หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 102 เจ้าตุ้ยนุ้ยผู้ร้ายกาจ (1)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 102 เจ้าตุ้ยนุ้ยผู้ร้ายกาจ (1)
ตอนที่ 102 เจ้าตุ้ยนุ้ยผู้ร้ายกาจ (1)
หลังจากวั่งซูเข้าไปในห้อง นางก็ชูมุกราตรีส่อง เฉียวเวยรู้สึกถึงแสงไข่มุกภายในห้อง นางจึงหันกลับมาอย่างระแวดระวัง “ผู้ใด!”
วั่งซูร้องโอ๊ะออกมาคำหนึ่งแล้วถามว่า “ท่านแม่หรือเจ้าคะ”
เฉียวเวยตะลึงเล็กน้อย “วั่งซูหรือ”
มู่ชิวหยางที่เดินมาถึงประตูกับอวิ๋นซู่ที่อยู่บนหลังของเขา “…”
วั่งซูวิ่งตึงตังเข้าไปหา แล้วโถมตัวเข้าไปในอ้อมแขนของเฉียวเวย เฉียวเวยกอดร่างน้อยที่เจ้าเนื้อของบุตรสาวแล้วมองไปที่ประตูอย่างไม่คิดอะไร
ชั่วพริบตาที่มู่ชิวหยางเห็นเฉียวเวย เขาก็หวาดหวั่นในหัวใจตามสัญชาตญาณ แต่ไม่นานเขาก็สงบลงได้ ตอนอยู่สำนักซู่ซินจงเขาเคยเห็นพลังของเฉียวเวยมาแล้ว แม้แต่ผู้อาวุโสทั้งหลายนางยังต้องต่อสู้อย่างเปลืองแรง ยิ่งตอนสู้กับเขา เขาเป็นฝ่ายล้มมวย นางจึงคว้าชัยชนะในรอบสุดท้ายมาได้ คนไร้ประโยชน์เช่นนี้จะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้อย่างไรกัน
ต่อให้หลังจากเข้ามาในพระราชวังใต้ดิน เขาจะถูกสะกดกำลังภายในเอาไว้ แต่แค่รับมือกับคนที่เคยพ่ายแพ้ผู้อาวุโสทั้งหลายคนหนึ่ง พลังที่เขามีอยู่ย่อมพอเหลือเฟือ
มู่ชิวหยางยกมุมปากยิ้มอย่างดูแคลน วันนี้โชคดีเหลือเกินจริงๆ มีคนตัวเล็กคนหนึ่งยังไม่พอ ยังมีคนตัวโตมาเพิ่มอีกคนหนึ่งด้วย เขาใช้ผ้าคลุมกันลมมัดอวิ๋นซู่ไว้บนร่างให้สองมือว่าง จากนั้นเดินเข้าไปหาเฉียวเวยอย่างโอหัง
ความประทับใจเกี่ยวกับมู่ชิวหยางของเฉียวเวยมีแต่ความเลวทรามต่ำช้าไปถึงในกระดูก คนผู้นี้เจ้าเล่ห์เพทุบายเลวทรามต่ำช้า เพื่อเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ เทียบกับอวิ๋นซู่นับว่ากินกันไม่ลง เพียงแต่ว่าชั้นเชิงของอวิ๋นซู่สูงส่งกว่าก็เท่านั้น
อวิ๋นซู่ถูกผ้าคลุมกันลมของมู่ชิวหยางห่อกระเตงไว้บนแผ่นหลัง แม้แต่ศีรษะก็ถูกหุ้มไว้ด้วย ในตอนนี้เฉียวเวยจึงมองไม่ออกว่าเขาก็คือ ‘องครักษ์เกราะทมิฬ’ ผู้ ‘จงรักภักดี’ คนนั้น
ไม่อย่างนั้นหัวหน้าพรรคเฉียวผู้รู้คุณคนผู้นี้จะต้อง ‘บุกน้ำลุยไฟไปช่วย’ อีกฝ่ายอย่างแน่นอน!
เฉียวเวยอุ้มวั่งซูขึ้นมา “หลับตาไว้นะ ปิดหูไว้ด้วย”
“เจ้าค่ะ” วั่งซูทำตามอย่างเชื่อฟัง
มู่ชิวหยางยิ้มหยัน เดินเข้าไปหาเฉียวเวยอย่างสง่างามและหยิ่งยโส “เจ้ายอมมอบตัวแต่โดยดี ให้ข้าจับตัวเสีย…”
คำว่า ‘เถอะ’ ยังไม่ทันเอ่ยจบ รองเท้าที่ปักลายวิจิตรประณีตข้างหนึ่งก็ถีบเข้าที่ท้องของเขา
เขารับรู้ได้ถึงพละกำลังประหนึ่งโคลนถล่มจากภูเขาจู่โจมเข้าใส่ตนเองอย่างรุนแรง ร่างกายเขาปลิวหวือออกไปอย่างรวดเร็วยิ่งนัก อวัยวะภายในทั้งห้าหยุดนิ่งอยู่ที่เดิมอย่างไม่ทันรู้สึกตัวก่อนจะถูกกระชากไปอย่างแรง
เขาเจ็บปวดจนใบหน้าบิดเบี้ยว กระอักเลือดคำหนึ่งออกมาทันที หลังจากนั้นเขาก็ปลิวไปกระแทกกำแพงผืนที่หนึ่ง…กำแพงผืนที่สอง…ผืนที่สาม…ผืนที่สี่…
โครม! โครม! โครม! โครม!
เขากระแทกกำแพงจนเป็นรูใหญ่รูแล้วรูเล่า กระดูกทั่วร่างราวกับจะแยกออกจากกัน ทุกครั้งที่กระแทกก็กระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ หลังจากกระแทกหนสุดท้าย เขาก็ไม่มีเลือดจะกระอักออกมาแล้ว เขากระอักน้ำดีออกมาแทน…
ทว่าเขาไม่ใช่คนที่สภาพน่าอนาถที่สุด
เพราะบนหลังของเขายังแบกคนไว้อีกหนึ่งคน
อวิ๋นซู่ถูกกระแทกจนตาเหลือก น้ำลายฟูมปาก รอจนถึงการกระแทกครั้งสุดท้าย เส้นลมปราณทั่วร่างเขาก็ขาดสะบั้นไปเจ็ดแปดส่วนแล้ว
มู่ชิวหยางรู้ดีว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปอวิ๋นซู่คงแย่แน่ เขาใช้พละกำลังเสี้ยวสุดท้าย กระชากผ้าคลุมกันลม ดึงอวิ๋นซู่มาไว้หน้าตนเอง เขาเอาตนเองเป็นเบาะกันกระแทกมนุษย์ให้อวิ๋นซู่ แล้วกระแทกบนพื้นแข็งอันเย็นเฉียบอย่างแรง
เขานึกโชคดีที่อวิ๋นซู่ไม่กลายเป็นเบาะกันกระแทกมนุษย์ของตน ไม่อย่างนั้น…
ทว่าคิดในใจยังไม่ทันจบดี เพดานก็ถล่มลงมาดังโครม คานห้องชิ้นใหญ่กระแทกลงบนศีรษะของอวิ๋นซู่ อวิ๋นซู่สองตาเหลือกไม่รับรู้เรื่องราวใดๆ อีกต่อไป
มู่ชิวหยาง “…”
…
เสียงดังเลือนลั่นจากในตำหนักดึงความสนใจของพวกจีหมิงซิวทันที จีหมิงซิวกับสือชีวิ่งนำเข้ามาในตำหนักก่อน เพิ่งจะเดินมาถึงประตูก็พบกับเฉียวเวยที่อุ้มวั่งซูอยู่อย่างจัง
ทุกคนล้วนตกตะลึง
สือชีทิ้งคบไฟอย่างไม่ยอมให้ผู้ใดเถียง แล้ว ‘แย่ง’ วั่งซูมาไว้กับตนเอง
จีหมิงซิวกุมมือเฉียวเวย สายตาทอดมองนางด้วยความรักอันลึกซึ้ง “เจ้ากับวั่งซูไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
เฉียวเวยส่ายหน้า “ไม่เป็นอะไร พวกท่านมากันได้อย่างไร นี่คือสถานที่ใดกัน ข้าหาทางอยู่ตั้งนานแล้วก็ยังหาทางกลับบ้านไม่พบ”
หัวใจที่อกสั่นขวัญแขวนของจีหมิงซิวสงบลงในที่สุด เขาผ่อนลมหายใจแล้วตอบว่า “ที่แห่งนี้คือพระราชวังใต้ดิน”
เฉียวเวยอ้าปากค้าง “พระราชวังใต้ดินของเยี่ยหลัว…แห่งนั้นน่ะหรือ”
จีหมิงซิวกุมมือเรียวอันอบอุ่นของนางแล้วตอบว่า “ถูกต้องแล้ว”
ดวงตาของเฉียวเวยเบิกโตในพริบตา “ข้าเข้ามาในพระราชวังใต้ดินได้อย่างไรกัน จริงสิ องครักษ์เกราะทมิฬกับเด็กๆ ยังอยู่บนรถม้า”
หนนี้จีหมิงซิวเป็นฝ่ายประหลาดใจบ้างแล้ว “องครักษ์เกราะทมิฬหรือ”
เฉียวเวยกำลังจะตอบ เฉียวเจิงก็จูงหลิวเกอร์กับจิ่งอวิ๋นมาพอดี เด็กน้อยสองคนเห็นเฉียวเวยก็สับฝ่าเท้าน้อยๆ วิ่งเข้าไปหาทันใด ถุงน้ำตาน้อยร้องไห้โฮออกมาอีกรอบ!
เฉียวเจิงก็อยากร้องไห้เหมือนกัน อีกเพียงนิดเดียว วั่งซูน้อย หัวผักกาดขาวน้อยกับหัวผักกาดขาวจิ๋วของเขาก็จะถูกเจ้าคนวิปริตอวิ๋นซู่คนนั้นรังแกแล้ว…
“ท่านพ่อ” เฉียวเวยมองเฉียวเจิงที่ตาแดงก่ำ “ข้าไม่เป็นอะไร วั่งซูก็ไม่เป็นอะไร”
เฉียวเจิงกลั้นน้ำตาไว้ “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”
หลังจากนั้นเฉียวเวยก็อุ้มเด็กน้อยทั้งสองคนขึ้นมา เยี่ยนเฟยเจวี๋ยไปตามหารถม้าแล้วขับกลับมา หลังจากมีรถม้า อวิ๋นจูก็ได้นอนในรถม้า ไม่จำเป็นต้องใช้เปลหามที่แกว่งไปแกว่งมาอีก เฉียวเวยให้เฉียวเจิงกับเด็กน้อยทั้งสองคนขึ้นไปอยู่บนรถม้า ความจริงเฉียวเวยจะให้วั่งซูขึ้นไปด้วย แต่สือชีไม่ยอมส่งให้
หลังจากนั้นสองสามีภรรยาจึงจูงมือกันเดินช้าๆ ตามหลังรถม้าไปพลางเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นคืนนี้ให้กันฟังไปด้วย
เรื่องราวที่เฉียวเวยรู้ไม่ต่างจากจิ่งอวิ๋นมากนัก สิ่งที่แตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือในเรื่องเล่าของนางมี ‘องครักษ์เกราะทมิฬ’ คนหนึ่งเพิ่มมาด้วย “…ตื่นมาข้าก็อยู่ในทุ่งข้าวโพดแล้ว เขาอาจคิดว่าข้าบาดเจ็บจึงกำลังโคจรกำลังภายในรักษาข้าอยู่”
แววตาของจีหมิงซิวหยุดชะงักไปวูบหนึ่ง “โคจรกำลังภายในรักษาอาการบาดเจ็บหรือ คนที่เข้ามาในพระราชวังใต้ดินล้วนถูกสะกดกำลังภายในเอาไว้ ไม่มีทางโคจรกำลังภายในได้”
“จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ข้ารู้สึกได้ว่าเขากำลังถ่ายทอดกำลังภายในมาให้ข้าชัดๆ!” หัวหน้าพรรคเฉียวผู้ไม่รู้ว่าสิ่งใดคือปราณโลหิต เชื่ออย่างหมดใจว่า ‘สิ่ง’ ที่ทำให้นางคึกคักประหนึ่งอาชาคือกำลังภายในของยอดฝีมือ
จีหมิงซิวเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนี้นัก แต่ดูจากท่าทางของเฉียวเวยแล้ว นางก็มีกำลังวังชามากกว่าตอนกลางวันไม่น้อยจริงๆ “จริงสิ พวกเจ้าถูกอวิ๋นซู่พาเข้ามา”
“อวิ๋นซู่หรือ” เฉียวเวยมึนงง
จีหมิงซิวพยักหน้า “ถูกต้องแล้ว อวิ๋นซู่ขโมยรถม้ามาคันหนึ่ง บนรถม้าน่าจะมีกงซุนฉางหลีอยู่จึงจะถูก…”
เฉียวเวยขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ “ไม่มีนะ ข้าไม่เห็นเขา อ้อ ข้ารู้แล้ว จะต้องเป็นองครักษ์เกราะทมิฬของแม่ข้าไล่อวิ๋นซู่ไปแล้วแน่ๆ ระหว่างที่อวิ๋นซู่หนีก็พากงซุนฉางหลีหนีไปด้วย!”
“เป็นเช่นนั้นหรือ” จีหมิงซิวพึมพำ เขารู้สึกว่าเรื่องราวไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น
พอนึกอะไรขึ้นมาได้ เฉียวเวยก็เอ่ยอีกว่า “จริงสิ เมื่อครู่ข้าเห็นมู่ชิวหยางด้วย”
จีหมิงซิวอึ้งไปเล็กน้อย “มู่ชิวหยาง ไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้เข้ามาในพระราชวังใต้ดินหรอกหรือ”
หลังจากอวิ๋นซู่เข้ามาในพระราชวังใต้ดิน พวกเขาก็ตามเข้ามาติดๆ ก่อนหน้านี้มู่ชิวหยางไม่ได้มาทางนี้อย่างแน่นอน ส่วนหลังจากนั้นประตูใหญ่ของพระราชวังใต้ดินก็มีองครักษ์เกราะทมิฬเฝ้าอยู่
หรือว่า…มู่ชิวหยางจะบุกฝ่าเข้ามา
…
ภายในห้องศิลาอันมืดมิด มู่ชิวหยางล้วงตะบันไฟกับเทียนไขที่หักครึ่งแท่งหนึ่งออกมาจากอกเสื้ออย่างยากลำบาก เขาจุดเทียนไข แล้วหยดน้ำตาเทียนตั้งเทียนไขตรงพื้นเบื้องหน้า
ทั่วร่างเขาเจ็บปวดอย่างร้ายกาจ ทว่าเขาไม่กล้าหยุดพัก เขาลูบเสื้อผ้าของอวิ๋นซู่แล้วล้วงน้ำอมฤตขวดหนึ่งออกมา น้ำอมฤตแตกละเอียดหมดแล้ว มันซึมอยู่ทั่วเสื้อของอวิ๋นซู่ เขาดึงเสื้อออกมาแล้วบิดน้ำอมฤตเข้าไปในปากของอวิ๋นซู่
อวิ๋นซู่ได้สติกลับมาเงียบๆ
มู่ชิวหยางก้มหน้าลงมาเอ่ยว่า “ข้าน้อยมาอารักขาช้า ขอเจ้าลิทธิโปรดอภัยด้วย!”
อวิ๋นซู่เผยอเปลือกตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า
ต้องบอกว่าที่มู่ชิวหยางเข้ามาในพระราชวังใต้ดินได้เพราะเขาโชคดีอย่างยิ่ง เขาวนเวียนนอกสุสานองค์หญิงอยู่นานก็ยังหาจังหวะเหมาะๆ ไม่พบเสียที ในตอนที่เขาเกือบจะยอมแพ้แล้วนั่นเอง จู่ๆ สุสานองค์หญิงก็ตกอยู่ในความวุ่นวาย เขาไม่รู้ว่าความวุ่นวายนั้นเกิดจากอะไร สรุปก็คือเขาฉวยโอกาสจังหวะนั้นลักลอบเข้ามา นับว่าโชคดีอย่างยิ่ง
อวิ๋นซู่จับมือของมู่ชิวหยาง แล้วใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด เอ่ยบอกเสียงสั่นระริก “ข้า…ในอกเสื้อ…มี…แผนที่ เจ้า…เอามัน..ออกมา”
มู่ชิวหยางทำตามคำสั่ง เขาหยิบแผนที่ฉบับหนึ่งออกมาจากอกเสื้อของอวิ๋นซู่ “สิ่งนี้หรือ เจ้าลัทธิ”
อวิ๋นซู่เหลือเรี่ยวแรงไม่เท่าไรแล้ว เขาแค้นเรี่ยวแรงจนเส้นเลือดข้างขมับปูดโปน “พระราชวังใต้ดิน…มี…น้ำพุเทพ…อยู่แห่งหนึ่ง…มัน…ทำให้คนตาย…ฟื้น…กลับเป็น….หา…ต้องหา…น้ำพุเทพ…”
…
“น้ำพุเทพหรือ” เฉียวเวยหันไปมองจีหมิงซิวอย่างประหลาดใจ “พระราชวังใต้ดินมีของเช่นนั้นด้วยหรือ”
จีหมิงซิวตอบว่า “ข้าก็เพิ่งรู้หลังจากได้เห็นบันทึกของโหราจารย์เมื่อวันนั้น”
เฉียวเวยหรี่ตาลง “พูดถึงเรื่องวันนั้น ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับท่านเลยนะ ท่านกล้าหลอกข้า! ประตูตะวันออกไม่มีอุโมงค์อะไรสักหน่อย!”
จีหมิงซิวหลุดหัวเราะ “ข้ากังวลว่าอวิ๋นซู่อาจใช้วิชาเชิดหุ่นมาถามหาความจริงจึงจำเป็นต้องปิดบังแม้กระทั่งเจ้า”
หัวหน้าพรรคเฉียวเอ่ยอย่างคิดแค้น “บัญชีครานี้ ข้าจดจำไว้แล้ว หลังออกไปจากพระราชวังใต้ดิน ข้าจะทวงหนี้กับท่านอย่างสาสม!”
จีหมิงซิวยิ้มอย่างอ่อนโยน “ได้”
ท่าทียอมรับผิดแต่โดยดีทำให้หัวหน้าพรรคเฉียวไม่มีเหตุผลจะไม่ยอมอภัยให้ผู้อื่น นางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ตามหาน้ำพุเทพพบก็จะรักษาท่านยายได้แล้วใช่หรือไม่”
จีหมิงซิวพยักหน้าตอบว่า “ถูกต้องแล้ว มันไม่เพียงรักษาท่านยายได้ แต่มันยังฟื้นลมปราณของมารโลหิตในร่างอวิ๋นซู่ ทำให้อวิ๋นซู่กลายเป็นมารโลหิตที่แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมได้อีกด้วย อวิ๋นซู่เข้ามาในพระราชวังใต้ดินหนนี้ สมบัติที่เขาปรารถนาจะครอบครองอันดับหนึ่งก็น่าจะเป็นสิ่งนี้”
เฉียวเวยครุ่นคิดแล้วบอกว่า “แต่พวกเราไม่มีแผนที่เสียหน่อย แม้แต่ตนเองอยู่ตรงไหนของพระราชวังใต้ดินพวกเราก็ไม่รู้ จะไปตามหาน้ำพุเทพได้อย่างไรกัน”
“โอ้โห! เย็นนักเชียว!”
จู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนตื่นเต้นดีใจของวั่งซูดังลอยมาจากด้านหลัง เฉียวเวยกับจีหมิงซิวมองตามเสียงไปก็เห็นวั่งซูไปโผล่อยู่ที่ด้านหลังพวกเขาได้อย่างไรก็ไม่ทราบ
แสงเทียนไขส่องเลือนรางให้เห็นวั่งซูหมอบเกาะอยู่บนแผ่นไม้แผ่นหนึ่ง มือน้อยอวบอ้วนกวักไปกวักมาในบ่อน้ำพุที่ทอประกายเป็นระลอกคลื่น
น้ำพุนั่นแผ่กลิ่นหอมเย็นคล้ายสายลมเย็นสดชื่นอันแสนสะอาดพัดผ่านหุบเขา