หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 105-3 ตอบจบ
ตอนที่ 105-3 ตอบจบ
ไม่รู้เลยว่าคนที่ฟาดมู่ชิวหยางจนหัวปูดลูกเบ้อเริ่มคือผู้ใดกัน
“เสแสร้งเกินไปแล้วกระมัง” หัวหน้าพรรคเฉียวเอ่ยเสียงเคร่งขรึม
จูเอ๋อร์เบ้ปาก กลอกตาน้อยๆ ของมันแล้วกรีดนิ้วทัดดอกไม้สีแดงสดที่ไม่มีอยู่จริงบนหัว ก่อนจะกระโดดแผล็วลงไปที่พื้น แล้วขึ้นรถม้าไปอย่างสง่างามหยิ่งยโส
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” จีหมิงซิวอุ้มเด็กทั้งสามคนขึ้นรถม้าเสร็จก็หันกลับมามองเฉียวเวย
เฉียวเวยตอบว่า “ไม่มีอะไร ข้าจะไปดูสักหน่อย”
“ข้าไปเองดีกว่า เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่” จีหมิงซิวหมุนตัวเดินเข้าไปในตำหนักเฉาอิน
ในตำหนักมู่ชิวหยางกุมศีรษะที่ปูดเป็นลูกหลายลูกหนีไปทางประตูหลัง จีหมิงซิวเดินมาถึงตรงประตูหลัง ก็มองทางเส้นน้อยสองฝั่งอย่างระแวดระวัง จากนั้นจึงกลับไปขึ้นรถม้าพร้อมกับสีหน้าเย็นยะเยือก
“เกิดอะไรขึ้น” เฉียวเวยถาม
จีหมิงซิวตอบว่า “เคยมีคนมา แต่ไปแล้ว”
ไม่ใช่อวิ๋นซู่ก็ต้องเป็นมู่ชิวหยาง ชางจิวกลายเป็นนักรบมรณะแล้วจึงไม่มีสติปัญญาอย่างคนธรรมดา หากพบพวกเขามีแต่จะพุ่งเข้ามาสังหาร ไม่มีทางหลบหนีไป
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “อ้อ เจ้าหมอนั่นยังไม่ตายหรือ”
จีหมิงซิวตอบว่า “ไม่ต้องสนใจเขา พระราชวังใต้ดินเป็นสถานที่อันตราย ต่อให้พวกเราไม่จัดการเขา ก็ไม่แน่ว่าเขาจะมีชีวิตเดินออกไปได้อย่างปลอดภัย”
เฉียวเวยพยักหน้าหงึกๆ “ก็ใช่ ไยต้องทำให้มือตนเองสกปรกด้วยเล่า”
รถม้าแล่นโคลงเคลงจากไป เฉียวเวยกับเด็กน้อยทั้งหลายง่วงงุนอีกครั้ง เจ้าตัวน้อยทั้งสามคนล้มตัวนอนในรถม้าแล้วสะลึมสะลือหลับไป
เฉียวเวยพิงหัวไหล่ของจีหมิงซิวพลางอ้าปากหาว มือข้างหนึ่งกุมหน้าท้องนอนหลับลึกตามไปเช่นเดียวกัน
จีหมิงซิวกางผ้าคลุมกันลมของตนเองห่มร่างเล็กบอบบางของนางเข้ามาอยู่ในอ้อมแขน ส่วนมืออีกข้างแขวนตะเกียงน้ำมัน ก่อนจะกระชับสายบังเหียน บังคับม้าให้วิ่งไปบนถนนหินอ่อนสีขาวอันเงียบกริบของพระราชวังใต้ดินอย่างเงียบๆ
…
กล่าวถึงมู่ชิวหยางผู้หนีหางจุกก้นมา แม้ในใจเขาจะโกรธเกรี้ยว แต่เขารู้ดีว่าช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ไม่เหมาะจะประจันหน้ากับพวกเฉียวเวย รอเขาไล่ตามราชันอสูรทันแล้วแย่งไขเลือดกลับมาได้ ฝึกจนเป็นมารโลหิตสำเร็จแล้ว ตอนนั้นเขาอยากจะชำระแค้นอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น
โชคของเขายังคงดีอยู่ ระหว่างทางที่สะกดรอยตามราชันอสูร เขาก็พบคลังอาวุธแห่งหนึ่ง ในคลังอาวุธแห่งนั้นเขาพบหน้าไม้พิฆาตเทวาอันหนึ่ง หน้าไม้พิฆาตเทวาเป็นของดี มันเร็วกว่าธนูธรรมดา และใช้ไม่ยุ่งยากเท่า เพียงเหนี่ยวไกเบาๆ หน้าไม้ก็จะยิงออกไปด้วยความเร็วที่มากกว่าธนูหลายเท่าไปจนถึงสิบเท่า
มู่ชิวหยางถือหน้าไม้พิฆาตเทวา แล้วสะพายกระบอกลูกธนูที่เต็มไปด้วยลูกธนู จากนั้นสาวเท้าดุจดาวตกเดินออกไป ความตั้งใจเดิมของเขาคือการไล่ตามไปจู่โจมราชันอสูร ไหนเลยจะคิดว่ากลับจับพลัดจับผลูมาเจอจีหมิงซิวอีกหน
พระราชวังใต้ดินเงียบสงัด เสียงกีบเท้าม้ากับเสียงล้อบดถนนดังกังวานได้ยินชัดเจนอย่างยิ่ง
มู่ชิวหยางเพิ่งจะออกมาจากคลังอาวุธก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจากสุดปลายถนนของพระราชวัง เสียงไม่ได้เคลื่อนไกลออกไป แต่กำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้
มู่ชิวหยางรีบถอยกลับไปหลบที่ประตูใหญ่ เขาพาดลูกธนูดอกหนึ่งผ่านช่องว่างของประตูที่รองรับได้พอดี เขาเห็นรถม้าแล่นมาอย่างช้าๆ นอกตัวรถมีจีหมิงซิวกับเฉียวเวยนั่งอยู่ เฉียวเวยเหมือนจะหลับไปแล้ว จีหมิงซิวกอดนางไว้ พลางเหน็บผ้าคลุมกันลมให้นางเป็นระยะ
ศัตรูอยู่ในที่แจ้ง เขาอยู่ในที่ลับ
นี่เป็นโอกาสลอบสังหารอันยอดเยี่ยม
มู่ชิวหยางยกหน้าไม้มาขึ้นลูกธนู จากนั้นยื่นหัวลูกธนูออกไปผ่านช่องประตู สิ่งที่ควรกล่าวถึงสักหน่อยก็คือลูกธนูของหน้าไม้พิฆาตเทวามีขนที่เรียวแคบ หัวลูกธนูเป็นส่วนที่กว้างที่สุด ขอเพียงหัวลูกธนูผ่านไปได้อย่างราบรื่น ตัวลูกธนูก็จะผ่านไปได้อย่างราบรื่นเช่นกัน
รถม้าแล่นช้ามาก เฉียวเวยนั่งอยู่ฝั่งเดียวกับคลังอาวุธ เขาเล็งไปที่นางได้อย่างง่ายดาย ส่วนจีหมิงซิว ต่อให้เขาถูกนางบังอยู่ แต่เขารูปร่างสูงใหญ่เกินไปจึงบังได้ไม่เท่าไร จะเล็งย่อมไม่ยากสักนิด
ลูกธนูของมู่ชิวหยางลังเลระหว่างร่างของเฉียวเวยกับจีหมิงซิวอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจจัดการเฉียวเวย!
ลูกธนูของเขาเล็งไปที่ลำคอของเฉียวเวย ขอเพียงเขาเหนี่ยวไก ลูกธนูก็จะยิงเสียบทะลุลำคอ!
มู่ชิวหยางยกมุมปากยิ้มอย่างสาแก่ใจ นิ้วชี้แนบชิดกับไกหน้าไม้ช้าๆ คิดไม่ถึงว่าชั่วพริบตาที่เขากำลังจะเหนี่ยวไก จู่ๆ แผ่นดินก็สั่นไหว คลังอาวุธทั้งหมดโคลงสั่นอย่างรุนแรง เขายืนไม่มั่นคงทีเดียวก็ล้มไปกระแทกกับบานประตู หน้าไม้พิฆาตเทวาร่วงตกลงไปบนพื้นดินที่กำลังสั่นไหวอยู่
แววตาเย็นยะเยือกของจีหมิงซิวหันขวับมาทางด้านนี้ “ผู้ใด”
ไม่รอให้เขาเก็บหน้าไม้พิฆาตเทวาขึ้นมาจากพื้น แผ่นดินก็สั่นรุนแรงกว่าเดิมราวกับแผ่นดินไหว อาวุธที่อยู่บนราวส่งเสียงดังเคร้งคร้างร่วงกราวลงมา มู่ชิวหยางรีบกุมศีรษะ
สถานการณ์อีกฝั่งหนึ่งก็ไม่ดีไปถึงไหน คลังอาวุธ ‘เกิดแผ่นดินไหว’ ไม่นานนัก ถนนของพระราชวังก็เริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรงบ้าง จีหมิงซิวกอดเฉียวเวยเอาไว้แน่น เขากระชับสายบังเหียนปลอบอาชาที่ตื่นตระหนกให้สงบ เสียงกัมปนาทดังตึงลอยมาจากเบื้องหลัง ไม่ต้องมองก็รู้ว่าเจ้าตุ้ยนุ้ยคงร่วงลงไปที่พื้น แต่นางกลับยังหลับไม่ตื่น นอนหลับใหลกรนคร่อกๆ ต่อไป
สถานการณ์เช่นนี้คงอยู่ไม่นานนัก รอจนเฉียวเวยลืมตาขึ้นมา แรงสั่นไหวก็สงบลงแล้ว เฉียวเวยกะพริบตาแล้วลุกขึ้นมานั่งอย่างฉงน “เมื่อครู่..ข้ากำลังฝันอยู่หรือ เหตุไฉนข้ารู้สึกว่าเกิดแผ่นดินไหว”
จีหมิงซิวกวาดสายตามองรอบด้าน สายตาเลื่อนไปจับทิศทางที่เดิมเคยมีคลังอาวุธตั้งอยู่ แล้วเอ่ยเสียงเข้มว่า “พื้นที่เปลี่ยนอีกแล้ว”
เฉียวเวยตกตะลึง “เปลี่ยนอีกแล้วหรือ มีผู้ใดเข้ามาอีกแล้วหรือ”
“น่าจะเป็นเช่นนั้น” จีหมิงซิวชี้ห้องเก็บของด้านข้างแห่งนั้น “เมื่อครู่ตรงนี้คือคลังอาวุธแห่งหนึ่ง ตอนนี้กลายเป็นห้องเก็บของจิปาถะไปแล้ว”
เฉียวเวยกะพริบตา
จีหมิงซิวเปิดผ้าม่าน ลุกขึ้นไปอุ้มวั่งซูกลับมานอนบนตั่ง จากนั้นคลุมผ้านวมห่มให้เด็กน้อยทั้งสามคน เมื่อกลับไปนั่งข้างเฉียวเวย เฉียวเวยก็เอ่ยปากถามอย่างไม่เข้าใจว่า “นี่น่าจะเป็นการเปลี่ยนตำแหน่งพื้นที่หนที่สามหลังจากพวกเราเข้ามาแล้ว เหตุใดสองหนก่อนจึงไม่รู้สึกอันใด แต่การเคลื่อนไหวหนนี้กลับรุนแรงเช่นนี้”
จีหมิงซิวใคร่ครวญครู่หนึ่งก็หรี่ตาลงตอบว่า “บางทีอาจเป็นเพราะ…พื้นที่ตรงน้ำพุเทพนั่นไม่ขยับเคลื่อนที่”
“เช่นนี้เอง” เฉียวเวยครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนก็รู้สึกว่าสิ่งที่สามีของตนกล่าวมามีเหตุผลอย่างยิ่ง ไม่ว่าอย่างไรสองหนก่อนตอนพื้นที่เปลี่ยนตำแหน่ง พวกเขาก็มีสติตื่นอยู่ตลอด หากพื้นที่เขตนั้นขยับจริงก็ไม่มีเหตุผลที่พวกเขาจะไม่รู้สึกตัว
แต่แล้วเฉียวเวยก็คิดอะไรขึ้นมาได้จึงพึมพำว่า “แต่…นี่จะสั่นรุนแรงเกินไปหน่อยหรือไม่ เมื่อครู่พวกเรายืนอยู่ตรงขอบของเขตน้ำพุเทพ พื้นที่ก็เปลี่ยนตำแหน่งเหมือนกัน หากมันสั่นรุนแรงขนาดนี้ ตอนนั้นพวกเรายืนอยู่ตรงขอบ เหตุไฉนจึงไม่รู้สึกเลยเล่า”
จุดนี้ ตอนนี้จีหมิงซิวก็ยังคิดคำตอบไม่ออกเช่นกัน
เฉียวเวยถามอีกว่า “ทำเช่นไรดี ตอนนี้พวกเราไม่อยู่ในเขตน้ำพุเทพแล้ว ประเดี๋ยวจะกลับไปอย่างไร”
จีหมิงซิวกุมมือนาง “ต้องมีหนทางแน่”
เฉียวเวยเชื่อเขา เพราะเขาไม่เคยทำให้นางผิดหวังมาก่อน เขาบอกว่ามีหนทาง ถ้าเช่นนั้นเขาก็จะต้องคิดหาหนทางได้อย่างแน่นอน เพียงแต่ทั้งสองคนต่างคิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันหาหนทางพบ ‘แขกไม่ได้รับเชิญ’ ก็มาเยือนเสียก่อน
รถม้าแล่นไปตามถนนทอดยาวในพระราชวัง เมื่อแล่นมาถึงสุดปลายก็แล่นผ่านสวนดอกไม้น้อยที่เต็มไปด้วยดอกมะลิปลอมแห่งหนึ่ง จนมาถึงตำหนักอีกหลัง
หลังจากพื้นที่เปลี่ยนตำแหน่ง ต้าไป๋กับอีกสองตัวก็ไม่ได้กลิ่นของราชันอสูรแล้ว เฉียวเวยเดาว่า ราชันอสูรไม่ไปที่พื้นที่เขตอื่น ก็ยังอยู่ที่พื้นที่เขตน้ำพุเทพ ในใจเฉียวเวยแอบหวังว่าจะเป็นอย่างหลัง แต่พระราชวังใต้ดินซับซ้อนเหลือเกิน ราชันอสูรอยู่ที่ใดกันแน่ ผู้ใดจะบอกได้แน่ชัดกันเล่า
อาชาเหน็ดเหนื่อยจนเดินไม่ไหวแล้ว จีหมิงซิวจึงจอดรถม้าไว้หน้าตำหนัก “ข้าจะเข้าไปดูสักหน่อย พวกเจ้ารอข้าอยู่ที่นี่”
เรื่องดำเนินมาจนถึงตอนนี้ พวกเขาไม่เพียงต้องหาคน แต่ยังต้องหาทางออกจากพระราชวังใต้ดินอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลใดเกี่ยวกับพระราชวังใต้ดินล้วนปล่อยผ่านไปไม่ได้
เฉียวเวยง่วงเล็กน้อยอีกแล้ว นางฝืนปลุกตัวเองแล้วเอ่ยว่า “ท่านไปเถิด”
จีหมิงซิวมองอย่างปวดใจ เขาทัดจอนผมของนางไปไว้หลังหู “เจ้าเหนื่อยก็งีบหลับสักครู่เถิด”
เฉียวเวยยิ้มพลางส่ายหน้า “ไม่ล่ะ ข้าจะรอท่านออกมา”
จีหมิงซิวตอบด้วยแววตาจริงจัง “ข้าจะรีบไปรีบกลับ”
กล่าวจบเขาก็กระโดดลงจากรถม้า ก้าวไปทางตำหนักที่มีนามว่า ‘ซวงอวิ๋น’ จีหมิงซิวเข้าไปในตำหนักซวงอวิ๋นได้ไม่นาน เสี่ยวไป๋ที่หมอบงีบหลับอยู่บนพรมในรถม้าจู่ๆ ก็ผุดลุกขึ้นมานั่ง! ผ่านไปครู่หนึ่งต้าไป๋ก็ลุกขึ้นมานั่งด้วย
“เจี๊ยก!” จูเอ๋อร์กระโจนออกมาจากรถม้าแล้วซุกตัวเข้าไปในอ้อมแขนของเฉียวเวย มือน้อยๆ สีดำกำชายเสื้อของเฉียวเวยไว้แน่น
ครั้งนี้ไม่ใช่การเสแสร้งแล้ว
“เกิดอะไรขึ้น หืม” เฉียวเวยปรือตาอ้าปากหาว เมื่อลืมตาขึ้นมา อสรพิษเกล็ดสีดำเมี่ยมทั้งตัวตัวหนึ่งก็ชูคออยู่เบื้องหน้านาง ลำตัวทรงพลังของอสรพิษชูคอขึ้นมาสูง จนหัวเรียวแหลมของมันอยู่ตรงกับใบหน้าของนางพอดี มันฉกลิ้นสีแดงสดออกมาเป็นระยะ
บางทีอาจเพราะอยู่ใกล้เกินไป ทำให้เฉียวเวยรู้สึกราวกับว่าลิ้นของมันกำลังจะเลียถูกจมูกของนาง เฉียวเวยตกตะลึง ที่แห่งนี้มีสิ่งมีชีวิตด้วยหรือ นี่คงไม่ใช่ของปลอมกระมัง พวกที่ทำจากกลไกอะไรพวกนั้น ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ทำเหมือนจริงเกินไปหน่อยแล้ว
เฉียวเวยยื่นมือออกไปคว้าอสรพิษในหมับเดียว ปากสีแดงสดที่อ้ากว้างส่งเสียงขู่ฟ่อปิดฉับทันใด
อสรพิษ “!”
“สัมผัสที่มือก็เหมือนจริงอยู่นะ” มือซ้ายของเฉียวเวยกำจุดเจ็ดชุ่นของอสรพิษไว้ ส่วนมือขวาเปิดปากของมันออกดู “มีเขี้ยวพิษด้วย”
อสรพิษผู้ถูกข่มเหงรังแกจนลิ้นจุกปาก “…”
เฉียวเวยกำลิ้นของมัน ครานี้เฉียวเวยแน่ใจแล้วว่ามันเป็นของจริง แต่เป็นของจริงแล้วน่ากลัวตรงไหนเล่า เฉียวเวยหยิบถุงกระสอบใบหนึ่งออกมาแล้วยัดมันไปในถุงกระสอบ
อสรพิษไม่ได้มีเพียงตัวเดียว บนถนนมีอสรพิษเกล็ดดำเลื้อยมาทางรถม้ามากขึ้นทุกที
นับตั้งแต่เริ่มฤดูจำศีลหน้าหนาว เสี่ยวไป๋ก็ไม่ได้พบอสรพิษลูกรักมานานมากแล้ว ครานี้มาทีเดียวมากมายถึงเพียงนี้ มันดีใจจนดีใจมากกว่านี้ไม่ได้แล้วจริงๆ!
เสี่ยวไป๋หยิบถุงกระสอบใบน้อยขึ้นมาใบหนึ่งแล้วกระโจนเข้าไปกลางดงอสรพิษ กรงเล็บซ้ายจับตัวหนึ่ง กรงเล็บขวาจับตัวหนึ่ง จับอสรพิษตัวแล้วตัวเล่าอย่างต่อเนื่อง
ราชาอสรพิษที่เป็นหัวหน้ารู้สึกสังหรณ์ร้าย มันหันหัวมาสำรวจสถานการณ์
มารดามันเถอะ พี่น้องหายไปไหนกันหมด!
เสี่ยวไป๋ลากถุงกระสอบน้อยอันหนักอึ้ง เดินหอบแฮ่กเข้ามาหาราชันอสรพิษ
ราชันอสรพิษตัวสั่นระริก
เสี่ยวไป๋ส่ายหน้า แก่ไปนะ ไม่น่าอร่อยเลย!
เฉียวเวยลงมาจากรถม้า นางอยากจะเข้าไปดูสถานการณ์ด้านในตำหนัก ทว่าเพิ่งก้าวเข้าประตูมาก็ได้กลิ่นเลือดคละคลุ้ง นางมองฝูงอสรพิษที่พลีชีพอย่างกล้าหาญเกลื่อนพื้นแล้วหันไปมองจีหมิงซิวที่กำลังเช็ดกระบี่อยู่ จากนั้นเอ่ยอย่างเสียดายว่า “ท่านสังหารหมดแล้วหรือ”