หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 105-6 ตอบจบ
ตอนที่ 105-6 ตอบจบ
จีหมิงซิวก้าวมาข้างหน้าบังเฉียวเวยไว้หลังร่างของตนเอง
อวิ๋นซู่หัวเราะเบาๆ “ท่านโหราจารย์ พวกเราพบหน้ากันอีกแล้ว”
จีหมิงซิวมองเขาอย่างเย็นชา “ช้าเร็วย่อมต้องพบกัน ระหว่างเจ้ากับข้า มีหนี้แค้นใหญ่หลวงต้องชำระความ”
อวิ๋นซู่ยิ้ม “ก็ดี วันนี้ชำระความกันให้หมดสิ้น มีคำสั่งเสียใดก็รีบพูดมาเถิด อีกประเดี๋ยวแม้แต่พูดเจ้าก็คงไม่มีโอกาสแล้ว”
จีหมิงซิวตอบกลับด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “ประโยคนี้ข้าสมควรพูดถึงจะถูก เจ้าอย่าคิดว่าตนเองกลายเป็นมารโลหิตแล้วจะทำทุกสิ่งได้ดังใจ”
“ไม่ได้หรือ” อวิ๋นซู่ยกมุมปากเป็นรอยยิ้มเย็นชา เขายกฝ่ามือขวาขึ้นซัดฝ่ามือหนึ่งไปด้านข้าง
โครม! เสียงกัมปนาทดังขึ้นหนึ่งหน โต๊ะทองคำตัวหนึ่งสลายเป็นฝุ่นผง
สายตาของจีหมิงซิวเคร่งเครียด เฉียวเวยเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่อยากเชื่อ “ไม่ใช่ว่าทุกคนไร้กำลังภายในหรือ เหตุไฉนจึงเป็นเช่นนี้ได้”
จีหมิงซิวตอบว่า “กำลังภายในถูกสะกดไว้เพราะในพระราชวังใต้ดินมีค่ายกลพันธนาการอยู่ ทว่าเขาหลุดพ้นจากพันธนาการนี้ได้แล้ว”
อวิ๋นซู่กางสองแขนออกอย่างหยิ่งยโส “พระราชวังใต้ดินแห่งนี้เป็นสิ่งที่บรรพบุรุษตระกูลมู่ของข้าสร้างมา ข้าคือสายเลือดมังกรที่แท้จริงแห่งเยี่ยหลัวย่อมทลายพันธนาการได้อย่างง่ายดาย ยามนี้ทิ้งคำสั่งเสียไว้ได้แล้วกระมัง ท่านโหราจารย์”
เฉียวเวยก้าวออกมาจากด้านหลังของจีหมิงซิวช้าๆ “อวิ๋นซู่ เจ้าอย่าได้พูดจามั่นใจเกินไปนัก ระวังไว้เถิดอวดอ้างใหญ่โตจะพลาดล้มไม่เป็นท่า เจ้าทำลายพันธนาการได้แล้วสุดยอดนักหรือ ไม่ใช่ว่ากระบี่โหราจารย์ยังทำลายร่างมารโลหิตของเจ้าได้อย่างง่ายดายอยู่หรือไร”
อวิ๋นซู่ขบขัน “ใช่หรือไม่นะ”
“ไม่ใช่หรือ” เฉียวเวยถามจบก็เลิกคิ้ว หันขวับไปมองจีหมิงซิว “เป็นเช่นนั้นจริงหรือ”
จีหมิงซิวกำกระบี่โหราจารย์ในมือแน่น “เจ้าออกไปรอข้าข้างนอก”
“วันนี้ผู้ใดก็อย่าคิดจะออกไปจากห้องโถงแห่งนี้!” อวิ๋นซู่สะบัดแขนเสื้อ สายลมแรงสายหนึ่งพุ่งผ่านอากาศไปปิดประตูของตำหนักใหญ่
เด็กๆ ยังอยู่ข้างนอก!
เฉียวเวยกำหมัดแน่น “อวิ๋นซู่ เจ้าไม่ยอมให้ข้าไป เจ้าอย่าเสียใจทีหลังก็แล้วกัน!”
อวิ๋นซู่รีดเค้นกำลังภายในแล้วซัดโซ่เหล็กเส้นหนึ่งออกมา ขณะที่โซ่เหล็กกำลังจะรัดตัวเฉียวเวยจากไป จีหมิงซิวก็ชักกระบี่โหราจารย์ออกมาฟันโซ่เหล็กอย่างรุนแรง แม้โซ่เหล็กจะถูกปัดออกไปได้อย่างหวุดหวิด แต่แขนครึ่งหนึ่งของจีหมิงซิวก็ชาหนึบ
เฉียวเวยมองแขนที่สั่นเบาๆ ของจีหมิงซิว แววตาพลันวูบไหว “หมิงซิว…”
จีหมิงซิวส่งฝักกระบี่ให้นาง จากนั้นกำชับเสียงเบาว่า “ข้าไม่เป็นอะไร เจ้ารอข้าอยู่ตรงนั้น”
เฉียวเวยกำนิ้วมือ นางมองคนสามคนที่ถูกมัดอยู่บนเสา แล้วกอดฝักกระบี่ถอยออกไปอยู่ด้านข้างของห้องโถงใหญ่อย่างเงียบๆ
จีหมิงซิวจ้องอวิ๋นซู่อย่างไม่หวั่นเกรงแม้แต่น้อย
อวิ๋นซู่เอ่ยอย่างดูแคลน “กระบี่โหราจารย์ใช้การไม่ได้แล้ว กำลังภายในของเจ้าก็ไม่มีแล้วเช่นกัน เจ้าไม่มีโอกาสชนะแล้ว จีหมิงซิว”
จีหมิงซิวตอบเสียงเย็นชา “เจ้าเอาแต่พูดย่อมไร้ความหมาย ต้องสู้ดูจึงจะรู้”
อวิ๋นซู่ยิ้ม “เจ้ารู้จักดูสถานการณ์หน่อยเถิด คุกเข่าคำนับขอเป็นลูกน้องข้าเสีย บางทีข้าอาจพิจารณาแต่งตั้งเจ้าเป็นผู้พิทักษ์คนหนึ่ง”
จีหมิงซิวไม่เอ่ยตอบเขา แต่ถามด้วยสีหน้าเย็นชาเคร่งขรึมว่า “การตายของมารดาข้า เป็นฝีมือเจ้าใช่หรือไม่”
“ใช่แล้วข้าเอง” อวิ๋นซู่ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง
จีหมิงซิวรู้อยู่แล้วแต่ก็ยังแสร้งถาม “เหตุใดต้องใช้ฝ่ามือเก้าสุริยัน”
อวิ๋นซู่ยังคงยิ้มไม่เปลี่ยนแปร “เรื่องนี้ต้องถามเหยาจี ข้าเพียงให้นางคิดหาวิธีกำจัดเจาหมิง ไม่เคยสนใจว่านางจะกำจัดเจาหมิงอย่างไร”
ในดวงตาของจีหมิงซิวมีจิตสังหารแรงกล้าฉายวาบขึ้นมา
จู่ๆ อวิ๋นซู่ก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ไม่ถามหรือว่าข้าสังหารนางทำไม”
“ไม่จำเป็น” จีหมิงซิวตอบ
อวิ๋นซู่วางมือสองข้างไพล่หลัง แล้วก้าวมาข้างหน้าสองสามก้าวอย่างสบายอารมณ์ “ข้าจะบอกเจ้าให้ก็แล้วกัน ความจริงข้า…ไม่เคยชมชอบมารดาของเจ้า ข้าอยากได้นางมาครอบครอง ก็เพราะสายเลือดราชันไสยเวทของนางเท่านั้น เจ้าดูเหมือนจะไม่แปลกใจสักนิดเลยนะ”
จีหมิงซิวเอ่ยเน้นทีละคำ “เรื่องเกี่ยวกับเจ้า ไม่มีสิ่งใดให้แปลกใจแล้ว”
อวิ๋นซู่ยิ้ม
จีหมิงซิวเอ่ยต่อว่า “ตระกูลกู่เล่า เจ้าเป็นคนทำลายตระกูลของพวกเขาด้วยใช่หรือไม่”
“ใช่” อวิ๋นซู่ยอมรับ
“เพราะเหตุใด” จีหมิงซิวถาม
อวิ๋นซู่ยิ้มอย่างไม่แยแส “ข้านึกสนุก”
จีหมิงซิวเชื่อก็แปลกแล้ว “เจ้าสงสัยว่าตระกูลกู่ซ่อนความลับเกี่ยวกับพระราชวังใต้ดินเอาไว้ใช่หรือไม่”
อวิ๋นซู่มองจีหมิงซิวอย่างมีเลศนัย เห็นชัดว่าคิดไม่ถึงว่าเขาจะเดาได้ถึงขั้นนี้ ในเมื่อเดาได้แล้ว เขาก็คร้านจะเก็บซ่อนปิดบังอีกต่อไป เขาเอ่ยว่า “ไม่ใช่สงสัย แต่แน่ใจ มารดาของเจ้านำของดีๆ ออกมาจากเขตต้องห้ามของตระกูลจีไม่น้อย ทุกสิ่งซ่อนอยู่ในตระกูลกู่”
จีหมิงซิวเอ่ยเสียงเย็นชา “เจ้าให้มารดาของฟู่เสวี่ยเยียนลอบเข้าไปในตระกูลกู่ ก็เพราะต้องการสิ่งของเหล่านั้นสินะ”
อวิ๋นซู่หยิบบันทึกเล่มหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ ในบันทึกสอดแผนที่หลายแผ่นเอาไว้ “ถูกต้องแล้ว หากไม่ใช่เพราะสิ่งเหล่านี้ คืนนี้ข้าจะท่องไปในพระราชวังใต้ดินอย่างง่ายดายได้เช่นไร”
จีหมิงซิวมองเขานิ่งๆ “ของได้มาอยู่ในมือแล้ว ยังจะคร่าชีวิตคนอีก อวิ๋นซู่ เจ้ามันไม่ใช่มนุษย์”
อวิ๋นซู่หัวเราะอย่างโอหัง “ข้าไม่ใช่มนุษย์จริงๆ ข้าคือมารโลหิต!”
“อีกเดี๋ยวก็ไม่ใช่แล้ว”
จีหมิงซิวกล่าวจบก็ไม่สิ้นเปลืองคำพูดกับอีกฝ่ายต่อ เขาถือกระบี่โหราจารย์แทงเข้าใส่อีกฝ่าย ทว่าอวิ๋นซู่จับข้อมือของเขาไว้ได้อย่างง่ายดาย “คนพิการคนหนึ่ง มีท่อนเหล็กไร้ประโยชน์เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งท่อน ก็กล้าจะมาสังหารเจ้าลัทธิคนนี้แล้วหรือ ไม่ประมาณตน!”
กล่าวจบอวิ๋นซู่ก็สะบัดแขนข้างหนึ่งซัดกำลังภายในอันกล้าแข็งสายหนึ่งออกมา จีหมิงซิวถูกซัดกระแทกอย่างรุนแรง เขาปลิวลอยไปชนกับเสาต้นหนึ่งแล้วร่วงลงไปกระแทกพื้น
เฉียวเวยหัวใจสั่นไหว หมิงซิว!
จีหมิงซิวใช้กระบี่ค้ำยันร่างลุกขึ้นมายืนอย่างช้าๆ ทว่าไม่ทันรอให้เขายืนมั่นคง ปราณฝ่ามืออีกสายหนึ่งของอวิ๋นซู่ก็พุ่งเข้ามาดุจอสนีบาต
คนที่ไม่มีกำลังภายในคนหนึ่ง เมื่ออยู่ต่อหน้ามารโลหิตที่อยู่ในสภาพพสมบูรณ์ที่สุดย่อมอ่อนแอจนต้านไม่ไหวแม้แต่การโจมตีเดียว ฉับพลันที่ปราณฝ่ามือของอวิ๋นซู่ฟาดเข้าใส่ กำลังภายในดุจห้วงทะเลสาบก็กดทับจีหมิงซิวจนเลือดลมปั่นป่วน เหงื่อเม็ดโตผุดพรายขึ้นมาบนหน้าผาก
อวิ๋นซู่มองจีหมิงซิวเหมือนมองมดปลวกตัวหนึ่ง “โหราจารย์ที่ว่ากัน ก็มีดีแค่นี้เองสินะ”
เฉียวเวยกระทืบเท้า “เจ้าเล่นโกงนี่! เก่งนักเจ้าก็อย่าใช้กำลังภายในสิ!”
อวิ๋นซู่เอ่ยอย่างได้ใจ “สวรรค์ช่วยข้า ไยต้องขัดเจตนาสวรรค์เล่า”
เจ้าสารเลว!
อวิ๋นซู่เพิ่มกำลังภายใน เขาต้องการจะกดให้จีหมิงซิวก้มหัว คุกเข่าเหมือนทาส ทว่าจีหมิงซิวถูกกดจนพื้นใต้เท้ายุบจมลงไป แต่ลำตัวของเขาไม่ก้มโค้งสักนิด ดวงตาของเขาไม่มีทีท่าจะยอมแพ้แม้แต่น้อย
อวิ๋นซู่แค่นเสียงหยัน “ดื้อด้านจริงนะ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เส้นลมปราณทั้งร่างของเจ้าคงขาดสะบั้น กระดูกป่นแหลกไม่เหลือดี”
“เช่นนั้นหรือ” จีหมิงซิวเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก แล้วยกแขนที่ราวกับหนักพันชั่งขึ้นมาอย่างสั่นระริก เพียงแค่เคลื่อนไหวเล็กน้อยเช่นนี้ เรี่ยวแรงทั้งร่างก็แทบจะถูกสูบออกไปหมดสิ้น
อวิ๋นซู่หรี่ตาลง “ยังขยับได้หรือ”
ร่างบึกบึนของอวิ๋นซู่ขยับวูบหนึ่ง เพิ่มกำลังภายในมากขึ้นอีก เขาไม่ใช่พวกชนชั้นสูงที่ชอบเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ไปทั่วสักหน่อย เขาสังหารแต่คนที่ไม่เชื่อฟังเท่านั้น ความจริงขอเพียงจีหมิงซิวยอมสวามิภักดิ์อยู่แทบเท้าเขา ไม่ว่าอย่างไรเขาย่อมเหลือทางรอดให้จีหมิงซิว
ทว่าจีหมิงซิวไม่รู้จักดูสถานการณ์เอง ถ้าเช่นนั้นย่อมโทษเขาไม่ได้แล้ว
กำลังภายในกดลงไปที่ตัวจีหมิงซิวไม่ขาดสาย กลิ่นอายของความตายแผ่ขยายในห้องโถงทีละนิด ทุกคนมองจีหมิงซิว เห็นโลหิตไหลออกมาจากมุมปากของเขาเป็นอย่างแรก ต่อมาก็ตามด้วยจมูก หลังจากนั้นดวงตาและหูก็มีโลหิตไหลออกมาด้วย
ไห่สือซานตะโกนเสียงดัง “นายน้อยท่านไม่ต้องสนใจพวกเรา ท่านรีบหนีไปเร็ว!”
หนีไม่ได้แล้ว กำลังภายในของมารโลหิตดุจขุนเขาลูกใหญ่กำลังกดทับเหนือศีรษะของจีหมิงซิวอยู่
แต่หากอวิ๋นซู่คิดว่าทำเช่นนี้แล้วจะสังหารรจีหมิงซิวได้ ถ้าเช่นนั้นก็คิดผิดมหันต์แล้ว
ในตอนที่อวิ๋นซู่คิดว่าตนเองกำลังจะสังหารลูกหมาป่าน้อยตัวหนึ่งนั่นเอง ลูกหมาป่าน้อยตัวนี้จู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาคมกริบประหนึ่งกระบี่วิเศษที่ถูกชักออกจากฝักจับจ้องอวิ๋นซู่อย่างเย็นชาจนอวิ๋นซู่ตัวสั่นเทา
อวิ๋นซู่คิดว่าตนเองตาลาย ทว่าชั่วอึดใจต่อมาจีหมิงซิวกลับก้าวเท้าอันหนักอึ้งเดินเข้ามาหาเขาทีละก้าวๆ ดวงตาของอวิ๋นซู่ฉายแววตกตะลึงจางๆ ไม่นานสองแขนก็สะบัดส่งกำลังภายในที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเก่ากดทับลงไปหาจีหมิงซิวอีกครั้ง ทว่ากำลังภายในสายนี้เหมือนไม่ได้กดทับลงมาบนร่างเขาสักนิด เขาเดินเข้ามาพร้อมกับสองตาวาวโรจน์ดุจคบเพลิง
ไม่ว่าอวิ๋นซู่จะส่งกำลังภายในออกไปเท่าไร ก็ราวกับศิลาจมลงในมหาสมุทร เขามองจีหมิงซิวอย่างไม่อยากจะเชื่อ แล้วจึงพบว่าบรรยากาศรอบตัวจีหมิงซิวเปลี่ยนไปอย่างน่าตกใจ นี่เขา…ทลายพันธนาการได้แล้วหรือ เป็นไปได้อย่างไรกัน!
ต่อให้กำลังภายในฟื้นกลับมาจริงก็ไม่น่าจะแข็งแกร่งเช่นนี้สิ
จะต้องมีอะไรแน่!
อวิ๋นซู่ถามอย่างฉงน “จีหมิงซิว เจ้าทำอะไรลงไป”
จีหมิงซิวตอบกลับมาเรียบๆ “ข้าไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น”
อวิ๋นซู่ขมวดคิ้ว “ถ้าเช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงได้…”
จีหมิงซิวเอ่ยขัดเขา “ข้าก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ตั้งแต่เล็กยามผู้อื่นต่อยตีข้า พวกเขาล้วนบาดเจ็บหนักกว่าข้า”
อวิ๋นซู่นึกถึงเรื่องที่ในร่างของอีกฝ่ายมีกำลังภายในของผู้อาวุโสตระกูลจีหลายคนปิดผนึกเอาไว้ ทว่ากำลังภายในของยอดฝีมือจงหยวนกระจอกๆ ไม่กี่คนจะต้านการโจมตีของมารโลหิตได้อย่างไร
ชั่วสะเก็ดไฟแลบ อวิ๋นซู่ก็เหมือนจะเดาบางสิ่งได้เลือนราง สิ่งที่ผู้อาวุโสเหล่านั้นใช้กำลังภายในทั้งหมดสะกดไว้ไม่ได้มีแต่พิษฝ่ามือในร่างจีหมิงซิว แต่ยังมีพลังของโหราจารย์ที่เกิดมาก็แข็งแกร่งจนน่ากลัวนั่นด้วย
สิ่งที่ทำร้ายผู้อื่นทุกครั้งไม่ใช่กำลังภายในของผู้อาวุโส แต่เป็นพลังของโหราจารย์
เดิมทีพลังของโหราจารย์หลับใหลอยู่ดีๆ แต่มันกลับถูกพลังมารโลหิตของอวิ๋นซู่บังคับปลุกให้ตื่น
อวิ๋นซู่ไม่..ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีจริงๆ!
กระบี่โหราจารย์เหมือนจะสัมผัสได้ถึงลมปราณอันแข็งแกร่งที่มันคุ้นเคย มันส่งเสียงฮัมอย่างตื่นเต้นยินดี กลิ่นคาวเลือดข้นคลั่กในอากาศถูกลมปราณสะอาดสดชื่นดุจสายลมพัดเกล็ดหิมะสายหนึ่งกวาดออกไปจนเกลี้ยง
อวิ๋นซู่ถอยหลังไปสองก้าวอย่างไม่รู้ตัว
จีหมิงซิวถือกระบี่โหราจารย์ไว้แน่น เขาฟันปราณกระบี่สายหนึ่งออกมาอย่างรุนแรง อวิ๋นซู่ซัดฝ่ามือลมปราณออกมา แต่ไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย ปราณกระบี่ฟันทะลุมาดุจผ่าปล้องไผ่ก่อนจะตัดผ่านร่างกายของเขา
หน้าอกของอวิ๋นซู่ทะลุเป็นรูขนาดใหญ่ โลหิตกองโตทะลักออกมา เขาพยายามรักษาบาดแผลทว่าเนื้อหนังตรงบาดแผลกลับไหม้เกรียมเป็นสีดำด้วยความเร็วที่ยากจะจินตนาการ
อวิ๋นซู่มองบาดแผลของตนเองอย่างหวาดผวา
“กระบี่นั้น สำหรับท่านยาย” จีหมิงซิวฟันออกมาอีกหนึ่งกระบี่
“กระบี่นี้ สำหรับมารดาของข้า” บนร่างของอวิ๋นซู่มีรูเลือดเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งรู
“กระบี่ต่อจากนี้ สำหรับคนตระกูลกู่เกือบร้อยชีวิต” อวิ๋นซู่ถูกตัดแขนไปข้างหนึ่ง
โลหิตทะลักออกมานองพื้น กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งฟุ้งตลบอบอวลอีกหน ทว่าไม่ใช่กลิ่นของมารโลหิตแล้ว อวิ๋นซู่คำรามสีหน้าบิดเบี้ยว เขาไม่ใช่คู่ต่อกรของจีหมิงซิวแล้ว จึงเปลี่ยนใจไปโจมตีคนที่เหลือ เขาคว้ามือไปที่เสาด้านหลัง ทว่าเขากลับคว้าได้แต่โซ่เหล็กว่างเปล่าเส้นหนึ่ง
เขาเงยหน้าดูก็พบว่าคนบนเสาหายไปแล้ว!