หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 1-2
ตอนที่ 1-2
ระหว่างตกขบวนต่อไปกับสนทนากับราชันอสูร ไห่สือซานเลือกอย่างแรก
เขากำลังเบื่อ เลยออกไปเดินข้างนอกเสียเลย พอผลักประตูออกไปก็เห็นว่าตรงหน้าประตูบ้าน แม่ทัพน้อยมู่กับชางจิวกำลังกระซิบกระซาบคุยอะไรกันอยู่ ทั้งสองพอเห็นเขาออกมาก็พร้อมใจกันเงียบไปทันที
ไห่สือซานยกมือขึ้น ยิ้มแหยๆ บอกว่า “พวกเจ้าคุยของพวกเจ้าต่อเถิด”
แม่ทัพน้อยมู่เหลือบมองชางจิวทีหนึ่งแล้วเอ่ยกับไห่สือซานว่า “เขากำลังถามข้าว่าพวกเจ้าจะสนทนากันอีกนานเท่าไร บาดแผลของนายท่านเขาน่ากลัวว่าคงจะรอไม่ได้แล้ว”
“ให้ตายสิ เหตุใดถึงลืมเรื่องนี้ไปได้นะ” ไห่สือซานตบหน้าผากตนเองแล้วหมุนตัวเดินเข้าไป
ไม่เท่าไร เฉียวเวยก็เลิกผ้าม่านออกมา เอ่ยกับชางจิวด้วยสีหน้าเยือกเย็น “ยกนางเข้าไปเถิด”
นักรบมรณะสองนายยกตัวฮองเฮาเข้าไปในโรงหมอ
เฉียวเจิงมองปราดเดียวก็จำได้ทันทีว่านี่เป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของยิ่นอ๋อง “ให้ตายสิ เหตุใดนางถึงบาดเจ็บเพียงนี้ได้”
เฉียวเวยเล่าให้เฉียวเจิงฟังว่าฮองเฮาได้แผลมาอย่างไร
เฉียวเจิงได้ฟังก็ตกใจยิ่งนัก แต่ตกใจก็ส่วนตกใจ เขาไม่เสียเวลาที่จะรักษาบาดแผลให้นางก็พอ
เฉียวเวยเป็นลูกมือให้เขา ไม่นานเขาก็จัดการปากแผลของฮองเฮาจนเรียบร้อย จุดที่มีดเสียบเข้าไปนั้นอยู่ห่างจากหัวใจไม่ถึงครึ่งชุ่น หากเบนจากนี้ไปอีกนิด นางคงกลายเป็นศพไปแล้ว แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น อาการของนางก็ไม่นับว่าดีจริงๆ นางเสียเลือดมากเกินไป ชีพจรเสียหายอย่างหนัก จะทนจนรอดชีวิตต่อไปได้หรือไม่ต้องดูสามวันหลังจากนี้แล้ว
หากสามวันหลังจากนี้หากนางฟื้นขึ้นมาได้ ก็นับว่าช่วยชีวิตนางกลับมาได้แล้ว
แต่หากไม่ฟื้น… เช่นนั้นก็รอทำศพให้นางก็แล้วกัน
เฉียวเวยเก็บข้าวของพลางเอ่ยกับเฉียวเจิงว่า “ท่านพ่อ ท่านจะตามพวกข้าไปที่เมืองเยี่ยเหลียงเมื่อใดดี จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูคิดถึงท่านมาก”
เฉียวเจิงถอนหายใจทีหนึ่ง “ข้าก็คิดถึงพวกเขา แต่ข้าอยากอยู่รอแม่เจ้าที่นี่ หากเกิดท่านแม่เจ้ามาแล้วตามหาข้าไม่เจอ นางคงเสียใจแย่”
เฉียวเวยอยากบอกว่าเช่นนั้นนางจะพาจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูมา แต่ก็ชะงักไป รู้สึกว่าเมืองแห่งนี้บางทีอาจจะไม่สงบปลอดภัยเช่นภาพลักษณ์ภายนอก ไว้รอให้รู้ตื้นลึกหนาบางเสียก่อนค่อยตัดสินใจอีกที
คณะของพวกเขากินมื้อกลางวันกันที่โรงหมอ เฉียวเจิงลงครัวด้วยตัวเอง เขาผัดกับข้าวที่เฉียวเวยกับจีหมิงซิวชอบกิน ทั้งยังต้มน้ำแกงถั่วเขียวต้มน้ำตาลให้ราชันอสูรหม้อหนึ่งด้วย
ราชันอสูรพอได้กินน้ำแกง ตาก็เป็นประกายปิ๊งๆ และจัดการทำ “สัญลักษณ์” ให้เฉียวเจิงทันที
พวกเขาไม่ได้กินอาหารพื้นบ้านที่รสชาติดั้งเดิมเช่นนี้มานานแล้ว จึงกินราวกับไม่ได้กินมาเป็นร้อยปี กับข้าวขนาดสิบคนกิน ถูกพวกคน “หิวโหย” เหล่านี้กวาดกันเกลี้ยงราวกับพายุในพริบตา
ในใจพวกเขาอิ่มเอมกันยิ่งนัก เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับไห่สือซานถึงกับเอามือกุมท้อง นอนราบลงกับพื้นหญ้า
เฉียวเวยช่วยบิดาเก็บชามเก็บตะเกียบ บิดากับบุตรสาวพูดคุยกันตามประสาพ่อลูก เฉียวเจิงถึงแม้จะอาลัยอาวรณ์ แต่ก็ยังเอ่ยปากเร่งพวกนางให้รีบกลับไป “รีบกลับไปเถิด อย่าให้จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูรอนานเลย พวกเขาไม่คุ้นทั้งคนไม่คุ้นทั้งสถานที่ หากพ่อแม่ไม่อยู่ข้างกายอีก จะรู้สึกไม่ปลอดภัยเอาได้”
เฉียวเวยรู้ แต่เฉียวเวยยังคงนิ่ง
ตอนแรกนางยังไม่อยากยอมรับว่าเขาเป็นบิดาเลย ตั้งแต่เมื่อใดที่อาลัยอาวรณ์ไม่อยากแยกจากเขาเช่นนี้
เฉียวเจิงลูบศีรษะบุตรสาวอย่างมีเมตตา เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ไปเถิด พ่อไม่ได้ไปไหน วันพรุ่งเจ้าค่อยมาใหม่ก็ได้”
เฉียวเวยพยักหน้า วางผ้าที่ซักสะอาดแล้วลง แล้วจึงเดินออกไปช้าๆ
เพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าวนางก็หันกลับมาใหม่ “ท่านพ่อ…”
“หือ?” เฉียวเจิงยิ้มมองบุตสาว
“ข้า…” เฉียวเวยเพิ่งอ้าปาก ด้านนอกประตูก็มีเสียงรบกวนดังขึ้น
สีหน้าเฉียวเจิงพลันชะงัก “มีคนไข้มาแล้ว ข้าจะไปดูก่อน! พวกเจ้าอยู่กันในห้องก่อนอย่าเพิ่งออกมา คนที่นี่ไม่ต้อนรับคนนอก!”
เฉียวเวยเข้าข้างในไปอย่างว่าง่าย
ไห่สือซานกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยลุกขึ้นจากพื้นหญ้า แล้วรีบเร้นกายเข้าไปในห้อง
กลับเป็นชางจิวกับนักรบมรณะดาบยาวกลุ่มนั้นที่ยืนนิ่งอยู่ในลาน ท่าทางไม่หวาดกลัวสักนิด
หลายวันนี้เฉียวเจิงเรียนรู้ภาษาเยี่ยหลัวมาจากท่านหมอชราในโรงหมอมาบ้าง แต่ยังพูดไม่ชัด กลัวว่าคนจะฟังออก จึงบอกกับคนนอกว่าตนเป็นใบ้
เขาเปิดประตู บุรุษรูปร่างกำยำสองคนแบกถุงผ้าป่านขนาดใหญ่เข้ามา
เฉียวเจิงทำท่าบอกให้พวกเขายกเข้าไปในห้องโถง
เฉียวเวยแอบมองจากซอกประตูห้องนอน มองเห็นบุรุษที่เหงื่อแตกเต็มหน้าวางถุงผ้าป่านลงบนเตียงเล็กๆ ที่ใช้ก้อนอิฐกับแผ่นไม้กระดานประกอบขึ้น
พอถุงผ้าป่านเปิดออกแล้ว ข้างในมีคนที่ถูกจับมัดไพล่หลังโผล่ออกมา เป็นหญิงชราที่ผมขาวโพลน
เหตุใดถึงต้องจับหญิงชรามัดเช่นนี้ ซ้ำยังใส่มาในถุงผ้าป่านอีก ช่างน่าฉงนสงสัยยิ่งนัก
ตอนที่เฉียวเจิงจับใบหน้านางหันมานั้น เฉียวเวยก็ได้เห็นลักษณะของนางเต็มๆ ตา— หญิงชราปลายจมูกดำคล้ำ มุมปากมีสีดำ ใบหน้าข้างขวามีแผลสีดำอยู่กลุ่มหนึ่ง
เฉียวเวยดึงแขนเสื้อจีหมิงซิว แล้วสละร่องประตูให้เขา
จีหมิงซิวเหลือบมองทีหนึ่งแล้วยืดตัวขึ้น
เฉียวเวยพูดเสียงเบาว่า “ถูกมนุษย์พิษข่วนเป็นแผลเข้ากระมัง”
จีหมิงซิวพยักหน้า กระซิบบอกว่า “โรคนี้บิดาพวกเรารักษาไม่หาย”
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ พอสิ้นเสียงเขา เฉียวเจิงก็หันไปโบกมือให้บุรุษสองคนนั่น ความหมายโดยรวมก็คือเขารักษาไม่ได้ แต่เขามียาอยู่ประเภทหนึ่งที่สามารถทำให้อาการไม่กำเริบได้เจ็ดวัน เขาเอายาให้สองคนนั้น สองคนนั้นก็เดินคอตกออกไป
ไม่ใช่ว่าไม่เคยคิดจะเชิญราชันอสูรมาช่วย แต่ราชันอสูรไม่ใช่คนในเมืองอวิ๋นจง หากผลีผลามบุกเข้ามา พวกเขาทั้งหมดคงถูกพบเข้าแน่
หลังจากคนกลุ่มนั้นออกไปแล้ว เฉียวเจิงก็กลับไปที่ห้องนอน “พวกเจ้ารีบกลับไปเถิด หากฟ้ามืดแล้วค่อยไปจะเป็นอันตรายได้”
“ดังเช่นเมื่อครู่น่ะหรือ” เฉียวเวยถาม
เฉียวเจิงทอดถอนใจ “ใช่น่ะสิ ช่วงนี้ในเมืองก็ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น มักมีคนถูกลอบโจมตีดึกๆ ดื่นๆ อยู่เรื่อย หลังจากถูกโจมตีก็จะมีอาการอย่างหญิงชราผู้นั้น ยามกลางวันหลับไม่ตื่น ตกดึกก็คลุ้มคลั่ง”
เฉียวเวยหันไปมองชางจิวด้วยสายตาหวาดหวั่น “พวกเจ้ากระทั่งคนในเมืองก็ยังทำร้ายหรือ”
ชางจิวเอ่ยด้วยความรำคาญใจ “มีคนหนึ่งหนีไป ยังจับกลับมาไม่ได้ ดังนั้นที่บิดาเจ้าพูดถูกต้องแล้ว ควรรีบไปก่อนฟ้ามืด พวกเจ้าต้องรีบออกจากเมือง หากบังเอิญเจอคนผู้นั้นเข้า…ก็คงโชคไม่ดีนักแล้ว”
เฉียวเวยเอ่ยเสียงเรียบว่า “มนุษย์กระทำ ฟ้ามองเห็น บาปกรรมเหล่านี้ที่พวกเจ้าก่อ…นับวันรอได้เลย!”
ชางจิวเดินหนีไปเงียบๆ
คณะของพวกเขาบอกลาเฉียวเจิง ออกเดินมุ่งหน้าสู่บันไดสวรรค์
เฉียวเวยไม่กังวลว่าชางจิวจะทำอะไรเฉียวเจิง ชีวิตของนายท่านเขาอยู่ในมือเฉียวเจิง นอกเสียจากว่าเขาจะไม่สนใจความเป็นความตายของนายท่านเขาแล้ว มิเช่นนั้นก็ต้องดูแลบิดาของเขาให้ดี
ไห่สือซานกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยรั้งอยู่ที่นี่ ทั้งสองตัดสินใจว่าตอนกลางคืนจะไปสืบดูลัทธิศักดิ์สิทธิ์ที่ว่าสักหน่อย
ส่วนแม่ทัพน้อยมู่ เขาก็ตัดสินใจว่าจะรั้งอยู่ด้วย
จีหมิงซิวไม่ได้ว่าอะไร พาเฉียวเวยกับราชันอสูรออกจากเมืองไป
หลังจากเดินมาครั้งหนึ่งแล้ว ย่อมหาทางเจอ แต่สิ่งที่ทั้งสองคาดไม่ถึงเลยก็คือ พวกเขาดันเจอใครคนหนึ่งแถวๆ ทางออก
เฉียวเวยขยี้ตา สงสัยว่าตนตาฝาดไป “นั่นใช่…ราชครูหรือไม่ เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร คงไม่ใช่ว่าเขาก็เป็นคนของเมืองอวิ๋นจงเช่นกันกระมัง”
ในขณะที่เฉียวเวยกับจีหมิงซิวกำลังมองประเมินราชครูอยู่นั้น ราชครูเองก็เห็นจีหมิงซิวกับเฉียวเวยแล้วเช่นกัน คิ้วราชครูพลันเลิกขึ้น จีหมิงซิวจึงเอ่ยขึ้นทันที “จับเขาไว้! อย่าให้เขาเอาความลับไปบอกได้!”
เฉียวเวยเดินเข้าไปด้วยย่างก้าวที่แข็งแรง เขายื่นมืออกไปจับหัวไหล่ราชครูไว้
วรยุทธ์ของราชครูไม่เท่าไร กระบวนท่านี้ตามหลักแล้วย่อมหลบไม่พ้น ไหนเลยจะรู้ว่ามือของเฉียวเวยเพิ่งจับถูกหัวไหล่ของราชครู ก็มีเงาสีขาวเงาหนึ่งกระโจนเข้ามาราวกับฟ้าผ่า ยิงอาวุธลับเข้าใส่เฉียวเวย
ราชันอสูร “โฮก—”
เสียงคำรามดังก้อง มาพร้อมกับกำลังภายในอันกล้าแกร่ง อาวุธลับจึงถูกปัดกระจายออกไป กระทั่งเงาสีขาวนั้นก็คล้ายว่าวที่สายป่านขาด กระอักเลือดสดๆ ออกมาเสร็จก็ล้มตึงลงกับพื้น
เฉียวเวยจับหัวไหล่ราชครูไว้
ราชครูพลันหน้าถอดสี!
ในตอนนั้นเอง กำลังภายในอันหนาแน่นราวกับจักรวาลก็ซัดเข้ามาทางนางครั้งแล้วครั้งเล่า
เฉียวเวยรู้สึกว่าไอพลังนี้ช่างคุ้นเคยนัก คล้ายเคยพบที่ไหนมาก่อน แต่ให้นึกก็ยังนึกไม่ออก
กำลังภายในขุมนั้นกดดันเฉียวเวยเอาไว้ เฉียวเวยรู้สึกเพียงว่าในหูของนางมีเสียงดังวิ้งๆ เนื้อตัวไม่อาจขยับได้สักนิด
ราชันอสูรคำรามด้วยความคลุ้มคลั่ง ทะยานตัวขึ้น ฟาดฝ่ามือดุดันไปทางที่กำลังภายในขุมนั้นส่งมา
กำลังภายในขุมนั้นถอยออกไป
แต่เพียงชั่วพริบตา ก็มีขุมพลังที่หนักขึ้นเป็นเท่าตัวกดทับลงมา
ราชันอสูรกอดเฉียวเวยไว้แล้วรีบลอยออกไป!
ขณะเดียวกันนั้น ผ้าขาวผืนหนึ่งก็ทะยานลงมาจากฟ้า มัดเอวราชครูไว้แน่น เพียงชั่วขณะก่อนที่กำลังภายในขุมนั้นจะถูกตัวราชครู ผ้าผืนนั้นก็ดึงตัวราชครูออกไปอย่างรวดเร็ว
พื้นที่ตรงส่วนที่ราชครูกับเฉียวเวยยืนอยู่เมื่อครู่ ถูกพลังที่ยากจะจินตนาการกระแทกใส่จนเกิดเป็นรูกว้างสิบฉื่อ