หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 105-2 ตอบจบ
ตอนที่ 105-2 ตอบจบ
เฉียวเวยครุ่นคิดว่าจะมีกลไกกับห้องลับอะไรหรือไม่ จึงค้นหาในห้องรอบหนึ่งแต่ก็ไม่พบสิ่งใด เฉียวเวยจึงเดินไปสมทบกับจีหมิงซิว จีหมิงซิวเข้าไปในคลังเก็บของห้องหนึ่ง ข้าวของในห้องเก็บของมีมากมายสารพัด หีบล้มอยู่กับพื้น ประตูตู้ก็เปิดอยู่ เหมือนกับว่าเพิ่งมีผู้ใดมาปล้นไป
“พบอะไรบ้างหรือไม่” เฉียวเวยเดินเข้าไปถาม
จีหมิงซิวนั่งยองๆ ลงลูบฝุ่นในหีบ แล้วบอกเฉียวเวยว่า “หีบกับตู้เหล่านี้เพิ่งจะถูกเปิด ความหนาของฝุ่นไม่เท่ากับฝุ่นบนพื้น”
เฉียวเวยฉงน “ราชันอสูรหรือเปล่า”
กรงเล็บของต้าไป๋ตะกุยบานประตูตู้ไปมา
จีหมิงซิวพยักหน้า “น่าจะใช่เขา แต่ดูจากสภาพ เขาคงจากไปแล้ว”
เฉียวเวยเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง “เขาเปิดแต่ตู้ใบใหญ่ เขาคงคิดว่าอวิ๋นซู่ซ่อนท่านยายไว้ในหีบหรือในตู้ใช่หรือไม่”
จีหมิงซิวขานอืมคำหนึ่ง “เขาหาไม่พบจึงจากไป ท่านแม่ไม่ได้อยู่ด้วยกันกับเขา”
เฉียวเวยทำหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง แม้จะบอกว่าราชันอสูรกับเฮ่อหลันชิงเข้ามาในพระราชวังใต้ดินพร้อมกัน แต่ราชันอสูรพุ่งเข้าไปเร็วมาก ตอนที่เฮ่อหลันชิงก้าวเข้าประตูใหญ่ของพระราชวังใต้ดินมา ท่านผู้เฒ่าก็หายลับไปไม่เห็นเงาแล้ว
ตราบจนบัดนี้ต้าไป๋เพิ่งจะได้กลิ่นของราชันอสูรเพียงคนเดียว หรือก็คือราชันอสูรน่าจะอยู่บริเวณใกล้ๆ ทว่าเฮ่อหลันชิงอาจจะอยู่ในพื้นที่อีกส่วนหนึ่ง
โครม!
ระหว่างที่ครุ่นคิดอยู่หีบใบน้อยใบหนึ่งก็ร่วงโครมลงมาจากหลังตู้หนังสือ ไม่ทันไรเสี่ยวไป๋กับจูเอ๋อร์ก็กระโดดแผล็วลงมา สัตว์ทั้งสองจับกล่องไว้พร้อมกัน ผู้ใดก็ไม่ยอมให้ผู้ใดทั้งสิ้น
เสี่ยวไป๋คำรามประหนึ่งสิงโต “งี๊ดดดด!”
จู่เอ๋อร์คำรามอย่างโกรธเกรี้ยว “เจี๊ยกกก!”
เฉียวเวยยื่นมือมาแย่งหีบใบน้อยที่สัตว์น้อยแย่งชิงกันอย่างไม่ยอมลดละมาอย่างเฉยชา
สัตว์ทั้งสองถลึงตาใส่เฉียวเวยอย่างไม่ได้รับความยุติธรรม
เฉียวเวยเปิดหีบออกก็พบว่าด้านในมีกุญแจดอกยาวอยู่ดอกหนึ่ง เฉียวเวยหยิบกุญแจออกมา ส่องดูกับมุกราตรี นางเพ่งมองซ้ายเพ่งมองขวาแต่ก็มองไม่ออกว่ามันพิเศษอย่างไร นางถามอย่างฉงน “นี่ไว้ทำอะไรกัน”
“ข้าดูซิ” จีหมิงซิวพูดขึ้นมา
เฉียวเวยส่งกุญแจให้จีหมิงซิว
นอกจากความยาวของมันที่ยาวกว่ากุญแจปกติอยู่บ้าง จีหมิงซิวก็มองสิ่งใดไม่ออกเช่นกัน จีหมิงซิวหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมาห่อกุญแจไว้แล้วส่งให้เฉียวเวย “เก็บไว้ก่อนเถิด”
“ได้” เฉียวเวยเก็บกุญแจไว้อย่างดี ไม่ว่าอย่างไรมันก็ไม่หนักแล้วก็ไม่กินที่ด้วย
หลังจากนั้นทั้งสองคนก็หมุนตัวเดินไปยังตำหนักข้างอีกหลังหนึ่ง โครงสร้างของที่นี่เหมือนกับตำหนักข้างหลังเมื่อครู่ แม้แต่เครื่องเรือนในห้องก็ไม่แตกต่างกันสักอย่าง สิ่งเดียวที่แตกต่างก็คือ ภาพวาดที่แขวนอยู่บนกำแพงห้องหนังสือฝั่งนี้ ไม่ใช่ทั้งภาพทิวทัศน์ขุนเขาลำธาร ไม่ใช่ทั้งภาพวาดหญิงงาม แต่เป็น…ภาพเหมือนของเสี่ยวไป๋!
ขนขาวโพลนทั้งร่าง ดวงตาโตกลมดิกสีน้ำตาล แววตาฉลาดเฉลียว นั่นไม่ใช่เสี่ยวไป๋ตัวเป็นๆ หรือไร
“นี่มัน…” เฉียวเวยเดินไปหน้าภาพวาด ทว่าเมื่อนางมองท้องน้อยของอีกฝ่ายชัดก็ลบข้อสันนิษฐานนี้ไป นี่ไม่ใช่เสี่ยวไป๋ นี่เป็นเพียงพอนตัวเมียตัวหนึ่ง “บนภาพวาดมีตัวอักษรด้วย!”
น่าเสียดายเป็นตัวอักษรเยี่ยหลัว หัวหน้าพรรคเฉียวอ่านไม่ออก
จีหมิงซิวรับภาพเหมือนมา
จีหมิงซิวอาศัยแสงของมุกราตรีค้นพบว่าภาพเหมือนไม่ได้มีตัวอักษรอยู่เฉพาะด้านหน้า แต่ด้านหลังก็มีตัวอักษรเหมือนกัน ตัวอักษรด้านหลังมีจำนวนมากกว่าเล็กน้อย เพียงแต่ไม่สะดุดตานัก จีหมิงซิวล้วงคบไฟจิ๋วออกมาแล้วใช้ดวงไฟเล็กจิ๋วจ่อมันจนตัวอักษรแต่ละตัวปรากฏให้เห็น
“ภาพเหมือนเขียนว่าอะไร” เฉียวเวยถือมุกราตรีขยับเข้าไปหา
จีหมิงซิวบอกว่า “สายเลือดราชันแห่งเพียงพอนวิเศษ สัตว์เลี้ยงแสนรักของฮ่องเต้พระองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์เทียนฉี่”
ที่แท้ก็สัตว์เลี้ยงที่ฮ่องเต้โปรดปราน มิน่าจึงแขวนภาพไว้ในพระราชวังใต้ดิน หากกล่าวเช่นนี้สายเลือดราชันตัวนี้ก็คงเป็นบรรพบุรุษของเสี่ยวไป๋สินะ
เฉียวเวยพึมพำ “อุตส่าห์แขวนภาพเหมือนไว้ในพระราชวังใต้ดิน ฮ่องเต้พระองค์นี้โปรดปรานสายเลือดราชันแห่งเพียงพอนวิเศษจริงๆ นะ”
จีหมิงซิวขำนาง เขาหัวเราะเบาๆ เอ่ยว่า “กล่าวเช่นนั้นก็ไม่ผิด ทว่าเจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดชนเผ่าเยี่ยหลัวจึงรักสายเลือดราชันแห่งเพียงพอนวิเศษปานนั้น”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว พับนิ้วนับ “โลหิตเอามาเป็นยาได้ ร้อยพิษไม่กล้ำกราย แล้วยังต่อสู้ได้ด้วย”
เสี่ยวไป๋ “!”
จีหมิงซิวเอ่ยขึ้นมาว่า “กล่าวเช่นนั้นก็ไม่ผิด แต่สายเลือดราชันแห่งเพียงพอนวิเศษยังมีคุณสมบัติอีกประการหนึ่งด้วย”
“คุณสมบัติอะไรหรือ” เฉียวเวยถาม
จีหมิงซิวตอบว่า “ปลุกสายเลือดได้”
เฉียวเวยเหมือนจะเข้าใจแต่ก็เหมือนจะไม่เข้าใจ “ปลุกสายเลือด ท่านหมายถึง…เหมือนท่านยายอย่างนั้นหรือ”
จีหมิงซิวอธิบายให้ฟังว่า “ตระกูลอวิ๋นเป็นทายาทของราชันไสยเวท ในร่างมีสายเลือดของราชันไสยเวทไหลเวียนอยู่ แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะปลุกสายเลือดขึ้นมาได้ จักรพรรดิอสูรก็ปลุกสายเลือดล้มเหลวจึงไม่อาจกลายเป็นนายท่านของธนูจันทร์โลหิต ตระกูลเฮ่อหลันก็สืบทอดสายเลือดของราชันมาเช่นกัน มารดาของเจ้าน่าจะเป็นหนึ่งในคนที่ปลุกสายเลือดขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์ที่สุดในประวัติศาสตร์ของชนเผ่าถ่าน่า”
“มิน่ามารดาของข้าถึงเก่งกาจเพียงนั้น!” เฉียวเวยชื่นชมจากใจจริง เมื่อคิดถึงอะไรขึ้นมาได้ก็มองสองมือของตนเอง แล้วพึมพำกับตนเองว่าตอนแรกที่ร่างกายของนางอ่อนแออย่างยิ่ง แต่ต่อมากลับค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ นางคิดว่าตนเองออกกำลังกายจึงทำให้เป็นเช่นนั้นเสียอีก ตอนนี้มานึกดูแล้วเหมือนจะเริ่มตั้งแต่เลี้ยงเสี่ยวไป๋
จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูก็เหมือนกัน…
เฉียวเวยมองวั่งซูน้อยผู้ตุ้ยนุ้ย ส่วนนี่ นี่ นี่น่าจะ…เพราะกินมากเกินไปเสียมากกว่า!
จีหมิงซิวแขวนภาพวาดกลับไป
เฉียวเวยเอ่ยอีกหน “แต่จะว่าไปแล้ว บรรพบุรุษของราชวงศ์เยี่ยหลัวมีสายเลือดอะไรที่เยี่ยมยอดนักหรือ” ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะเลี้ยง ‘เสี่ยวไป๋’ ไว้ทำอะไร หากไม่มีสายเลือดอะไรสืบทอดมา จะปลุกอะไรได้เล่า
จีหมิงซิวกล่าวว่า “มารโลหิต”
“มาร มารโลหิตอย่างนั้นหรือ” ข้อมูลนี้น่าตกตะลึงเกินไปแล้ว หากจะพูดว่าประหนึ่งอสนีบาตฟาดลงมาก็ไม่เกินไป เฉียวเวยชะงักกึกไปทั้งตัว “ท่าน…ท่านรู้ได้อย่างไร”
จีหมิงซิวเหลือบมองภาพวาด “บนภาพวาดเขียนไว้ แต่ในประวัติศาสตร์ราชวงศ์เยี่ยหลัวไม่เคยปรากฏมารโลหิตตนใดมาก่อน ข้าเดาว่ามีโอกาสมากกว่าครึ่งที่พวกเขาจะถูกผู้อื่นหลอกลวง”
เฉียวเวยตบหน้าอก “ข้าตกใจหมด ข้าเกือบจะคิดว่าราชวงศ์เยี่ยหลัวครอบครองร่างของมารโลหิตจริงๆ แล้ว หากเป็นเช่นนั้นข้าคงต้องสันนิษฐานว่ามารโลหิตต่างหากที่เป็นรัชทายาทเยี่ยหลัวที่หายสาบสูญไปในอดีตคนนั้น”
จีหมิงซิวอดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว อายุไม่ตรงกัน”
รัชทายาทกับท่านยายอายุพอๆ กัน แต่มารโลหิตเห็นชัดว่าอายุมากกว่าทั้งสองคน จึงไม่มีทางเป็นองค์รัชทายาทที่หายสาบสูญไปได้อย่างแน่นอน ได้แต่บอกว่าราชวงศ์เยี่ยหลัวคงริษยาสายเลือดที่สืบทอดกันมาในชนเผ่าถ่าน่ากับลัทธิศักดิสิทธิ์จึงหลงเชื่อข่าวลือลวงหลอก คิดว่าบรรพบุรุษของตนเองเคยมีมารโลหิตคนหนึ่ง
เฉียวเวยจำได้ว่าอวิ๋นซู่ก็เลี้ยง ‘เสี่ยวไป๋’ ไว้ตัวหนึ่งเช่นกัน ดูท่าเขาคิดจะกลายเป็นมารโลหิตมาตั้งแต่แรกแล้ว
จีหมิงซิวมองห้องบรรทมที่ว่างเปล่า “ไปเถิด ที่นี่ไม่มีสิ่งใดแล้ว”
สองสามีภรรยาพาเด็กน้อยทั้งสามคนออกไป ต้าไป๋นำหน้าไปตัวเดียว มันเดินอยู่หน้าสุดค้นหากลิ่นของราชันอสูรต่อไป
จูเอ๋อร์ฟาดเสี่ยวไป๋ไปหนึ่งหน เสี่ยวไป๋พองขนแล้วกระโดดเข้าไปกัดจูเอ๋อร์ จูเอ๋อร์ก็พองขนบ้าง มันร้องเจี๊ยกๆ สองทีแล้วกระโจนขึ้นไปบนคานห้อง เสี่ยวไป๋นั่งอยู่บนพื้น จับจ้องจูเอ๋อร์อย่างมาดร้าย จูเอ๋อร์ก็เงื้อกำปั้นเล็กๆ ทุบมัน
“พวกเจ้าสองตัวทำอะไร หากไม่ลงมาอีกจะไปแล้วนะ!”
เสียงของเฉียวเวยดังมาจากนอกตำหนัก เสี่ยวไป๋พาหน้าเพียงพอนบึ้งๆ ของตนเองเดินออกไป จูเอ๋อร์กอดเสาทางเดินลื่นไถลลงมา มันแค่นเสียงดังเหอะ สองมือไพล่หลังเดินไปข้างหน้าราวกับนายท่านคนหนึ่ง
ทว่าเพิ่งจะเดินได้สองก้าว เงาคนร่างหนึ่งก็พุ่งออกมาจากประตูด้านหลัง ผู้ที่มามิใช่ใครอื่น เขาก็คือมู่ชิวหยางที่ไล่ตามราชันอสูรมาตลอดทางนั่นเอง มู่ชิวหยางเห็นราชันอสูรผลุบเข้ามาในที่แห่งนี้ตั้งแต่ไกลแล้ว แต่เมื่อเขาไล่ตามเข้ามากลับไม่เห็นเงาของราชันอสูร เห็นแต่ลิงดำตัวจิ๋วที่จั๋วหม่าน้อยเลี้ยงเอาไว้ตัวนี้
“จูเอ๋อร์!” เสียงเฉียวเวยเอ่ยเร่ง
คิ้วของมู่ชิวหยางกระเด้งขึ้นไปด้านบนทันที เขารู้สึกหนาวสันหลังอย่างไม่รู้ตัว เบิกตาโตหันไปมองจูเอ๋อร์อย่างลนลาน
จูเอ๋อร์เห็นเขาแล้วชัดๆ มันกำลังมองเขาด้วยสีหน้ามึนงง
เขายกมือขึ้นช้าๆ แล้วทำสัญลักษณ์มือบอกให้จูเอ๋อร์เงียบ จูเอ๋อร์ก็เลียนแบบท่าทางทำมือบอกให้เงียบตามด้วย
มู่ชิวหยางงงงวย จูเอ๋อร์ก็งงงวยตาม
มู่ชิวหยางอ้าปากกว้าง จูเอ๋อร์ก็อ้าปากกว้างตาม
มู่ชิวหยางก้าวเท้าซ้ายออกไปเบาๆ แล้วสะกิดปลายเท้ากับพื้น จูเอ๋อร์ก็ยังคงลอกเลียนท่าทางตาม แม้แต่สีหน้าละล้าละลังของเขาก็ยังลอกเลียนได้อย่างยอดเยี่ยม
มู่ชิวหยางหัวเราะร่าในใจ เขาหลุบตาลงซ่อนรอยยิ้มที่ผุดขึ้นมาเอาไว้ แล้วย่อตัวลงไปเก็บไม้ท่อนหนึ่งขึ้นมา จูเอ๋อร์ก็หยิบไม้ท่อนหนึ่งขึ้นมาบ้าง เขาใช้ไม้ตีลงบนศีรษะของตนเองอย่างหลอกๆ จูเอ๋อร์ก็ตีตนเองอย่างหลอกๆ บ้าง
มู่ชิวหยางเห็นมันหลอกไม่ง่ายเช่นนี้ก็กัดฟันตีศีรษะตนเองไปจริงๆ!
จูเอ๋อร์เหวี่ยงไม้ตาม มันฟาดไม้ลงไปที่ศีรษะของเขาจริงๆ!
มู่ชิวหยาง “!”
เจ้าหลอกข้าหรือ!
จูเอ๋อร์กระโดดตัวลอยฟาดเขาไปอีกหลายไม้ พอฟาดเสร็จก็โยนไม้ทิ้ง แล้วสับขาวิ่งตึงตังๆ หนีไปทันใด!
จูเอ๋อร์ผู้ใช้ความรุนแรงเผ่นแผล็วออกไปข้างนอกแล้วโผเข้าไปซุกในอ้อมแขนของเฉียวเวยพร้อมกับสีหน้าหวาดกลัว ประหนึ่งเจ้าตัวน้อยน่าสงสารที่ทั้งตกใจและหวาดกลัว