หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 105-1 ตอบจบ
ตอนที่ 105-1 ตอบจบ
ภายในห้องที่ตะเกียงน้ำมันส่องแสงเท่าเมล็ดถั่ว อวิ๋นซู่เหงื่อโชกทั่วร่างนอนอยู่บนม้านั่งยาวที่เรียงต่อกันคู่หนึ่ง เขาเป็นบุตรที่ได้รับความรักจากสวรรค์มาตั้งแต่เกิด ไฉนจะเคยต้องอัปยศอดสูถึงเพียงนี้ แม้แต่ตอนที่ต้องปล่อยให้ตนเองถูกเจ้าเด็กโง่คนนั้นทรมานก็ยังไม่อัปยศอดสูเท่าตอนนี้
เขาเป็นเหมือนกับ…เนื้อบนเขียงชัดๆ!
มู่ชิวหยางยืนย้อนแสง ใบหน้าจึงดำมืด มีเพียงดวงตาที่เป็นประกายเต้นระริก เหมือนกับหมาป่าที่ในที่สุดก็ล่าเหยื่อที่มันมองจนน้ำลายไหลมานานได้
เขายกมุมปากข้างหนึ่งเป็นรอยยิ้ม ใบหน้าเขียนคำว่าสาแก่ใจที่ได้ชำระแค้นแปะเอาไว้
เสียงโลหิตของอวิ๋นซู่หยดติ๋งๆ ปะปนกับเสียงหนังเนื้อถูกจับขยับดังขึ้นในห้องอันเงียบกริบ ชวนให้รู้สึกน่าขนลุกและสยดสยองอย่างบอกไม่ถูก
สิ่งที่น่าขนลุกยิ่งกว่าก็คือสีหน้าของมู่ชิวหยาง คนที่รู้อาจจะคิดว่าเขาค้นหาเศษเม็ดโลหิตของอวิ๋นซู่อยู่ แต่คนที่ไม่รู้อาจคิดว่าเขากำลังจัดวางบางสิ่งอย่างตั้งใจด้วยท่าทางอันสง่างาม
อวิ๋นซู่เจ็บปวดแทบเป็นแทบตาย แต่ปากดันถูกผ้ายัดเอาไว้ อยากกรีดร้องก็กรีดร้องไม่ได้ เขาได้แต่กัดผ้าในปากแน่น แม้แต่ฟันก็ถูกขบจนเลือดไหลออกมา
มู่ชิวหยางมองออกว่าเขาทรมาน ความจริงแล้วแม้อวิ๋นซู่จะตกต่ำลงมาถึงจุดนี้ แต่บารมีของเขาก็ยังมีเหลืออยู่บ้าง มู่ชิวหยางทำสิ่งที่ไม่อาจให้อภัยได้เช่นนี้ จะบอกว่าไม่หวั่นใจสักเศษเสี้ยวเลยก็ไม่ใช่ ทว่าสิ่งที่มีมากกว่าก็คือความตื่นเต้นจากการได้ทำสิ่งต้องห้าม
ความตื่นเต้นนี้ช่วยเพิ่มความสาแก่ใจที่ได้ชำระแค้นให้พุ่งขึ้นไปสู่จุดสูงสุด
เห็นเขาเป็นสุนัขใช่หรือไม่
อยากทำลายจิตใจทะเยอทะยานของเขาไม่ใช่หรือ
ครานี้ ผู้ใดถูกผู้ใดทำลายกันแน่เล่า
มู่ชิวหยางหัวเราะเยาะหยัน ทั้งตื่นเต้นทั้งสาแก่ใจ “ขออภัยด้วย หนแรก ไม่คุ้นเคยอยู่บ้าง ขอท่านเจ้าลัทธิอภัยด้วย”
อวิ๋นซู่มองเขาอย่างเคียดแค้น ใจอยากฉีกเขาเป็นชิ้นๆ!
มู่ชิวหยางคว้านจุดตันเถียนของเขาเสร็จก็หยิบตะปูยาวตัวหนึ่งขึ้นมาต่อ
ชั่วพริบตาที่เห็นตะปูยาว อวิ๋นซู่ก็รู้แล้วว่าต่อไปเขาจะทำสิ่งใด ดวงตามีความหวาดหวั่นทะลักออกมาอย่างมิอาจห้าม
มู่ชิวหยางหยิบแขนเสื้อของอวิ๋นซู่ขึ้นมาเช็ดตะปูยาวในมืออย่างแผ่วเบา “ตอนนี้รู้จักกลัวแล้วหรือ ตอนแรกไยไม่ดีต่อข้าสักหน่อยเล่า หากเป็นเช่นนั้นบางทีข้าอาจจะเห็นแก่ที่เคยรู้จักกัน ช่วยให้เจ้าไปโดยไว”
นี่ย่อมเป็นเพียงคำพูดระบายโทสะเท่านั้น ในเมื่อเขาตั้งใจจะเอาไขเลือดของอีกฝ่ายแล้ว จะปล่อยให้อีกฝ่ายจากไปโดยไวได้อย่างไรกัน หากคนตายแล้ว ไขเลือดย่อมไม่มีประโยชน์อีก
อวิ๋นซู่เหงื่อกาฬหลั่งเต็มหน้า แววตาเคียดแค้นชิงชัง “อื้อ…อื้อ…อื้อ…อื้อ…อื้อ… !”
“อยากจะสาปแช่งข้าไม่ให้ตายดีล่ะสิ” มู่ชิวหยางยกมุมปากยิ้มนิดๆ “ข้าจะตายอย่างไรข้าไม่รู้หรอก ข้ารู้แต่ว่าเจ้าไม่ตายดีอย่างแน่นอน เจ้าอย่าโทษข้าเลย จะโทษก็โทษตัวเจ้าเองที่ทำชั่วได้ชั่ว ข้าเพียงแต่…ทำสิ่งที่เจ้าเคยทำกับตัวเจ้าเองบ้างก็เท่านั้น”
อวิ๋นซู่ยกศีรษะขึ้นมาอย่างกะทันหัน อยากจะกัดมู่ชิวหยางให้ตาย
มู่ชิวหยางรู้ทั้งรู้ว่าเขาถูกมัดไว้กับม้านั่ง ทว่าชั่วพริบตาที่เขาขยับตัว มู่ชิวหยางก็ยังตกใจกลัวจนถอยหลังไปหนึ่งก้าว
อวิ๋นซู่ย่อมทำไม่สำเร็จ มีแต่ศีรษะขยับได้แล้วจะมีประโยชน์อันใด ร่างกายถูกมัดไว้จนหมดแล้ว
มู่ชิวหยางหัวเราะอย่างคลุ้มคลั่ง “เจ้ายังมีลูกไม้อะไรอีก หืม จะเล่นลูกไม้อะไรอีก”
อวิ๋นซู่ไม่มีหนทางใดแล้ว เขาได้แต่เบิ่งตาทนรับตะปูยาวที่ถูกปักเข้ามาในร่างของตนเองตัวนั้น หลังจากนั้นมู่ชิวหยางก็ใส่อะไรบางอย่างเข้ามาด้านใน ทั่วร่างของเขาเจ็บปวดจนชักกระตุก
บางทีอาจเพราะเจ็บปวดจนตาลายไปแล้ว เขาจึงมองเห็น ‘เงาผี’ ร่างหนึ่งอยู่ด้านหลังของมู่ชิวหยาง ‘เงาผี’ เข้ามายืนด้านหลังมู่ชิวหยางอย่างเงียบเชียบ แล้วตามติดเขาดั่งเงาตามตัว
มู่ชิวหยางหมุนตัว เขาก็ก้าวเท้าก้าวหนึ่งหมุนตัวตาม มู่ชิวหยางมองมาที่อวิ๋นซู่ เขาก็มองมาที่อวิ๋นซู่ด้วย สรุปก็คือไม่ว่ามู่ชิวหยางจะทำสิ่งใด เขาก็ดูเหมือนเกาะติดอยู่ที่แผ่นหลังของมู่ชิวหยางตลอด
ส่วนมู่ชิวหยางก็ไม่รับรู้เรื่องนี้แม้แต่น้อย
พระราชวังใต้ดินสะกดกำลังภายในของผู้คนเอาไว้ ไม่ใช่ประสาทสัมผัสของผู้คนเสียหน่อย มู่ชิวหยางระแวดระวังขนาดนั้นจะปล่อยให้คนมายืนติดอยู่ด้านหลังโดยไม่รู้ตัวได้อย่างไร
ดังนั้นเขาคงจะตาลายจริงๆ แน่ อวิ๋นซู่คิดอย่างสิ้นหวัง
อวิ๋นซู่ผู้สูญเสียเม็ดโลหิตไป ไม่มีความทนทานต่อความเจ็บปวดแม้แต่น้อย
การสูบเอาไขเลือดสำหรับเขาเจ็บปวดไม่แพ้การถูกตะปูพิฆาตเทวาหรือตะปูสะกดวิญญาณตอกเข้ามาซ้ำไปซ้ำมาสิบเจ็ด สิบแปด สิบเก้าหน อวิ๋นซู่เจ็บจนแทบเป็นแทบตาย ทว่าเขาไร้หนทางจะทำสิ่งใดกับเรื่องนี้
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด ร่างกายของอวิ๋นซู่ก็แห้งเหี่ยว ในที่สุดมู่ชิวหยางก็ได้รับสิ่งที่แม้แต่ยามฝันก็ไม่กล้าเพ้อฝันถึง
เม็ดโลหิต ไขเลือด น้ำพุเทพ นับจากนี้เป็นต้นไป เขาจะกลายเป็นมารโลหิตผู้แข็งแกร่งแล้ว
มู่ชิวหยางมองไปทางอวิ๋นซู่อย่างพึงพอใจ “เจ้าลัทธิโปรดวางใจ สิ่งที่ท่านเหลือเอาไว้ให้ ข้าจะใช้ประโยชน์ให้ถึงที่สุด”
อวิ๋นซู่สองตาเหลือกลอย ไม่มีสติรับรู้เรื่องใดอีกแล้ว
มู่ชิวหยางคร้านจะไปสนใจว่าเขาสูดลมหายใจเฮือกสุดท้ายหรือยัง หากคนผู้หนึ่งไม่มีแม้แต่ไขเลือด เขาย่อมไม่มีทางมีชีวิตอยู่ต่อได้แล้ว
หลังจากนั้นมู่ชิวหยางก็เริ่มหมายตาสมบัติที่เหลือของอวิ๋นซู่ เขาปล้นสมบัติทั้งหมดของอวิ๋นซู่มาจนหมด ทางที่ดีหากปล้นแผนที่ของพระราชวังใต้ดินมาได้เพิ่มอีกสองสามชิ้นจะดีที่สุด เพราะมู่ชิวหยางค้นพบว่าแผนที่ฉบับที่อวิ๋นซู่ให้เขามาครอบคลุมพื้นที่บริเวณนี้เท่านั้น แต่พระราชวังใต้ดินย่อมไม่เล็กถึงเพียงนั้นและไม่ได้มีน้ำพุเทพเป็นสมบัติเพียงชิ้นเดียวอย่างแน่นอน
ในขณะที่มู่ชิวหยางกอดโถ แล้วครุ่นคิดว่าจะค้นตรงไหนจะค่อนข้างสะดวก ข้างหูก็พลันได้ยินเสียงแผ่วเบาดังขึ้น “โฮ่งงงง”
มู่ชิวหยางคิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิงว่ามีคนเข้ามาในห้องแล้วยังยืนอยู่ด้านหลังเขา เขาตกใจจนขวัญบินหาย! ร่างเขาสะดุ้งเฮือก มือเผลอคลายออก โถที่กอดเอาไว้จึงร่วงลงมา
เขาร้องเสียงหลง “ไขเลือด!”
ตุ้บ!
โถที่ใส่ไขเลือดไว้จนเต็มร่วงลงบนฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่ง
มู่ชิวหยางหันกายกลับไปมอง แล้วก็ตกใจจนสะดุ้งโหยง หากเขาจำไม่ผิด บุรุษผู้สวมหมวกเกราะกับชุดเกราะเหล็กคนนี้ก็คือ….
“ราชันอสูรหรือ”
ราชันอสูรแลบลิ้นใส่
มู่ชิวหยางรู้ว่าราชันอสูรเข้ามาในพระราชวังใต้ดิน แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้พบอีกฝ่ายเร็วถึงเพียงนี้ ในใจมู่ชิวหยางเกิดความคิดจะถอยหนีขึ้นมาเสี้ยวหนึ่งอย่างห้ามไม่ได้ ทว่าไม่นานมู่ชิวหยางก็เรียกสติกลับมาได้อีกครั้ง ในพระราชวังใต้ดินทุกคนล้วนถูกสะกดกำลังภายใน ราชันอสูรก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ยามนี้เขาก็เหมือนกับตน ตนมีอันใดให้ต้องกลัวเล่า
เมื่อความคิดนี้แล่นผ่านเข้ามาในหัว มู่ชิวหยางก็ยื่นมือออกไปจับโถที่อยู่ในอ้อมแขนของราชันอสูรอย่างไม่เกรงใจสักนิด ราชันอสูรไม่ปล่อยให้เขาทำสำเร็จ เขาหมุนตัววูบเดียวก็อุ้มโถเผ่นแผล็วออกไปข้างนอก!
ยุ่งวุ่นวายมาตั้งนานกลับกลายเป็นตัดชุดแต่งงานให้ผู้อื่น มู่ชิวหยางโกรธจนอยากจะกระอักเลือด แม้แต่แผนการกวาดสมบัติจากตัวอวิ๋นซู่เขาก็ไม่สนใจแล้ว เขาไล่ตามออกไปประหนึ่งติดปีกบิน ทว่าเมื่อเขาไล่ตามไปถึงประตูก็พบกับทางเส้นน้อยที่ว่างเปล่า ไหนเลยจะยังมีเงาของราชันอสูรอยู่อีก
….
เล่าถึงพวกเฉียวเวย พวกนางกำลังนั่งรถม้าออกค้นหาเฮ่อหลันชิง ราชันอสูรรวมไปถึงอี้เชียนอินอย่างละเอียดถี่ถ้วน รถม้าแล่นช้าอย่างยิ่ง ต้าไป๋ เสี่ยวไป๋กับจูเอ๋อร์กระโดดลงมาที่พื้น สูดหากลิ่นของทั้งสามคนจากในอากาศ
ไม่นานต้าไป๋ก็ได้กลิ่นของราชันอสูร มันกระโดดดึ๋งอยู่กับที่
เฉียวเวยแววตาเป็นประกาย “ราชันอสูรอยู่ใกล้ๆ หรือ”
จีหมิงซิวเปิดม่านรถ ที่ตรงนี้คือถนนที่ทอดยาวในพระราชวัง ฝั่งซ้ายคือสวนดอกไม้ที่ถูกทิ้งร้าง ส่วนฝั่งขวาคือตำหนักหลังหนึ่งนามว่า ’เฉาอิน’
ตำหนักหลังนี้มองจากภายนอกเล็กกว่าตำหนักหลังที่เฉียวเวยไปพบวั่งซูก่อนหน้านี้เล็กน้อย
“พวกเรา…ยังอยู่ในพื้นที่ส่วนนั้นหรือเปล่า” เฉียวเวยถามอย่างกังวลใจเล็กน้อย แม้จะแน่ใจว่าตำหนักหลังก่อนหน้านี้คือจุดสิ้นสุดจุดหนึ่งของพื้นที่เขตนี้ แต่พื้นที่เขตหนึ่งมีสี่ทิศแปดด้าน สุดเขตด้านที่เหลืออยู่ตรงไหน พวกเขาไม่รู้อย่างสิ้นเชิง หากไม่ทันระวังก้าวออกไปแล้ว อาจจะกลับมาที่เดิมไม่ได้อีก เช่นนั้นก็จะหาบิดากับท่านยายของนางไม่พบอีกต่อไป
จีหมิงซิวตบหัวไหล่ของนาง “ยังอยู่ วางใจเถิด”
เฉียวเวยมองเขาอย่างแปลกใจ “ท่านรู้ได้อย่างไรว่ายังอยู่”
ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดียิ้ม “”เดาเอา”
หัวหน้าพรรคเฉียว “…”
ต้าไป๋ดมเสร็จก็ลากร่างอ้วนตุ้บตั้บวิ่งเข้าไปที่ตำหนัก ไม่นานเสี่ยวไป๋กับจูเอ๋อร์ก็ตามเข้าไปในตำหนักด้วย พวกมันสองตัวไม่ได้เข้าไปเพราะได้กลิ่นราชันอสูร แต่พวกมันสองตัวทะเลาะกันจนเดินเข้าไปด้านใน สัตว์น้อยที่ตั้งใจทำงานมีแต่ต้าไป๋ตัวเดียวเท่านั้น
หน้าตำหนักมีบันไดอยู่ รถม้าจึงได้แต่จอดอยู่นอกประตูตำหนัก
บางทีอาจเป็นเพราะเมื่อครู่ได้นอนหลับบนรถม้าไปหนึ่งตื่น ตอนนี้เด็กน้อยทั้งหลายจึงคึกคักอย่างยิ่ง รถม้าจอดปุ๊บ เด็กน้อยแต่ละคนก็กระโดดลงมาทันที ที่แห่งนี้มืดสนิทจนน่าขนลุก แต่หลิวเกอร์ไม่กลัวอีกต่อไป เขาจับมือจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูแล้วเดินเข้าไปด้วยสีหน้าสุขุม
ตำหนักเฉาอินค่อนข้างเล็ก มันมีเพียงตำหนักหลักหนึ่งหลังกับตำหนักข้างอีกสองหลัง กลิ่นอายของราชันอสูรลอยออกมาจากตำหนักข้างหลังหนึ่งในนั้น
แม้ภายในตำหนักข้างจะมีเรือนขนาดเล็กอยู่เพียงหลังเดียว แต่มันก็มีห้องอยู่หลายห้อง ห้องสุดปลายคือห้องที่ดูเหมือนห้องหนังสือ ห้องหนังสือมีขนาดไม่ใหญ่ เครื่องเรือนครบครัน ทั้งหมดทำมาจากไม้หวงหลีชั้นเยี่ยม
ได้ยินมาว่าไม้หวงหลีอยู่ได้พันปีโดยไม่ผุ เฉียวเวยก็ไม่แน่ใจนักว่าเป็นเพราะเครื่องเรือนเหล่านี้ทำมาจากไม้หวงหลีหรือไม่ แต่โต๊ะกับเก้าอี้ที่นี่ไม่มีร่องรอยผุพังจริงๆ แน่นอนว่านางไม่ได้มาที่นี่เพื่อจะวิเคราะห์เครื่องเรือนไม้หวงหลี
เฉียวเวยกวาดสายตามองรอบด้าน จากนั้นลองเรียกดู “ท่านราชันอสูร ท่านราชันอสูรท่านอยู่หรือไม่”
ไม่มีผู้ใดตอบรับ