หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 105-7 ตอบจบ
ตอนที่ 105-7 ตอบจบ
นอกจากมู่ชิวหยาง สามคนที่เหลือล้วน…ล้วนถูกเฉียวเวยช่วยไปแล้ว
มิน่าจีหมิงซิวจึงพร่ำพูดกับเขาอยู่เนิ่นนาน เขาไม่ได้คิดจะค้นหาความจริงสมัยอดีตสักนิด เขาเพียงแต่จะถ่วงเวลาเท่านั้นเอง!
เฉียวเวยบังทั้งสามไว้ด้านหลัง “คนแซ่มู่ ข้าขอเตือนเจ้า อย่าได้เข้ามา! ระวังข้าจะสูบเจ้าจนแห้งหมดตัว!”
“อย่างเจ้าน่ะหรือ” อวิ๋นซู่กัดฟันฉีกยิ้มแล้วใช้วิชาตัวเบาเหินไปหาเฉียวเวย เขากางกรงเล็บคว้าไปที่ลำคอของเฉียวเวยอย่างแรง ทว่าในตอนที่มือของเขาทาบทับบนลำคอของเฉียวเวยนั่นเอง จู่ๆ เขาก็ขยับไม่ได้
เฉียวเวยบุ้ยปาก ส่งสายตาให้เขา
เขาก้มหน้ามองตามลงไปก็เห็นปลายกระบี่เย็นเฉียบท่อนหนึ่งโผล่ออกมาจากหน้าอกของตนเอง
เฉียวเวยยื่นนิ้วขาวผ่องเหมือนต้นหอมนิ้วหนึ่งออกมาแตะหน้าผากเขาด้วยปลายนิ้ว
เขาล้มตึงลงไปทันที
พวกไห่สือซานผ่อนลมหายใจออกด้วยความโล่งอก
เฉียวเวยนั่งยองๆ ลงไปรื้อค้นตัวเขาอยู่พักหนึ่งก็หาแผนที่กับบันทึกที่องค์หญิงเจาหมิงทิ้งไว้ที่ตระกูลกู่พบ นี่เป็นของที่องค์หญิงเหลือทิ้งไว้ จะให้เจ้าหมอนี่พกไปยมโลกด้วยไม่ได้
ร่างของอวิ๋นซู่ชักกระตุกแล้วค่อยๆ ไหม้เป็นสีดำไปทีละนิด ดวงตาที่เหมือนถูกอาบด้วยยาพิษคู่นั้นเริ่มเลื่อนลอย เขากระอักเลือดออกมาพลางหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “พวกเจ้า..พวกเจ้าคิดจริงๆ หรือว่า…จะมีชีวิตรอด…ออกไปได้”
เฉียวเวยยิ้มจางๆ “ขนาดนี้แล้ว ยังคิดจะเล่นลูกไม้อีกนะ”
ร่างของมารโลหิตถูกทำลายแล้ว ต่อให้เขาแช่ในน้ำพุเทพก็ไม่มีประโยชน์แล้ว
จีหมิงซิวก้าวเข้ามาอย่างเย็นชาแล้วดึงกระบี่โหราจารย์ออกมา
เมื่อคมกระบี่หลุดออกจากร่าง อวิ๋นซู่ก็ชักกระตุกอย่างรุนแรง เขาใช้เรี่ยวแรงที่เหลือไม่กี่เฮือกมองเฉียวเวย “พวกเจ้า…พวกเจ้า…ไม่ว่าคน…ใด…ก็หนีไม่รอดแล้ว…ค่ายกลมารโลหิต…ถูก…เปิดแล้ว…ต่อให้ข้า…ตายไป…ขอเพียงนางยังอยู่…ทุกคน…ก็จะ…กลายเป็น…เครื่องสังเวยของนาง…เว้นเสียแต่ว่า…เว้นเสียแต่ว่าพวกเจ้า…จะสัง…สังหาร…สังหารนางเสีย..แต่ว่า…หากนางตาย…ค่ายกลก็จะ…ทลาย…พระราช…พระราชวังใต้ดินก็จะ…”
กล่าวยังไม่ทันจบเขาก็กระอักเลือดคำโตออกมาอย่างรุนแรง หลังจากนั้นสองขาก็ถีบทีหนึ่ง ร่างกายแน่นิ่ง สิ้นใจวางวาย
“เมื่อครู่เขาพูดอะไร” เฉียวเวยถามอย่างไม่เข้าใจ
จีหมิงซิวครุ่นคิด “บรรพบุรุษราชวงศ์เยี่ยหลัวคิดว่าตนเองคือทายาทของมารโลหิต แล้วก็คิดว่ามีแต่มารโลหิตที่แข็งแกร่งที่สุดจึงจะสืบทอดพระราชวังใต้ดินหลังนี้ได้ ดังนั้นตำหนักหลักจึงมีการวางค่ายกลมารโลหิตไว้ในตำหนักทองคำหลังนี้ คนที่ควบคุมค่ายกลได้จึงจะครอบครองพระราชวังใต้ดินได้ การจะทำให้ค่ายกลมารโลหิตสมบูรณ์จำเป็นต้องมีเครื่องสังเวยที่มากพอ”
ก่อนหน้านี้อวิ๋นซู่น่าจะไม่ทราบเรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่คิดหาสารพัดวิธีมาขัดขวางไม่ให้พวกเขาเข้ามาในพระราชวัง เขามาถึงตำหนักทองคำแล้วเพิ่งล่วงรู้ความลับของพระราชวังใต้ดินแห่งนี้
ทันใดนั้นเองปราณโลหิตที่ถูกขจัดไปแล้วก็กลับมาท่วมท้นภายในพระราชวังใต้ดินอีกหน บนร่างของทุกคนมีปราณโลหิตสีแดงสดลอยออกมา ก่อนจะทะลักเข้าไปในร่างของเฉียวเวยอย่างบ้าคลั่ง
ไม่เพียงแต่คนในห้องนี้เท่านั้น แม้แต่สือชี ราชันอสูรกับอวิ๋นจูที่อยู่ไกลออกไปหลายร้อยเมตรก็เริ่มมีปราณโลหิตไหลออกมาจากร่างเช่นเดียวกัน
“โฮกกก!”
ทุกคนได้ยินเสียงคำรามเกรี้ยวกราดของราชันอสูร
เฉียวเวยตกตะลึง “ราชันอสูรนี่ หรือว่าเขาก็…”
เฉียวเจิงผู้มีร่างกายอ่อนแอที่สุด พอเลือดลมไม่พอก็สลบไปทันที หลิวเกอร์ที่อยู่บนรถม้าก็มีโลหิตสีแดงสดคาวคลุ้งสายหนึ่งไหลออกมาจากจมูก
อวิ๋นซู่พูดไม่ผิด หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ทุกคนจะกลายเป็นเครื่องสังเวยของเฉียวเวย
“หมิงซิว…” เฉียวเวยไม่อยากตาย แต่นางไม่อยากให้คนมากมายเช่นนี้ต้องเป็นอะไรเพราะนางมากกว่า
จีหมิงซิวพลิกบันทึกกับแผนที่อย่างรวดเร็ว “หาเจอแล้ว อุโมงค์อยู่ตรงนี้!”
จีหมิงซิวเดินไปที่ลานกว้างนอกตำหนัก แล้วใช้เท้าวัดระยะบนพื้น หลังจากนั้นจึงนั่งยองๆลงไปแล้วเริ่มแงะแผ่นหินเขียวแผ่นหนึ่งขึ้นมา มีอุโมงค์ดำสนิทอยู่เส้นหนึ่งจริงๆ
“พวกเจ้าไปก่อน” เฉียวเวยกลายเป็นเจ้านายของค่ายกลมารโลหิตไปแล้ว หากนางจากไป ค่ายกลก็จะพังทลาย และหากเฉียวเวยเดาไม่ผิด เมื่อครู่อวิ๋นซู่อยากจะพูดว่าหากค่ายกลพังทลาย พระราชวังใต้ดินก็จะถล่มลงมาด้วย
ทุกคนไม่ขยับ
ตอนนั้นเองราชันอสูรก็วิ่งเร็วจี๋ตามกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งมา จากนั้นก็เงื้อกำปั้นต่อยลงบนค่ายกลในตำหนักอย่างรุนแรง ค่ายกลโลหิตส่งพลังอันแข็งกล้าสายหนึ่งออกมาอย่างฉับไว มันซัดราชันอสูรหงายลงไปกองกับพื้น
ราชันอสูรครางอย่างคับแค้น
ไห่สือซานเดินเข้าไปหา “ท่านราชันอสูร ท่านเป็นอันใดไป”
จีหมิงซิวหรี่ตาลง “เขาจะเลื่อนขั้นแล้ว”
“อะ อะไรนะ เลื่อนขั้นหรือ” สีหน้าของไห่สือซานราวกับเห็นผี เขาเคยได้ยินแต่ทลายค่ายกลแล้วบาดเจ็บสาหัส ไม่เคยได้ยินว่ามีใครถูกสูบปราณโลหิตแล้วดันจะเลื่อนขั้นพลัง
ทว่าการเลื่อนขั้นพลังหนนี้มาไม่ถูกจังหวะเวลาอยู่บ้าง ค่ายกลมารโลหิตก็น่ากลัวมากพอแล้ว หากเลื่อนขั้นกลายเป็นจักรพรรดิอสูรที่นี่ คิดจะรื้อพระราชวังใต้ดินลงมาหรืออย่างไรกัน
จีหมิงซิวออกคำสั่ง “รีบพาราชันอสูรอกไป แล้วหาที่ปลอดภัยสักแห่งให้เขาเลื่อนขั้น”
หนนี้พวกเขาไม่อยากออกไปก็ไม่ได้แล้ว หากปล่อยให้ราชันอสูรเลื่อนขั้นที่นี่ พระราชวังใต้ดินจะต้องถล่มลงมาอย่างแน่นอน
ต้องขอบคุณค่ายกลมารโลหิตที่ทำให้พื้นที่ตรงนี้มีปราณโลหิตลอยท่วมฟ้า สือชีจึงแบกอวิ๋นจูตามมาถึงที่นี่ได้อย่างรวดเร็วยิ่งนัก
“ส่งมาให้ข้าเถอะ!” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยใช้เชือกมัดเฉียวเจิงไว้บนหลังแล้วรับอวิ๋นจูมาจากอ้อมแขนของสือชี
สือชีจึงวิ่งไปอุ้มวั่งซู เจ้าตัวจ้อยทั้งสามกระโดดลงมาแล้วเข้าไปในอุโมงค์พร้อมกับอินทรีทองที่ตามมาสมทบ ไห่สือซานไปเรียกจิ่งอวิ๋นกับหลิวเกอร์ ปราณโลหิตทะลักออกมาจากร่างของเด็กๆ เฉียวเวยร้อนใจดังไฟเผา “ท่านสังหารข้าเถอะ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป…”
จีหมิงซิวเดินเข้าไปในโถงตำหนักแล้วกอดเฉียวเวยเอาไว้ เขาใช้กำลังภายในตัดการเชื่อมต่อระหว่างค่ายกลมารโลหิตกับด้านนอกโถงตำหนัก ทว่านั่นกลับทำให้ปราณโลหิตของเขาเริ่มถาโถมปั่นป่วน ไหลทะลักเข้าไปในร่างของเฉียวเวยราวกับกระแสน้ำ
ต่อให้เป็นเช่นนี้ปราณโลหิตของเขาเพียงคนเดียวก็ไม่เพียงพอจุนเจือค่ายกลทั้งค่ายกลอยู่ดี
พระราชวังสั่นไหวดังครืนๆ
พวกเยี่ยนเฟยเจวี๋ยลงไปในอุโมงค์แล้ว เหลือแต่สือชีกับไห่สือซานที่กำลังอุ้มเด็กน้อยทั้งสามคนออกมา ทว่าพวกเขายังไม่ทันอุ้มคนออกมาพ้นรถม้า กลีบดอกของดอกบัวทองคำที่ล้อมตำหนักทองคำอยู่ก็พลันหักลงมา มันร่วงลงมาทับรถม้าอย่างไม่เอียงไม่เฉสักนิด
สือชีอุ้มวั่งซูกลิ้งหลบ
ไห่สือซานคว้าเด็กน้อยขึ้นมาคนหนึ่ง ไม่ทันมองชัดว่าคว้าใครมาได้ แต่ไม่ว่าเป็นใคร อีกคนที่อยู่ด้านในย่อมหนีไม่รอดแล้ว
เฉียวเวยหน้าถอดสีทันใด “จิ่งอวิ๋นนนน!”
จีหมิงซิวอยากพุ่งออกไปแต่ไม่ทันกาลแล้ว…
ในเสี้ยววินาทีแห่งวิกฤตินั่นเฉียวเวยหลับตาปี๋ ทว่าเสียงกัมปนาทที่จินตนาการไว้กลับไม่ดังขึ้น นางจึงลืมตาขึ้นมาช้าๆ แล้วหันไปมองทางรถม้า นางเห็นเฮ่อหลันชิงผู้ผูกผ้าคลุมสีดำแดง โผล่มาใต้ดอกบัวทองคำตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบแล้วจับชิ้นส่วนยักษ์ที่ร่วงลงมาไว้อย่างสบายๆ
นางโยนมันทิ้งส่งๆ แล้วเปิดผ้าม่านอุ้มจิ่งอวิ๋นน้อยที่สะลึมสะลือออกมา
นางมองจิ่งอวิ๋นอย่างอ่อนโยนแล้วลูบใบหน้าน้อยขาวนุ่มนิ่มของเขา ก่อนจะหมุนตัวกลับมาส่งเขาใส่อ้อมแขนของอี้เชียนอินผู้หอบแฮ่กๆ “หากกล้าทิ้งจิ่งอวิ๋นของบ้านข้าอีก ข้าจะถลกหนังของเจ้า!”
คำพูดนี้เห็นชัดว่าพูดกับไห่สือซาน
ไห่สือซานโอดครวญในใจ เขาไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะ สถานการณ์นั้น เขาคว้าเด็กสองคนไม่ทันนี่นา…
เฮ่อหลันชิงสั่งว่า “พวกเจ้าไปเสีย”
อี้เชียนอินสิ้นเปลืองแรงไปมากอักโขกว่าจะตามหาเฮ่อหลันชิงพบ ตอนนี้มาสั่งให้เขาไป เขาย่อมไม่ยินยอม “พี่เฮ่อหลัน…”
เฮ่อหลันชิงซัดฝ่ามือออกมาทีเดียวก็ส่งพวกเขาลงไปในอุโมงค์
เฮ่อหลันชิงมองจีหมิงซิวที่อยู่ในห้องโถงแล้วบอกว่า “พาเสี่ยวเวยไปซะ”
เฉียวเวยท้วงขึ้นมา “ท่านแม่ ข้าไปไม่ได้ ท่านไปเถิด…”
เฮ่อหลันชิงเอ่ยว่า “เด็กโง่ เจ้ารับดาบแทนแม่มาหนหนึ่งแล้ว คิดจะให้หัวใจของแม่ต้องเจ็บปวดเป็นครั้งที่สองหรือไร”
เฉียวเวยส่ายหน้า ดวงตาแดงระเรื่อเอ่ยว่า “ข้าไปไม่ได้จริงๆ…”
เฮ่อหลันชิงกล่อมอย่างอ่อนโยน “เด็กดี เชื่อฟังแม่นะ”
จีหมิงซิวเอ่ยขึ้นมาว่า “ข้าจะอยู่เอง ท่านแม่พาเสี่ยวเวยออกไปเถิด”
เฮ่อหลันชิงพูดขึ้นมาว่า “คิดว่าอุโมงค์นั่นออกไปง่ายนักหรือ เจ้าไม่ไปด้วย ชั่วชีวิตนี้พวกเขาก็ออกไปไม่ได้แล้ว”
เฉียวเวยสะอื้น “ถ้าเช่นนั้นอีกเดี๋ยวท่านจะออกไปอย่างไรเล่า”
เฮ่อหลันชิงยิ้มอย่างอ่อนโยน “ข้าย่อมมีหนทาง”
พูดพลางนางก็หันไปมองจีหมิงซิวด้วยแววตาจริงจังอย่างยิ่ง “ข้าฝากเสี่ยวเวยกับลูกทั้งสองแล้วก็อาเจิงไว้กับเจ้าแล้ว ตอนที่ข้าออกไป ข้าไม่ต้องการเห็นพวกเขามีเส้นผมหายไปแม้แต่เส้นเดียว”
เฉียวเวยน้ำตาไหลพราก “ท่านแม่…”
เฮ่อหลันชิงหันไปมองจีหมิงซิว “ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาลังเล เจ้าฟังให้ดีหมิงซิว กำลังภายในของข้าทนได้ไม่นานนัก เจ้าต้องรีบพาทุกคนออกไปจากพระราชวังใต้ดินก่อนที่กำลังภายในของข้าจะหมดสิ้น”
จีหมิงซิวกำหมัดแน่น สีหน้าของเขามีอารมณ์มากมายปะปนอยู่บนนั้น “ท่านแม่ทนสักประเดี๋ยว พอข้าส่งพวกเขาออกไปแล้วจะกลับมารับท่าน”
เฮ่อหลันชิงยิ้มน้อยๆ พยักหน้าให้เขา
จีหมิงซิวจูงมือเฉียวเวย เฉียวเวยร้องไห้จนกลายเป็นมนุษย์น้ำตา “ท่านแม่!”
ทั้งสองคนเดินออกจากไปจากตำหนักทองคำ ค่ายกลมารโลหิตสูญเสียดวงตาค่ายกลไปก็พังทลายเสียงดังสนั่นในพริบตา พระราชวังใต้ดินสั่นไหวอย่างรุนแรง ‘ท้องฟ้า’ บนเพดานแตกร้าวทีละนิด พื้นดินก็เริ่มยุบเป็นหลุมบ่อ ตำหนักใกล้ๆ พังทลายไล่มาทีละหลัง
เฮ่อหลันชิงเหินร่างขึ้นไปซัดฝ่ามือใส่อากาศ ต้านสิ่งที่ถล่มลงมาเหนือศีรษะเอาไว้
แต่พระราชวังใต้ดินพังทลายลงมาเร็วกว่าที่นางคิดเอาไว้มากนัก พื้นดินตรงอุโมงค์แยกออก ตำหนักสองฝั่งเริ่มเอนล้มมาทางอุโมงค์ เฮ่อหลันชิงซัดฝ่ามือออกมา ใช้กำลังภายในค้ำตำหนักที่เอียงกะเท่เร่เอาไว้
ทว่าถึงจะค้ำตำหนักสองหลังนี้ให้มั่นคงได้แล้ว แต่ยังมีตำหนักอีกหลายหลัง
เฮ่อหลันชิงผลาญกำลังภายในของตนเองอย่างไม่คิดชีวิต นางคาดว่าพวกเขาน่าจะเดินพ้นจากบริเวณนี้ไปแล้วจึงรั้งมือข้างหนึ่งกลับมา ตำหนักถล่มลงมาจนทำให้อุโมงค์ตรงช่วงนี้ถูกทำลายหมดสิ้น
ไกลออกไปมีตำหนักทำท่าว่าจะถล่มลงมาอีก
เฮ่อหลันชิงใช้กำลังภายในค้ำเอาไว้อีกหน ทว่าเบื้องหน้ามีตำหนักหลังที่ ห้า หก ไปจนถึงหลังที่ เจ็ด แปด เก้า สิบ…กำลังพังทลาย ชั่วอึดใจเดียวพวกมันทำท่าว่าจะพากันล้มลงมาดังครืนโครม
หากพวกมันล้มลงไปจริงๆ อุโมงค์ต้องถูกปิดตายแน่
ต่อให้เฮ่อหลันชิงกำลังภายในแข็งแกร่งอีกเท่าใด นางก็ไม่มีวิชาแยกร่าง