หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 103 เจ้าตุ้ยนุ้ยผู้ร้ายกาจ (2)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 103 เจ้าตุ้ยนุ้ยผู้ร้ายกาจ (2)
ตอนที่ 103 เจ้าตุ้ยนุ้ยผู้ร้ายกาจ (2)
เฉียวเวยจำได้ว่าพวกเขาเดินมาจากทางด้านนั้นชัดๆ แต่ตอนเดินมาไม่เห็นน้ำพุแม้แต่น้อย พวกเขาเลินเล่อเกินไป หรือตอนนี้เจ้าน้ำพุนั่นมันเพิ่งจะผุดออกมากันแน่
“เมื่อครู่ท่านเห็นว่ามีน้ำพุอยู่ตรงนี้หรือไม่” เฉียวเวยเบิกตาโตถาม
จีหมิงซิวหรี่ตาลง “ไม่นะ”
เฉียวเวยอึ้งงัน “แม้แต่ท่านยังไม่เห็น เจ้าตุ้ยนุ้ยเห็นได้อย่างไรกัน…”
น้ำพุทั้งอ่อนนุ่มและเย็นสบาย ให้ความรู้สึกสบายประหนึ่งจะหล่อเลี้ยงดวงวิญญาณได้ วั่งซูยิ่งเล่นก็ยิ่งชอบ “โอ้โหๆ!”
เฉียวเวยกะพริบตา “ไม่ คงไม่บังเอิญถึงเพียงนั้นกระมัง น้ำพุนี่คือน้ำพุเทพในตำนานอย่างนั้นหรือ”
จีหมิงซิวเดินเข้าไปช้าๆ จากนั้นก็นั่งยองๆ ลงไปข้างบุตรสาวของตนเอง เขาอุ้มบุตรสาวขึ้นมาด้วยมือข้างหนึ่ง ป้องกันไม่ให้นางตื่นเต้นเกินจนพุ่งตัวลงไป ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็ยื่นลงไปในน้ำพุที่ทอประกายวิบวับเป็นระลอกคลื่นอย่างแผ่วเบา ความรู้สึกเย็นสบายที่ไม่หนาวเย็นนั่นปัดป่ายกลางฝ่ามือเขาแผ่วเบา
เขาวักน้ำพุจำนวนเล็กน้อยขึ้นมาด้วยมือเดียวแล้วยกขึ้นมาดมตรงปลายจมูก กลิ่นหอมเย็นสดชื่นนี้ทำให้สมองของเขาปลอดโปร่งขึ้นมาเล็กน้อย
นี่จะต้องไม่ใช่น้ำพุธรรมดาแน่
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยขับรถม้าไปเรื่อยๆ แต่จู่ๆ เขาก็สัมผัสได้ว่าคนด้านหลังไม่ได้ตามมาด้วย เขาจึงรีบหยุดรถม้าแล้วเดินมาหาจีหมิงซิว เมื่อเขาเห็นน้ำพุที่เหมือนมีแสงจันทร์ไหลเคลื่อนอยู่ข้างในบ่อนั้น ดวงตาของเขาก็เบิกโตทันใด “พระราชวังใต้ดินแห่งนี้มีน้ำด้วยหรือ”
เฉียวเจิงกระโดดลงจากรถม้าแล้วเดินเข้ามาบ้าง
จีหมิงซิวอุ้มวั่งซูขึ้นมา แต่วั่งซูยังอยากเล่นอยู่ นางดิ้นดุ๊กดิ๊กอยู่ในอ้อมแขนของบิดา จีหมิงซิวบอกกับเฉียวเจิงว่า “ท่านพ่อ ท่านลองดูน้ำพุตรงนี้หน่อยว่ามีสิ่งผิดปกติอันใดหรือไม่”
เฉียวเจิงใช้มือวักน้ำพุขึ้นมาดม จากนั้นจึงใช้ปลายนิ้วจิ้มเล็กน้อยมาชิมดู “หวานกว่าน้ำพุธรรมดาเล็กน้อย ในสถานที่มืดสลัวอึมครึมเช่นนี้มีน้ำพุดีๆ เช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยได้ยินคำนี้ก็นั่งยองๆ ตามลงมาด้วย “ดื่มได้หรือเปล่า” กล่าวจบก็ไม่รอให้เฉียวเจิงเอ่ยปากก้มตัวลงไปที่ผิวน้ำแล้วดื่มน้ำลงไปคำโต
ทุกคนหันไปมองเขาด้วยสีหน้าเหลอหลา
เขาผ่อนลมหายใจยาวเฮือกหนึ่งแล้วลุกขึ้นใช้แขนเสื้อเช็ดหยดน้ำบนใบหน้า “หวานจริง!” เพิ่งจะพูดจบ เขาก็ล้มตึงลงไปบนพื้น!
วั่งซูหยุดดิ้นทันควัน “เอ๋”
เฉียวเจิงรีบจับชีพจรให้เยี่ยนเฟยเจวี่ย เมื่อจับเสร็จเขาก็อธิบายด้วยท่าทางประหนึ่งยกภาระหนักอึ้งลงจากบ่า “ไม่เป็นอันใดมาก น้ำพุแห่งนี้มีฤทธิ์มากกว่าน้ำอมฤต ดื่มลงไปคำเดียวจำนวนมากขนาดนี้จะล้มตึงก็ไม่แปลก ปล่อยให้ร่างเขาดูดซับไปสักพักก่อน หากดูดซับไม่ไหวข้าจะถ่ายเลือดออกให้เขา ปล่อยฤทธิ์ยาออกมา”
เฉียวเวยเอ่ยอย่างประหลาดใจ “ถ้าเป็นเช่นนั้น มันก็น่าจะเป็นน้ำพุเทพในตำนานแล้ว มันรักษาอาการบาดเจ็บของท่านยายได้ถูกต้องหรือไม่”
ระหว่างทางมาเฉียวเจิงทราบเรื่องน้ำพุเทพจากปากของจีหมิงซิวแล้ว ยามนี้เมื่อได้ยินเฉียวเวยเอ่ยขึ้นมาจึงไม่แปลกใจสักเท่าไร เขาครุ่นคิดแล้วพูดว่า “มันน่าจะเป็นน้ำพุเทพ แต่ว่าจะใช้รักษาอวิ๋นฮูหยินอย่างไร ข้าไม่ค่อยแน่ใจนัก…ลองพยุงอวิ๋นฮูหยินลงไปแช่ดูสักวันสองวันก่อนเถิด“
จีหมิงซิวอุ้มอวิ๋นจูลงมาจากรถม้าแล้ววางร่างนางลงในน้ำพุอย่างแผ่วเบา
ในบันทึกของโหราจารย์มีบันทึกเกี่ยวกับน้ำพุอยู่จำกัดยิ่ง บันทึกเพียงเขียนเอาไว้ว่ามันฟื้นคนตายกลับเป็น เพิ่มกำลังภายในให้แข็งแกร่งได้ สิ่งที่ผลสองภพกับน้ำอมฤตทำได้ มันล้วนทำได้ทั้งหมด แล้วยังทำได้ดียิ่งกว่า เพียงแต่ควรใช้อย่างไร ไม่มีบอกไว้แม้แต่ครึ่งคำ
เฉียวเจิงเป็นหมอ เขาคงพอมีความคิดอะไรบ้างแล้วจึงบอกให้แช่น้ำ เพียงแต่ว่าแช่นานเท่าไร ไม่ใช่สิ่งที่เฉียวเจิงจะรับประกันได้แน่นอน
พวกเขาจะอยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ได้ ต้องรีบตามหาราชันอสูร เฮ่อหลันชิงกับอี้เชียนอินให้เร็วที่สุด สามคนนี้เข้ามามือเปล่าตัวเปล่า ที่ตัวไม่มีเสบียงแม้แต่คำเดียว พอเฉียวเจิงคิดว่าชิงหลวนต้องหิวโหย หัวใจก็บีบรัดจนเจ็บปวด
เฉียวเจิงหันไปมองจีหมิงซิวแล้วบอกว่า “ข้าจะอยู่เฝ้าอวิ๋นฮูหยินที่นี่ พวกเจ้าไปตามหาพวกชิงหลวนเถิด”
จีหมิงซิวครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ตอบรับ “ดีขอรับ ให้สือชี ไห่สือซานกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยอยู่ด้วย ข้ากับเสี่ยวเวยจะไปตามหาคน”
“ถ้าอย่างนั้น…” เฉียวเจิงมองไปทางวั่งซูอย่างไม่ทันคิด
วั่งซูกอดคอบิดาของตนเอง เป็นตายก็ไม่ปล่อยมือ!
เฉียวเวยคลี่ยิ้ม “นางซุกซนเกินไป ท่านพ่อน่าจะดูนางไม่ไหว ข้าพานางไปด้วยก็แล้วกัน”
“ถ้าเช่นนั้นก็ให้พวกจิ่งอวิ๋นอยู่ที่นี่เถิด” เฉียวเจิงเอ่ยต่อ
เฉียวเวยเดินไปทางรถม้า หลิวเกอร์กับจิ่งอวิ๋นหดศีรษะน้อยๆ ที่โผล่ออกมาจากหน้าต่างเมื่อครู่กลับไปอย่างรวดเร็วแล้วล้มตัวลงไปนอนบนม้านั่งของรถม้า แสร้งหลับตานอนตาย!
เฉียวเวยเปิดผ้าม่านมองทั้งสองคนแวบหนึ่ง ทั้งโมโหทั้งขำขัน จากนั้นจึงลงจากรถมาบอกเฉียวเจิงว่า “ไม่ต้องแล้ว ข้ากับหมิงซิวจะไปส่งพวกเขาด้านนอกก่อน”
เฉียวเจิงพยักหน้า “เช่นนี้ดีแล้ว ไม่ว่าอย่างไรพระราชวังใต้ดินก็ไม่ใช่สถานที่ซึ่งควรรั้งอยู่นาน พาออกไปก่อนจะปลอดภัยที่สุด”
เฉียวเวยแจกจ่ายเสบียงกับน้ำอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็นั่งรถม้ากับจีหมิงซิวพาเด็กน้อยทั้งสามกลับไปยังทิศทางที่มา
เด็กน้อยยังเล็กจึงไม่เข้าใจว่าพระราชวังใต้ดินคือสิ่งใด ยิ่งไม่รู้ว่าด้านในมีอันตรายอะไรซ่อนอยู่ พวกเขารู้แต่ว่าท่านพ่อท่านแม่ พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้อยู่ในนั้น พวกเขาจึงไม่อยากจะออกไป
ใบหน้าน้อยของแต่ละคนบูดบึ้ง นั่งเตะขาเล็กจ้อยอยู่บนรถม้า
กล่าวกันว่าม้าแก่ชำนาญทาง อาชาสองตัวนี้ตามหลักแล้วก็จำเส้นทางมาได้เหมือนกัน เพียงแต่ไม่รู้ว่าอย่างไร ทั้งที่อาชาวิ่งย้อนกลับไปตามทางที่มาแท้ๆ แต่ยิ่งวิ่งกลับยิ่งรู้สึกว่าไม่ปกติ
จีหมิงซิวกับเฉียวเวยนั่งอยู่นอกตัวรถ พวกเขามองสังเกตทิวทัศน์รอบด้านอย่างถี่ถ้วน
เฉียวเวยเอ่ยว่า “ข้าจำไม่ได้ว่าข้ามาถึงทุ่งข้าวโพดแห่งนี้ได้อย่างไรท่านจำได้หรือไม่”
จีหมิงซิวมองรอบด้าน “หลังจากข้าเข้ามาในพระราชวังใต้ดินก็เดินตรงมาตลอด พอเดินผ่านตำหนักว่างเปล่าแห่งหนึ่งก็เลี้ยวขวา จากนั้นเดินตรงไปตามทางจึงมองเห็นทุ่งข้าวโพดแห่งนั้น หลังจากเข้าไปในทุ่งข้าวโพดก็พบจิ่งอวิ๋นกับหลิวเกอร์ จากนั้นก็เดินตรงไปต่อ ไม่นานก็โผล่ออกมาจากทุ่งข้าวโพด ออกมาจากทุ่งข้าวโพดเสร็จก็เลี้ยวซ้ายอีกหน จึงมาพบตำหนักหลังนั้นที่เจ้าอยู่”
เฉียวเวยชูตะเกียงน้ำมันส่องดู “นี่คือตำหนักหลังนั้นที่ท่านตามมาพบข้า พวกเราเลี้ยวขวาก็ต้องเข้าไปในทุ่งข้าวโพดแล้วสิ”
ปรากฏว่าพวกเขาสองคนเลี้ยวขวาแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่พบทุ่งข้าวโพด ทั้งสองคนขับรถม้ากลับไปทางน้ำพุเทพก็พบว่าน้ำพุเทพยังอยู่ พวกเฉียวเจิงก็ยังอยู่
เฉียวเจิงทักอย่างประหลาดใจ “เร็วขนาดนี้ก็กลับมาแล้วหรือ”
เฉียวเวยยิ้มเจื่อน บอกจีหมิงซิวว่า “ลองอีกหนเถิด”
ทั้งสองคนออกเดินทางอีกครั้ง ระยะทางก่อนที่พวกเขาจะไปถึงตำหนักหลังนั้น ทิวทัศน์เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่เมื่อก้าวไปข้างหน้าต่อ ทุกสิ่งกลับไม่เหมือนเดิมสักอย่างเดียว
เฉียวเวยชี้ถนนโล่งเตียนแล้วบอกว่า “ข้าจำได้ว่าเมื่อครู่ตรงนี้เหมือนจะมีก้อนหินก้อนหนึ่ง เหตุไฉนตอนนี้จึงไม่มีแล้วเล่า”
จีหมิงซิวเอ่ยเหมือนครุ่นคิดบางสิ่ง “ตำแหน่งของสิ่งต่างๆ ในพระราชวังใต้ดินน่าจะเปลี่ยนตำแหน่งได้ ตำหนักหลังนั้นกับน้ำพุเทพเป็นส่วนเดียวกัน ทุ่งข้าวโพดอาจเป็นอีกส่วนหนึ่ง หลังจากเข้าประตูมาจนถึงตำหนักว่างเปล่าหลังนั้นก็อาจจะเป็นอีกส่วนเดียวกันหรือสองส่วนแยกจากกัน พวกมันเปลี่ยนตำแหน่งอยู่ตลอด”
เฉียวเวยลูบปลายคาง “หากกล่าวเช่นนี้ มิใช่ว่าพวกเราจะตามหาทางออกได้ยากเย็นยิ่งหรือ หรือว่า…มารดาของข้ากับราชันอสูรก็กลับไปที่ทางออกไม่ได้เพราะสาเหตุนี้ด้วย มันสับเปลี่ยนตำแหน่งตามกฎอะไรกัน”
จีหมิงซิวตอบว่า “เรื่องนี้ได้แต่คาดเดาแล้ว”
เฉียวเวยถามว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านเดาว่าอย่างไร”
จีหมิงซิวตอบว่า “ข้าเดาว่า…ทุกครั้งที่ประตูใหญ่เปิดออก ตำแหน่งจะเปลี่ยนไปหนึ่งครั้ง”
ยามนี้ประตูใหญ่อยู่ในสภาพกึ่งเปิดกึ่งปิด การเปิดที่จีหมิงซิวพูดถึงจึงไม่ใช่หมายถึงเปิดจริงๆ แต่หมายถึงการมีคนแปลกหน้าเข้ามาด้านใน
เฉียวเวยขมวดคิ้วสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเบาๆ “ทุ่งข้าวโพดหายไปนับเป็นหนึ่งครั้ง ก้อนหินหายไปนับเป็นอีกหนึ่งครั้ง หากพูดเช่นนี้ก็หมายความว่าหลังจากพวกเราเข้ามามีคนเข้ามาทั้งหมดสองหน มู่ชิวหยางนับเป็นหนึ่งหน ถ้าเช่นนั้นหนที่สองเป็นผู้ใด”
นางกล่าวยังไม่ทันจบ วิหคขนาดยักษ์ตัวหนึ่งก็กางปีกอันใหญ่โตโบยบินกลางเวหาเข้ามาดุจสายฟ้าแลบ
มันยังปรับตัวเข้ากับกรงเล็บกลไกอันใหม่ได้ไม่ดีนัก ชั่วอึดใจที่ร่อนลงพื้น มันจึงชน ปั้ก! เข้าที่ตัวรถม้า เจ้าก้อนน้อยทั้งสามร่วง ตุ้บ! ตุ้บ! ตุ้บ! ลงมาบนพื้น
จิ่งอวิ๋นเปิดผ้าม่านออกมากะพริบตาเอ่ยเรียก “ต้าไป๋ เสี่ยวไป๋ จูเอ๋อร์”
เสี่ยวไป๋ถ่มขนนกเส้นหนึ่งในปากออกมา มันวิ่งฉิวกระโดดขึ้นไปบนรถม้า
ต้าไป๋บิดร่างเล็กจ้อยอ้วนตุ๊ต๊ะกระโดดตามขึ้นไปบนรถม้าด้วย
จูเอ๋อร์ลุกขึ้นมายืนอย่างสง่างาม มันสะบัดผ้าคลุมผืนน้อยบนร่าง ยกมือซ้ายขึ้นมาเป่าปลายเล็บที่ทาสีแดงเอาไว้ จากนั้นแกว่งม้วนตำราไม้ไผ่น้อยบนมือขวา หัวสวมหมวกเกราะใบน้อยสีดำสนิทใบหนึ่ง บนแผ่นหลังสะพายกระบี่ไม้น้อยไว้อีกหนึ่งเล่ม เดินขึ้นไปบนรถม้าอย่างสง่าผ่าเผย
…
มู่ชิวหยางกับอวิ๋นซู่บังเอิญอยู่บนพื้นที่ส่วนนี้พอดี ไม่ว่าประตูใหญ่จะเปิดกี่ครั้ง พื้นที่ตรงนี้จึงไม่เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด มู่ชิวหยางจัดการอวิ๋นซู่ให้เรียบร้อยก่อน จากนั้นจึงตามหาตำแหน่งที่ตั้งน้ำพุเทพตามที่แผนที่ระบุไว้
เพียงแต่ว่าสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจอย่างยิ่งก็คือ น้ำพุเทพถูกพวกคนตระกูลจียึดครองไปแล้ว!
เขามองอย่างละเอียด ทั้งหมดห้าคน ในนั้นมีอวิ๋นจูกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยอยู่ด้วย คนหนึ่งแช่อยู่ในน้ำพุเทพ คนหนึ่งนอนไม่มีสติอยู่บนพื้น ส่วนสามคนที่เหลือได้แก่เฉียวเจิง ไห่สือซานกับนักรบมรณะเยาว์วัยนามว่าสือชีคนนั้น
จีหมิงซิวไม่อยู่ จั๋วหม่าน้อยกับเด็กๆ ก็ไม่อยู่ หากมีไม่กี่คนเท่านี้ เขาพอมีวิธีจัดการ
เฉียวเจิงนั่งหันหลังให้เขาอยู่ด้านข้างรูปสลักนกอันหนึ่ง ส่วนไห่สือซานกับสือชีเฝ้าอยู่คนละข้าง
มู่ชิวหยางเก็บหินน้อยก้อนหนึ่งขึ้นมาจากพื้น แล้วโยนไปตรงตำแหน่งหนึ่งเบื้องหน้าของสือชี สือชีทำหน้าเคร่งขรึมก้าวเท้าไล่ตามไป ไห่สือซานระแวดระวังมากขึ้นทันที ทว่าไห่สือซานไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมู่ชิวหยาง
มู่ชิวหยางหยิบหนังสติ๊กอันหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ จากนั้นใส่ยาเม็ดสลายกำลังเม็ดหนึ่งไว้บนนั้น แล้วยิงใส่ไห่สือซานเต็มแรง ไห่สือซานใช้มือปัดเม็ดยา ทว่าเม็ดยากลับระเบิดดังปังกระจายตัวออกมา ผงสลายกำลังสาดเข้าเต็มหน้าไห่สือซาน ไห่สือซานตัวอ่อนยวบล้มลงไปกองกับพื้น
เฉียวเจิงเหมือนจะไม่ทันสังเกตความเคลื่อนไหวด้านหลัง นี่ทำให้มู่ชิวหยางพอใจยิ่งนัก มู่ชิวหยางยิ้มอย่างดูแคลน เขาชักมีดสั้นออกมาแล้วก้าวเข้าไปหาเฉียวเจิงทีละก้าว
ในตอนที่เขาเดินมาถึงด้านหลังของเฉียวเจิง กำลังจะแทงมีดสั้นใส่เฉียวเจิงแล้วนั่นเอง ‘รูปสลักนก’ ด้านข้างเฉียวเจิงก็ขยับอย่างไม่ทันให้เขาได้ตั้งตัว
มู่ชิวหยางคิ้วกระเด้งขึ้นไปบนหน้าผาก
อึดใจต่อมาอินทรีทองก็หมุนตัวกลับมาแล้วโผเข้าใส่มู่ชิวหยางอย่างดุร้าย