หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 105-5 ตอบจบ
ตอนที่ 105-5 ตอบจบ
มู่ชิวหยางถูกรัดติดกับหน้าต่าง ลมหายใจถูกขัดขวาง เขาเบิกตาโตอย่างไม่อยากจะเชื่อ ผู้ใด ผู้ใดลอบเล่นงานเขา!
เขาพยายามแกะมือที่กำรอบลำคอของตนเองออก แต่คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายออกแรงเพียงหนเดียว ตัวเขาก็ถูกลากทะลุหน้าต่างออกไปทั้งตัว โครงหน้าต่างแตกกระจุยร่วงเกลื่อนพื้น เขาล้มลงบนเศษหน้าต่าง เลือดหลายหยดสาดกระเซ็นออกมาทันใด
เงาดำอันตรายร่างหนึ่งทาบทับลงมาบนร่างของเขา พากลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งกว่าในห้องเป็นสิบเท่า ร้อยเท่าลอยเข้ามาด้วย มันทำให้เขาสูดลมหายใจเข้าออกได้อย่างยากเย็น
เขาเงยหน้าขึ้นอย่างงุนงง เมื่อมองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายที่ซ่อนอยู่ในเงามืดชัด เขาก็ตกใจกลัวจนผงะคลานถอยไปหลายก้าว
“เจ้า ได้อย่างไรกัน”
“ไม่ใช่ว่าเจ้า…”
“นี่เป็นไปไม่ได้…”
อีกฝ่ายก้าวมาข้างหน้าทีละก้าว แล้วเอื้อมมือออกมากำรอบคอเขาอย่างช้าๆ ยกเขาตัวลอยขึ้นมาอย่างไม่เปลืองแรงแม้แต่น้อย
สีหน้าของเขาหวาดผวายิ่งกว่าเดิม “เจ้า…เหตุใดเจ้ายังมีกำลังภายในอยู่”
อีกฝ่ายไม่ตอบคำ เพียงเบิกดวงตาสีแดงฉานที่มีประกายสีเขียวข้างใน มองสำรวจเขาราวกับเหยื่อตัวหนึ่ง หนังศีรษะของมู่ชิวหยางชาหนึบ “เจ้า…เจ้าคิดจะทำอะไร”
“เหอะ”
เสียงหัวเราะเย็นชาที่แฝงแววเยาะหยันอย่างที่สุดทำให้หัวใจของมู่ชิวหยางจมลงสู่ก้นหุบเหว มู่ชิวหยางดิ้นรนอย่างรุนแรง ทว่ายิ่งดิ้นรน อีกฝ่ายกลับยิ่งบีบแน่น ตอนที่เขาเหลือลมหายใจเฮือกสุดท้ายนั่นเอง อีกฝ่ายก็คว้าตัวเขาขึ้นมาแล้วขย้ำลงมาที่ลำคอ
“อ้ากกก!”
มู่ชิวหยางกรีดร้องโหยหวนอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์
….
บนยอดหลังคา คนทั้งหลายนั่งอยู่รวมกันตลอดทั้งคืน พวกเขานั่งสัปหงกคอตกหงึกๆ เหมือนไก่จิกข้าวสาร เยี่ยนเฟยเจวี๋ยสัปหงกแรงไปหน่อย ทั้งตัวจึงร่วงลงไปด้านล่าง ได้ยินเสียงตึงดังสนั่นหนึ่งหน ทุกคนพลันสะดุ้งตื่นขึ้นมา
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยลูบศีรษะที่ร่วงลงมากระแทกจนเจ็บ แล้วลุกขึ้นยืนอย่างสะลึมสะลือ
ไห่สือซานลืมตาขึ้นแล้วร้องเรียกอย่างตกใจ “เยี่ยนเฟยเจวี๋ย!”
“หืม” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยอ้าปากหาว เงยหน้าขึ้นมองพร้อมกับสีหน้ามึนงง พอเห็นพวกไห่สือซานนั่งอยู่บนยอดหลังคากันหมด เขาก็พลันนึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานเกิดเรื่องอะไรขึ้น เขาตกใจกระโดดโหยงเหยง “เฮ้ยๆ! ข้าลงมาข้างล่างได้อย่างไรกัน รีบดึงข้าขึ้นไปเร็ว!”
“ดึงอะไรอีกเล่า” ไห่สือซานกลอกตาใส่เขา
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก้มหน้าลงมอง “เอ๋ น้ำลดไปแล้วหรือ”
ราชันอสูรอุ้มอวิ๋นจูกระโดดลงมา สามคนที่เหลือก็ลื่นไถลตามเชือกลงมาบ้าง ในที่สุดน้ำก็ลดแล้ว หนึ่งคืนที่ผ่านมาไม่รู้เลยว่าผ่านมาได้อย่างไร ความจริงในพระราชวังใต้ดินไม่มีแสงตะวัน อีกทั้งยังไม่เห็นนาฬิกาทรายตั้งไว้ พวกเขายากจะคำนวณเวลาว่าผ่านไปกี่ชั่วยามแล้วกันแน่ เพียงแต่กะประมาณดูเวลาน่าจะผ่านไปหนึ่งคืนแล้ว
เฉียวเจิงจับชีพจรให้อวิ๋นจู แม้เมื่อคืนวานจะได้แช่น้ำอยู่เพียงหนึ่งชั่วยาม แต่สภาพร่างกายของนางก็ดีขึ้นมากแล้ว หากแช่อีกหนึ่งวันครึ่ง น่าจะฟื้นสติกลับมาได้
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยมองน้ำพุใสกระจ่างแล้วถามอย่างหวาดๆ “ในนี้คงไม่มีปลากินคนสองสามตัวลอยกลับมาอีกใช่หรือไม่”
ไห่สือซานหยอกล้อ “ไม่อย่างนั้นเจ้าลองลงไปดูดีหรือไม่”
“ข้าไม่เอาด้วยหรอก!” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเพิ่งจะเอ่ยจบ รชันอสูรก็ยกเท้าถีบเขาลงไปในน้ำ!
เยี่ยนเฟยเจวี๋ย “…”
ก็แค่เรียกท่านว่าผู้อาวุโสคำเดียวไม่ใช่หรือ ต้องแค้นถึงเพียงนี้เชียวหรือ
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยปีนขึ้นมาบนฝั่งอย่างคับแค้น จากนั้นเฉียวเจิงก็ให้ราชันอสูรอุ้มอวิ๋นจูลงไปในน้ำ
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกังวลว่าราชันอสูรจะอารมณ์ไม่ดีวิ่งมาทรมานเขาอีก จึงตัดสินใจหลบไปอยู่ไกลๆ นั่งอยู่บนก้อนหินน้อยริมถนนของพระราชวังพลางบิดน้ำออกจากเสื้อผ้าของตนเองเงียบๆ
ทันใดนั้นเอง มือเรียวข้างหนึ่งก็ยื่นมือมาแตะหัวไหล่เขาเบาๆ เยี่ยนเฟยเจวี๋ยสะบัดหัวไหล่ “ไห่สือซาน อย่ากวนน่า!”
มือที่ถูกสะบัดทิ้งวางลงมาใหม่อีกหน
“ข้าบอกเจ้าแล้วนะว่าอย่ากวน!” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยจับมือที่มากลั่นแกล้งกันข้างนั้นเอาไว้ พอสัมผัสถูกก็รู้สึกแปลกพิกล ทำไมเหนียวๆ เขามองปลายนิ้วของตนเอง แล้วจึงเห็นเลือดเหนียวหนืดที่เปื้อนเต็มอยู่บนนั้น คิ้วกระเด้งขึ้นไปบนหน้าผาก เขาทะลึ่งตัวลุกขึ้นหันกลับไปมองอีกฝ่ายด้วยแววตาหวาดผวา
การหันไปมองหนนี้ทำให้เขานิ่งอึ้งไปทั้งตัว
“อวิ๋นซู่หรือ”
เขาไม่เคยเห็นอวิ๋นซู่ในสภาพนี้มาก่อน โลหิตชุ่มโชกทั่วร่าง สองตาแดงก่ำ ลึกลงไปในดวงตามีประกายสีเขียวกระหายเลือด
นี่คือมารโลหิตร่างสมบูรณ์แล้ว
แต่เป็นไปได้อย่างไรกัน
เขาเอาน้ำพุเทพไปไม่ได้ไม่ใช่หรือ
หรือว่า….
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยคิดอะไรขึ้นมาได้ เขาหันขวับไปมองน้ำพุที่ทอประกายวิบวับไหวเป็นระลอก เมื่อคืนวานที่แห่งนี้ถูกน้ำพุเทพท่วม อวิ๋นซู่ก็คง…ได้น้ำพุเทพไปแล้ว
ความคิดนี้ทำให้หัวใจของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยขึ้นมาจุกอยู่ที่คอ ทว่าไม่นานเขาก็สงบลงได้
กลายเป็นมารโลหิตแล้วอย่างไร กำลังภายในถูกสะกดไว้ ผู้ใดต้องกลัวผู้ใดด้วยหรือ
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก้าวเท้ากลับไปอยู่ข้างไห่สือซานกับสือชี เยี่ยนเฟยเจวี๋ยขยับตัวชนแขนของไห่สือซานแล้วบอกว่า “อวิ๋นซู่”
ไห่สือซานฝืนทำสงบนิ่งแล้วบอกว่า “ข้ารู้แล้ว ไม่ต้องกลัว กำลังภายในของเขาถูกสะกดไว้เหมือนกัน พวกเราคนมากกว่า ต้องสู้ชนะ…”
สือชีพุ่งออกไปก่อนแล้ว ทว่าเขากลับถูกอวิ๋นซู่ตบฝ่ามือเดียวปลิวตัวลอย
ไห่สือซานกลืนน้ำลาย “เขา…”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยยิ้มที่ปากแต่ไปไม่ถึงตาแล้วพูดขึ้นมาว่า “เวลานี้สมควรให้ราชันอสูรออกโรงแล้วหรือไม่ ท่านราชันอสูร ท่านราชันอสูร ท่านราชันอสูร!”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตะโกนเรียกอยู่หลายหนก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ เมื่อหันกลับมาก็เห็นราชันอสูรอุ้มอวิ๋นจูขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ ก่อนจะพาอวิ๋นจูวิ่งปร๋อหนีไปแล้ว…
เฉียวเจิงก็ตามหลังทั้งสองคนไปด้วย เขาวิ่งหนีไปอย่างไม่มีคุณธรรมน้ำมิตรสักนิดเดียว!
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยลากตัวไห่สือซาน “ยืนนิ่งทำอะไรเล่า หนีสิ!”
ทั้งสองคนชักเท้าได้ก็วิ่ง!
อวิ๋นซู่หันไปมองทางที่ทุกคนวิ่งหนีไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์จากนั้นจึงยกฝ่ามือขึ้นช้าๆ
ทุกคนพลันรู้สึกว่ามีแรงดูดมหาศาลสายหนึ่งก่อตัวขึ้นเบื้องหลังอย่างฉับพลัน จู่ๆ ร่างกายก็เบาโหวงแล้วลอยเข้าไปหาอวิ๋นซู่อย่างรวดเร็ว!
….
ฝั่งจีหมิงซิวกับเฉียวเวยหลังจากได้อสรพิษมากองหนึ่ง พวกเขาก็ค้นตำหนักซวงอวิ๋นต่ออีกรอบ ด้านในตำหนักซวงอวิ๋นนอกจากพบอาวุธนิดหน่อย ก็ไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันอีก
เฉียวเวยเอ่ยว่า “พระราชวังใต้ดินใหญ่โตเช่นนี้ อีกทั้งพื้นที่ยังสับเปลี่ยนตำแหน่งอยู่เป็นระยะ พวกเราต้องค้นหากี่วันจึงจะตามหาพวกท่านแม่พบกัน”
บ่นจบ เฉียวเวยก็สูดจมูก “หมิงซิว ท่านเลือดไหลหรือ”
จีหมิงซิวส่ายหน้า “ข้าเปล่า มีอะไรหรือ”
เฉียวเวยดมกลิ่นอีกครั้ง “กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งมาก”
จีหมิงซิวเอ่ยว่า “ข้าสังหารอสรพิษไปมาก”
เฉียวเวยขมวดคิ้ว “ไม่ใช่อสรพิษ แต่เป็น…ข้าบอกไม่ถูก สรุปก็คือ…”
จีหมิงซิวครุ่นคิด ทันใดนั้นดวงตาก็ทอประกายวูบหนึ่ง “หรือจะเป็นมารโลหิต”
เฉียวเวยกะพริบตาปริบหนึ่ง “มารโลหิต ท่านหมายถึง…อวิ๋นซู่หรือ”
จีหมิงซิวหันมามองเฉียวเวย “ในร่างของเจ้ามีเม็ดโลหิตของมารโลหิตอยู่ เจ้าจึงสัมผัสการมีอยู่ของมารโลหิตได้ แต่หากเจ้าสัมผัสมันได้ นั่นย่อมหมายความว่าอวิ๋นซู่กลายเป็นมารโลหิตที่แท้จริงแล้ว”
วิธีเดียวที่เขาจะไปถึงจุดนั้นได้ก็คือการได้น้ำพุเทพ
พวกท่านยายตกอยู่ในอันตรายแล้ว
จีหมิงซิวแววตาวูบไหว “รีบขึ้นรถเร็ว!”
เฉียวเวยขึ้นไปนั่งบนรถม้า
จีหมิงซิวถามว่า “ทางไหน”
เฉียวเวยสูดจมูกดมแล้วยกมือชี้ “ทางนั้น!”
จีหมิงซิวเร่งความเร็วรถม้าจนถึงขีดสุด พวกเขาแล่นรถผ่านถนนยาวสองเส้น ผ่านสวนดอกไม้น้อยอีกหนึ่งแห่ง หลังจากนั้นตัวเขาเองก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นคาวเลือดชวนให้คนอาเจียนนั่นเหมือนกัน
รถม้าแล่นไปบนถนนของพระราชวังใต้ดินด้วยความเร็วประหนึ่งโบยบิน พวกเขาทิ้งตำหนักหลังแล้วหลังเล่าไว้ด้านหลัง กลิ่นคาวเลือดฟุ้งตลบอบอวลลอยมาปะทะใบหน้าจนอากาศที่หนาวและแห้งเริ่มชื้นแฉะ
จีหมิงซิวกำสายบังเหียนแน่น เขาเลี้ยวรถไปเลี้ยวรถมาอยู่หลายหน หลังจากเดินทางมาได้หนึ่งเค่อ เบื้องหน้าก็ปรากฏแสงโคมสว่างจุดหนึ่ง ใต้แสงโคมคือตำหนักสีทองอร่าม
ตลอดทางที่ผ่านมาพวกเขาเห็นตำหนักมาไม่น้อย ทว่าไม่มีตำหนักหลังใดเทียบเคียงกับหลังที่อยู่ตรงหน้านี้ได้ มันราวกับสร้างมาจากทองคำบริสุทธิ์ พื้นปูด้วยอิฐทองคำหนา สองฝั่งปลูกผลไม้ที่มี ‘ผลห้อยระย้าเต็มต้น’ สิบกว่าต้น ผลไม้แต่ละผลความจริงแล้วเป็นอัญมณีชั้นยอดหนึ่งเม็ด
ตัวตำหนักตั้งอยู่บนดอกบัวทองยักษ์ที่แย้มกลีบบานดอกหนึ่ง กลีบของดอกบัวทองงดงามวิจิตร หากมิใช่ว่าเห็นกับตาตนเอง คงไม่มีผู้ใดเชื่อว่าบนโลกนี้จะมีสิ่งที่งดงามวิจิตรดั่งสวรรค์สรรค์สร้างเช่นนี้
เฉียวเวยกลืนน้ำลาย “นี่มันทองคำเท่าไรกันเนี่ย…เด็ดออกมาสักกลีบคงซื้อเมืองได้แห่งหนึ่ง”
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ เฉียเวยจึงพบว่าตำหนักทองคำที่งามวิลาศ มีประตูใหญ่ฝังอยู่ในปากของมังกรยักษ์ตัวหนึ่ง ไม่ต้องถาม หัวมังกรก็ทำมาจากทองคำเช่นเดียวกัน ประตูที่โอ่อ่าน่าครั่นคร้ามเช่นนี้ ชั่วชีวิตสองชาติของเฉียวเวย นางล้วนไม่เคยจินตนาการถึง
มังกรยักษ์ที่น่าเกรงขามอ้าปากสีแดงสดอันใหญ่โต รถม้าแล่นผ่านประตูใหญ่ เฉียวเวยรู้สึกว่าตนเองไม่ได้เข้ามาในประตูบานหนึ่ง แต่เข้ามาในท้องของสัตว์ร้ายสักตัว
ความรู้สึกเช่นนี้พิลึกอยู่บ้าง
ด้านนอกของตำหนักงดงามวิจิตร ส่วนด้านในมีแต่งดงามหรูหรายิ่งกว่า แต่น่าเสียดายที่ยามนี้ไม่มีเวลาชื่นชมอารยธรรม เฉียวเวยได้ยินเสียงด้านในแล้ว เสียงของเยี่ยนเฟยเจวี๋ย ไห่สือซานกับเฉียวเจิง
จีหมิงซิวจอดรถม้าตรงลานโล่งนอกตำหนักหลังหลักแล้วจึงกระโดดลงจากรถม้า มือถือกระบี่โหราจารย์สาวเท้าเข้าไปในตำหนักหลัก เฉียวเวยให้เจ้าตัวจ้อยทั้งสามเฝ้าเด็กๆ ไว้ให้ดี จากนั้นจึงเดินเข้าตำหนักหลักตามไปติดๆ
อวิ๋นซู่ยืนอยู่กลางโถงตำหนัก โถงตำหนักว่างโล่งเป็นสีทองอร่ามเรืองรอง เสามังกรขดแปดต้นค้ำคานตำหนักเอาไว้ บนเสาสี่ต้นเบื้องหน้ามีคนถูกมัดด้วยโซ่เหล็กอยู่ต้นละหนึ่งคน มีเยี่ยนเฟยเจวี๋ย ไห่สือซาน เฉียวเจิง คนสุดท้ายก็คือ…มู่ชิวหยาง
มู่ชิวหยางบาดเจ็บไม่เบา เขาหมดสติแน่นิ่งไปนานแล้ว สามคนที่เหลือยังพูดจาได้อยู่ ทั้งสามคนเห็นจีหมิงซิวกับเฉียวเวยแล้ว
“นายน้อย!”
“นายน้อย!”
“ลูกสาว!”
เฉียวเวยมองทั้งสามคน “ท่านพ่อ! ลุงเยี่ยน ลุงไห่!”
หลังจากนั้นสายตาของเฉียวเวยก็เลื่อนไปจับบนใบหน้าที่มีเลือดเปื้อนเป็นดวงๆ ของอวิ๋นซู่ แม้ใบหน้านี้จะมองออกยากอยู่บ้าง แต่บรรยากาศรอบตัวเช่นนั้นก็ทำให้เฉียวเวยมองออกว่าเขาเป็นใครอยู่ดี “เจ้าเองหรือ”
“เจ้าเคยพบเขาหรือ” จีหมิงซิวหันมามองเฉียวเวย
เฉียวเวยพองขนตอบว่า “เขาก็คือองครักษ์เกราะทมิฬคนนั้น!”
อวิ๋นซู่หัวเราะ “ถูกต้องแล้ว ข้าเอง แต่เดิมข้าคิดจะสูบปราณโลหิตของเจ้า แต่คิดไม่ถึงว่ากลับถูกเจ้าสูบไปค่อนครึ่ง แต่ไม่เป็นอะไร อีกประเดี๋ยวเจ้าก็จะได้ค่อยๆ คืนข้ามาแล้ว”
เฉียวเวยกอดแขนอย่างระแวดระวัง