด กินไปไม่กี่ชิ้นก็อิ่มแล้ว เนื้อหมักเครื่องเทศส่วนใหญ่จึงเข้าไปอยู่ในท้องของเฉินต้าเตากับหลัวหย่งเหนียน
เสี่ยวเอ้อร์เห็นว่าพวกเขาสั่งอาหารเยอะ จึงแถมน้ำแกงให้สามชามกับขนมเหลียวฮวาถังอีกหนึ่งจาน
ขนมเหลียวฮวาถังก็คือขนมเหลี่ยวฮวาถังในปัจจุบัน ทำจากแป้งข้าวเหนียว ลักษณะเหมือนไม้ตีกลอง มีงาขาวกับน้ำตาลทรายเคลือบบนผิวสีทองด้านนอก ข้างในมีสีขาวเหมือนหิมะ ลักษณะเป็นรูพรุนคล้ายด้านในของรวงผึ้ง เมื่อกัดเข้าไปจะมีรสชาติหวานกรอบ หอม นุ่ม อร่อย
เด็กๆ ต่างชื่นชอบกันมาก
หลังจากรับประทานอาหารจนอิ่มแล้ว เฉียวเวยก็จ่ายเงินทั้งหมดรวมเป็นเงินสี่ร้อยสามสิบอีแปะ ซึ่งถือว่าดีและถูกมากหากเทียบกับร้านอื่นในเมืองหลวงแห่งนี้
…
การสอบเสินถงถือเป็นการสอบเคอจวี่ขนามย่อมของสมัยราชวงศ์นี้ อิทธิพลของมันไม่ใช่สิ่งที่จะมองข้ามได้ ราคาของโรงเตี๊ยมทั้งหมดเพิ่มขึ้นหลายเท่า ยิ่งใกล้สนามสอบราคายิ่งแพง โรงเตี๊ยมหลายแห่งที่อยู่ใกล้สำนักศึกษาหนานซานขึ้นราคาเป็นห้องละหกตำลึง เป็นราคาที่สูงเสียดฟ้า
กลุ่มพวกเขาต้องจองห้องพักอย่างน้อยสองห้องจึงเป็นเงินสิบสองตำลึง
ธุรกิจไข่เยี่ยวม้าของเฉียวเวยไปได้สวยจึงพอจะหาเงินจำนวนนี้ได้ เพียงแต่…
“เต็มแล้วขอรับ ขออภัยด้วยขอรับ” เถ้าแก่กล่าวขออภัย
ถามโรงเตี๊ยมกี่แห่งก็ล้วนแล้วแต่ตอบเช่นนี้ แม้ยินดีจ่ายเงินแต่ไม่มีสถานที่ให้ใช้เงิน
“เช่นนั้น…พักไกลหน่อย พรุ่งนี้ค่อยตื่นแต่เช้าดีหรือไม่” หลัวหย่งเหนียนเสนอ
เฉียวเวยพยักหน้า “คงต้องเป็นเช่นนั้นแล้ว”
หลัวหย่งเหนียนขับรถม้าตามถนนหนานซานไปทางทิศตะวันตก สิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือ ไม่เจอโรงเตี๊ยม แต่ได้พบคนรู้จักที่ไม่คาดฝัน
“พี่สือชีนี่นา เดี๋ยว เลยแล้ว เลยแล้ว ท่านน้า ช่วยหยุดรถด้วยเจ้าค่ะ!” วั่งซูถกกระโปรงขึ้นแล้วกระโดดลงจากรถม้า วิ่งไปหาเด็กหนุ่มชุดดำที่อยู่ในตรอก!
สือชียืนอยู่ในตรอกที่มีความกว้างไม่ถึงสองเมตร มือกอดอก ถือกระบี่ในมือซ้าย เงยศีรษะขึ้น จ้องมองเหลาสุราที่อยู่ข้างๆ อย่างว่างเปล่า ราวกับว่าเขาไม่ได้ยินเสียงคนเรียกสักนิด
วั่งซูวิ่งกระหืดกระหอบเข้าไปในตรอก “พี่สือชี!”
ทันใดนั้นร่างหนึ่งก็เหินลงมาชั้นล่าง ถลาเข้าใส่สือชีราววิญญาณ สือชีเหวี่ยงด้ามกระบี่ขึ้น ชักกระบี่ออกมาระหว่างที่กระบี่ลอยอยู่กลางอากาศ จากนั้นยกเท้าถีบฝักกระบี่ขึ้นไปบนฟ้า ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่หันมามองวั่งซูแม้แต่น้อย ทว่าเขากลับโอบวั่งซูเข้ามาในอ้อมแขนได้อย่างแม่นยำ จากนั้นใช้มือข้างหนึ่งปิดดวงตาของนางพร้อมกับที่ทะยานร่างลอยขึ้นมาบนท้องฟ้า
วั่งซูตะโกนอย่างตื่นเต้น “ว้าว! ข้ากำลังบินอยู่!”
กระบี่ของสือชีแทงทะลุหัวใจของคนผู้นั้น คนผู้นั้นไม่มีเวลาแม้แต่จะร้องขอความช่วยเหลือ เขาเบิกตากว้าง ถูกสือชีเตะกลับเข้าไปในเหลาสุรา
อ้ากกก
เสียงกรีดร้องตื่นตระหนกดังออกมาจากในเหลาสุรา
สือชีลงมายืนบนพื้นพร้อมกับวั่งซูในอ้อมแขน ฝักกระบี่ที่เขาเตะขึ้นไปบนฟ้าตกลงมาสวมเข้ากับกระบี่ของเขาอย่างพอดิบพอดี
เขาอุ้มวั่งซูเดินออกจากตรอก
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและไร้ร่องรอย วั่งซูคิดว่าพี่สือชีเพียงอุ้มนางกระโดดสูงๆ เท่านั้นจึงสนุกสนานเป็นอย่างมาก อยากให้เขาทำอีกสักครั้ง
เฉียวเวยได้ยินเสียงกรีดร้องในเหลาสุรา คิดอยู่ว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับสือชี แต่สือชีไม่พูด ต่อให้นางถามก็ไม่ได้ความอันใด
“พี่สือชี วันนี้ข้าสอบเสร็จแล้ว ท่านพี่กับพี่อาเซิงก็สอบด้วย” วั่งซูยกขึ้นมาสี่นิ้ว เห็นๆ อยู่ว่ามีสามคน แต่ไม่รู้ว่านางนับอย่างไรถึงได้ชูขึ้นมาสี่นิ้ว “เรากำลังหาโรงเตี๊ยมอยู่ คืนนี้เราจะไม่กลับบ้านแล้ว จะอยู่ในเมืองหลวง พรุ่งนี้ยังมีการสอบอีก”
ฝีเท้าของสือชีหยุดกึก หันมามองเฉียวเวยราวกับต้องการสื่อความหมายอย่างแรงกล้า
เฉียวเวยไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไรในตอนแรก แต่ยิ่งมอง หัวใจของนางก็ยิ่งเต้นประหนึ่งรัวกลอง นางเข้าใจอะไรบางอย่างรางๆ จึงตอบอย่างเคร่งขรึม “ไม่ สือชี ไม่ได้ ไม่ได้จริงๆ หากเจ้าอยากเจอวั่งซูก็…”
ก่อนที่จะพูดจบ สือชีก็อุ้มวั่งซูใช้วิชาตัวเบาเหินหายไปแล้ว
“สือชี!” เฉียวเวยกระทืบเท้า!
เฉินต้าเตาตกตะลึง ไม่เสียทีเป็นหนึ่งในเจ็ดยอดฝีมือของอัครมหาเสนาบดี วิชาตัวเบาระดับนี้ ต่อให้เขาหวดแส้ม้าให้วิ่งตามก็ยังตามไม่ทัน!
หลัวหย่งเหนียนอ้าปากกว้าง “ท่านพี่…สือชีจะพาวั่งซูไปที่ใด”
เฉียวเวยเม้มริมฝีปาก หากนางเดาไม่ผิด ก็น่าจะ…เป็นที่นั่นกระมัง
เฮ้อ สือชี เจ้าทำร้ายข้าจริงๆ!
…
หลัวหย่งเหนียนขับรถม้าได้ ทั้งยังคุ้นเคยกับถนนและตรอกซอกซอยในเมืองหลวง หลังจากพบกัน เขาจึงกลายเป็นคนคุมรถม้า
เฉียวเวยให้เขาขับรถม้าไปเรือนสี่ประสานบนถนนซิ่งเฟิง หลัวหย่งเหนียนเคยไปที่นั่น รู้ว่าจะเดินทางไปอย่างไร ดังนั้นเขาจึงรีบขับรถม้าไปที่ถนนแห่งนั้นทันที
จิ่งอวิ๋นคิดว่าคืนนี้พวกเขาจะได้ค้างกับลุงหมิง ดวงตาคู่โตสดใสเปล่งประกาย ทว่าพริบตาต่อมาเฉียวเวยก็ลงจากรถไปเพียงลำพัง “พวกเจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ ข้าจะรีบกลับมา”
สายตาของจิ่งอวิ๋นฉายแววผิดหวัง
เฉียวเวยเดินไปที่เรือนสี่ประสาน แว่วเสียงตื่นเต้นของวั่งซูจากไกลๆ พร้อมกับเสียงหัวเราะเป็นครั้งคราว “ลงแล้ว!”
เล่นสนุกเชียวนะ!
เฉียวเวยหน้ามุ่ยเล็กน้อยขณะที่เคาะประตูเรือน
คนเปิดประตูคือหมิงอัน ครั้งล่าสุดที่หมิงอันเปิดเผยที่ตั้งของเรือนสี่ประสานให้เฉียวอวี้ซีโดยไม่ได้รับอนุญาต เขาถูกนายท่านโบยยี่สิบไม้ ตอนนี้เขาหายดีแล้ว เพื่อชดเชยความผิดก่อนหน้านี้ เขาแทบจะอยากแยกตัวเองเป็นสองร่าง ขยันทำงานจนแทบไม่เหมือนตัวเขาเอง
เมื่อเขาเห็นเฉียวเวยดวงตาก็พลันเป็นประกาย “ฮูหยิน ในที่สุดท่านก็มาแล้ว! ข้ารอท่านนานแล้ว รีบเข้ามานั่งด้านในก่อนขอรับ” ว่าแล้วก็มองด้านหลังเฉียวเวย เห็นถนนว่างเปล่าก็อุทานด้วยความสงสัย “จิ่งอวิ๋นเล่าขอรับ”
“เขาอยู่ในรถม้า”
“ข้าจะไปอุ้มเขามาขอรับ!”
“ไม่ต้องหรอก ประเดี๋ยวข้าก็จะไปแล้ว”
“หา” หมิงอันขมวดคิ้วอย่างผิดหวัง มองไปทางลานบ้าน ลังเลอยู่สักพัก ในที่สุดก็หลีกทางให้เฉียวเวย “ก็ได้ขอรับ เชิญฮูหยินเข้าไปด้านใน”
เฉียวเวยก้าวข้ามธรณีประตู เมื่อเดินเข้าไปในลานบ้านก็ได้กลิ่นหอมของดอกไม้จางๆ ลานอันกว้างขวางเปลี่ยนความสงบของเหมันตฤดูให้แปรเปลี่ยนเป็นมวลบุปผาบานสะพรั่ง ดอกไม้หลากสีสันแลดูอบอุ่นดั่งยามวสันต์
วั่งซูนั่งยองๆ เล่นดีดลูกหินบนพื้นราบเรียบจุดหนึ่ง ลูกหินนี้ต่างจากหินกรวดพวกนั้นในหมู่บ้าน ความจริงมันเป็นเครื่องแก้วสีสันสดสวยที่ทำเป็นลูกกลม เครื่องแก้วในยุคโบราณค่อนข้างคล้ายกับแก้วในยุคปัจจุบันแล้ว มันเพียงขุ่นกว่าเล็กน้อย แต่ไม่ส่งผลกับความงดงามของมัน เครื่องแก้วในสมัยโบราณราคาแพงมากและเป็นของหายากที่พบเห็นได้น้อย