หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 105-8 ตอบจบ
ตอนที่ 105-8 ตอบจบ
ขณะที่ตำหนักเหล่านั้นถล่มลงมาทีละหลังๆ เงาร่างอันแข็งแกร่งองอาจร่างหนึ่งก็เหินมาพร้อมกับบารมีอันน่าเกรงขาม กำลังภายในของเขามหาศาลดั่งห้วงสมุทร เขาโอบอุ้มตำหนักที่กำลังจะเอนล้มถล่มทั้งสิบเจ็ดสิบแปดหลังเอาไว้ได้อย่างมั่นคง
เฮ่อหลันชิงยกมุมปากสีแดงสดของตนเองเป็นรอยยิ้ม “จักรพรรดิอสูรหรือ”
เจ้าหมอนี่ในที่สุดก็ปรากฏตัวสักที นางคิดว่าชาตินี้เขาจะไม่ปรากฏตัวแล้วเสียอีก
การเข้ามาช่วยของจักรพรรดิอสูรทำให้เฮ่อหลันชิงสบายขึ้นมาก นางยังมีอารมณ์ทักทายจักรพรรดิอสูรเสียด้วย “เป็นอย่างไร”
แต่จักรพรรดิอสูรไม่สนใจนาง
ท่านจักรพรรดิอสูรเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นอย่างยิ่ง!
เฮ่อหลันชิงหัวเราะ “ข้ามีถั่วเคลือบน้ำตาลนะ”
ดวงตาของจักรพรรดิอสูรพลันทอประกายวาววับ
สองเค่อหลังจากนั้น จีหมิงซิวก็พาทุกคนออกมาจากอุโมงค์สำเร็จ จากนั้นเขาก็วกกลับไปอย่างเร็วที่สุด ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีเตรียมใจที่จะสละชีวิตช่วยท่านแม่ยายเอาไว้แล้ว แต่เมื่อเขาเดินออกมาจากอุโมงค์ก็ได้ยินเสียงแปลกประหลาดอันแสนจะหนวกหูเสียงหนึ่ง
กร้วมๆ! กร้วมๆ!
กร้วมๆ! กร้วมๆ! กร้วมๆ!…
บนลานกว้างนอกตำหนักทองคำ เฮ่อหลันชิงกับจักรพรรดิอสูรนั่งอยู่บนกลีบดอกบัวทองคำยักษ์ที่ร่วงลงมาเมื่อครู่กลีบนั้น เฮ่อหลันชิงใช้มือซ้ายส่งกำลังภายในไปค้ำเพดานทั้งหมดของพระราชวังใต้ดิน ส่วนจักรพรรดิอสูรยื่นมือขวาออกไปด้านข้าง ฝ่ามือคว่ำลงใช้กำลังภายในประคองแผ่นดินที่กำลังจะพังทลายเอาไว้
สิ่งที่ยอดฝีมือคนใดทุ่มเทจนร่างแหลกสลายก็ยังทำไม่ได้กลับถูกทั้งสองคนนี้จัดการได้อย่างง่ายดายและเพลิดเพลิน
ตรงกลางระหว่างทั้งสองคนคือถั่วเคลือบน้ำตาลถุงน้อยที่ถูกจักรพรรดิอสูรจัดการไปมากกว่าครึ่งแล้วถุงหนึ่งกับหมากกระดานหนึ่งที่ไม่รู้ว่าไปเอามาจากไหน
เฮ่อหลันชิงเล่นหมากแย่เพียงใด จักรพรรดิอสูรเล่นได้แย่ยิ่งกว่า ไก่อ่อนผู้ดวลหมากได้ย่ำแย่จนเหลือจะพรรณนาสองคนกลับวางท่าเหมือนยอดฝีมือผู้สูงส่งกำลังดวลหมากกัน
สิ่งที่เรียกกันว่าวีรบุรุษแค้นใจที่พบพานเมื่อสายคงเป็นเช่นนี้เอง
…
เดือนหนึ่ง เมืองหลวงอากาศดีจนน่าแปลกใจ
ทางเหนือของเมือง ไห่สือซานวิ่งมาที่ใต้เนินเขาน้อยอันห่างไกลลูกหนึ่งพร้อมกับสีหน้าตื่นเต้นดีใจ “นายน้อย หาพบแล้วขอรับ”
จีหมิงซิวขึ้นมาบนเขา บนยอดเขามีกระท่อมน้อยหลังหนึ่ง นี่มิใช่กระท่อมที่อวิ๋นซู่เคยมากบดานหลังนั้น แต่เป็นกระท่อมที่อยู่บนยอดเขาฝั่งตรงข้ามที่มองเห็นกระท่อมหลังนั้นจากไกลๆ และจากกระท่อมหลังนั้นก็บังเอิญมองเห็นทุกสิ่งบริเวณนี้ได้
จีหมิงซิวยืนนิ่งอยู่ที่ประตู
ไห่สือซานไม่เข้าไปรบกวน เขานำองครักษ์ทั้งหมดถอยออกมาเงียบๆ
จีหมิงซิวเปิดประตูเข้าไป สิ่งที่สะท้อนเข้ามาในม่านสายตาคือโลงศพหยกอันวิจิตรประณีตใบหนึ่ง
โลงศพหยกผ่านกาลเวลามานาน แต่ยังคงใหม่เอี่ยมคล้ายเพิ่งสร้าง
สตรีในโลงศพสวมชุดแต่งงานสีแดงสดทั้งร่าง ใบหน้าถูกคลุมด้วยกระดาษสีแดง มือประหนึ่งหยกสองข้างกุมประสานอยู่เหนือหน้าท้อง สงบสุขประหนึ่งกำลังนอนหลับใหลอยู่
จีหมิงซิวขอบตาแดงระเรื่อ ถอยออกมาก้าวหนึ่งแล้วสะบัดชายเสื้อ คุกเข่าลงไปโขกศีรษะคำนับ แล้วกล่าวเสียงหนักแน่น “ท่านแม่ ลูกมารับท่านกลับบ้านแล้ว”
…
ล่วงสู่ฤดูใบไม้ผลิ วันที่สิบแปดกลางเดือนสาม เป็นฤกษ์มงคลเหมาะแก่การสมรส
เรือนลั่วเหมยยุ่งวุ่นวายตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง จีเหล่าฮูหยินนอนไม่หลับตลอดทั้งคืนจึงลุกขึ้นมาตั้งแต่เช้า หรงมามาหยิบเสื้อคลุมกันลมตัวหนึ่งมาสวมให้เหล่าฮูหยิน “ข้าบอกแล้วว่าให้ท่านนอนสักงีบ ตอนนี้ยังเช้าอยู่เลยเจ้าค่ะ”
จีเหล่าฮูหยินโบกมือ “โธ่เอ๊ย ไม่เช้าแล้วๆ ภรรยาของเจ้ารองเล่า”
“มาแล้วๆ!” หลี่ซื่อเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับสีหน้าอิ่มเอิบแดงระเรื่อ นางคำนับจีเหล่าฮูหยิน “ท่านแม่”
จีเหล่าฮูหยินจับมือลูกสะใภ้แล้วถามอย่างยินดีปรีดา “ข้าวของเตรียมพร้อมแล้วหรือไม่”
หลี่ซื่อยิ้ม “เตรียมพร้อมแล้วเจ้าค่ะ ขาดก็แต่หยกสมปรารถนา”
จีเหล่าฮูหยินขมวดคิ้ว “ขาดหยกสมปรารถนาไปได้เช่นไร”
หลี่ซื่อรีบอธิบาย “อ้อ เป็นเช่นนี้เจ้าค่ะ เมื่อวานข้านำหยกสมปรารถนาไปให้หมิงเยี่ย แต่หมิงเยี่ยรังเกียจว่ามันไม่สวย จึงให้ข้า…ไปเปลี่ยน ข้าให้คนไปเลือกแล้ว!”
จีเหล่าฮูหยินถอนหายใจ “เจ้าเด็กคนนี้!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักจะไปชอบของที่ไร้สีสันเช่นนั้นได้อย่างไรกัน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเป็นชิ้นที่เปล่งประกายสีทองแวววาวสิ!
ไม่ผิดจากที่คาด หลี่ซื่อเลือกหยกสมปราณถนาชั้นเยี่ยมไปให้อีกสิบกว่าก้อน แต่ใต้เท้าเจ้าสำนักก็ไม่พอใจก้อนไหนทั้งสิ้น
“ลองชิ้นนี้ดูสิ”
ระหว่างที่จีเหล่าฮูหยินกับหลี่ซื่อร้อนใจจนหัวแทบไหม้อยู่ จีซวงก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับสีหน้าราบเรียบแล้วให้สาวใช้วางกล่องไม้ท้อลวดลายงดงามใบหนึ่งลงบนโต๊ะ
หลี่ซื่อเปิดออกดู นี่ นี่มันหยกสมปรารถนาที่ไหนกัน นี่มันทองสมปรารถนาชัดๆ
จีซวงไม่ก้าวออกมาจากเรือนนานแล้ว หายากที่นางจะยอมออกมาสักหน หลี่ซื่อไม่สะดวกใจจะหักหน้านาง จึงให้คนนำไปมอบให้ใต้เท้าเจ้าสำนัก คิดไม่ถึงว่าใต้เท้าเจ้าสำนักกลับรับไปเสียอย่างนั้น!
….
ใต้เท้าเจ้าสำนักรับทองสมปรารถนาไปแล้วก็ไปเปลี่ยนชุดมงคลอย่างสุขสันต์
ชุดมงคลชิ้นนี้เป็นผลงานที่ช่างปักฝีมือดีที่สุดห้าคนของเมืองหลวงใช้เวลาสองเดือนเต็มๆ รังสรรค์ขึ้นมาให้เขาอย่างพิถีพิถัน วัสดุล้ำค่าเท่าใดย่อมไม่ต้องพูดถึง ภาพที่ปักออกมาก็งดงามวิจิตรเป็นอันดับหนึ่งของอันดับหนึ่ง
ทว่าเมื่อใต้เท้าเจ้าสำนักกลับมาในห้อง ชุดมงคลที่ทั้งล้ำค่าและงามวิจิตรชุดนั้นของเขาก็หายไปอย่างน่าพิศวง!
ท้ายเรือนของบ้านชิงเหลียน ราชันอสูรสวมชุดมงคลสีแดงสดดึงประตูหลังเปิดอย่างเงียบเชียบแล้วแอบออกไปอย่างไม่กระโตกกระตาก
ชุดมงคลไม่ค่อยพอดีตัวนัก แขนเสื้อกับขากางเกงล้วนสั้นเต่อ
วันนั้นที่ราชันอสูรออกมาจากพระราชวังใต้ดิน เขากินเม็ดยาพิษของสวินหลันเข้าไปแล้วเลื่อนขั้นกลายเป็นจักรพรรดิอสูรอย่างราบรื่น
หลังจากนั้นจักรพรรดิอสูรที่เสี่ยงอันตรายออกมาจากพระราชวังใต้ดินก็ได้กินเม็ดยาพิษอีกเม็ดหนึ่งของสวินหลัน จนกลายเป็นจักรพรรดิอสูรขั้นสูงสุด
ราชันอสูรก็ยังสู้ไม่ชนะอยู่ดี ร้องไห้กระซิกๆ!
…
ฟู่เสวี่ยเยียนเป็นคนที่ไม่มีครอบครัวฝั่งเจ้าสาว เฉียวเวยจึงมาเป็นครอบครัวฝ่ายเจ้าสาวให้นาง ก่อนหน้าวันแต่งงานไม่นาน เฉียวเวยพานางไปพักที่คฤหาสน์บนภูเขา
ต้าเหลียงมีความเชื่อว่าหญิงตั้งครรภ์ไม่ควรมาร่วมงานมงคลสมรส ด้วยเกรงว่าจะถูกผลกระทบจากไอมงคลของเจ้าสาว แต่ที่เยี่ยหลัวไม่มีความเชื่อเช่นนี้
คนที่มาหวีผมให้เจ้าสาวมักจะเป็นสตรีผู้มีครอบครัวกลมเกลียว มากโชควาสนา แต่สำหรับฟู่เสวี่ยเยียนแล้ว สตรีเช่นนั้นมีมากมายนัก แต่ผู้มีพระคุณของนางมีเพียงเฉียวเวยคนเดียว
ฟู่เสวี่ยเยียนนั่งอยู่หน้ากระจกทองเหลืองแล้วส่งหวีให้เฉียวเวย
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ รับหวีมาแล้วประคองเส้นผมที่ราวกับก้อนเมฆของนางขึ้นมาหวีเบาๆ “หวีหนที่หนึ่งหวีจรดปลายผม หวีหนที่สองให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวครองคู่จนแก่เฒ่า หวีหนที่สามให้เจ้าสาวมีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง หวีหนที่สี่ให้ทวยเทพมอบโชควาสนา…”
ฟู่เสวี่ยเยียนสะอื้นเบาๆ ก่อนจะมองเฉียวเวยที่อยู่ในกระจกทองเหลือง นางร้องไห้จนกลายเป็นมนุษย์น้ำตาน้อยคนหนึ่งแล้ว
หัวหน้าพรรคเฉียวปาดน้ำตาที่พรั่งพรูเป็นสาย “ฮึกๆ….อารมณ์ของคนท้องนี้เหตุไฉนจึงอ่อนไหวง่ายเช่นนี้นะ”
….
อวิ๋นจูกับจักพรรดิอสูรอยู่บนเขาเช่นกัน อวิ๋นจูไม่ชอบอยู่ในจวน สถานที่ซึ่งมีขุนเขาเขียวขจีและสายน้ำสีครามเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกสบายใจมากกว่า
อวิ๋นจูยังไม่คุ้นชินกับการอยู่ร่วมกับคนหมู่มาก ทว่าวันนี้เป็นวันมงคลของเด็กน้อยทั้งสองคน นางจึงรวบรวมความกล้าก้าวออกมาจากบ้าน
ป้าหลัวกำลังต้อนรับแขกเหรื่ออยู่กับชีเหนียง เมื่อเห็นอวิ๋นจูเดินออกมาก็อึ้งอย่างห้ามตนเองไม่ได้
พวกนางรู้ว่าฮูหยินคนนี้ชื่นชอบความเงียบสงบ หรือว่าในเรือนจะมีคนมากเกินไปจนส่งเสียงดังเอะอะหนวกหูนางเข้า
อวิ๋นจูกำชายเสื้อ ถามว่า “มี…มีอะไรให้ข้าช่วยหรือไม่”
…
ฝั่งนี้ป้าหลัวกำลังจูงอวิ๋นจูไปช่วยงานอย่างอบอุ่น อีกฝั่งหนึ่งจักรพรรดิอสูรก็แต่งเนื้อแต่งตัวให้ตนเองจนเสร็จเรียบร้อย ในที่สุดวันนี้เขาก็ไม่สวมอาภรณ์สีขาว วันมงคลไหมเล่า แน่นอนว่าจะใส่สีขาวไม่ได้ เขาเป็นคนมีรสนิยม
เขาสวมอาภรณ์สีแดง รูปร่างของเขาดีอย่างยิ่ง ทั้งสูงใหญ่และแข็งแรง แต่ไม่บึกบึนเกินไปนัก จัดอยู่ในพวกที่สวมอาภรณ์แล้วดูผอม แต่ถอดเสื้ออกมาแล้วมีกล้ามเนื้อ อาภรณ์สีแดงชุดนี้หากผู้อื่นใส่บางทีอาจจะข่มเสื้อผ้าไม่ลง แต่จักรพรรดิอสูรสวมออกมาแล้วดูสง่างาม เจ้าสำราญได้อย่างง่ายดาย
จักรพรรดิอสูรไม่ไปร่วมวงครึกครื้นที่ลานด้านหน้า แต่อยู่ที่เรือนน้อยด้านข้างคฤหาสน์ เขายืนอยู่ใต้ต้นท้อต้นหนึ่ง เมื่อวานต้นท้อยังกิ่งโล่งเตียนอยู่เลย ทว่าพอรดน้ำพุเทพไปคืนเดียวมันก็ออกดอกบานสะพรั่ง
สายลมอ่อนโชยพัดชายเสื้อของเขา บุปผางาม คนยิ่งงาม
แต่รู้สึกเหมือนยังขาดอะไรไปบางอย่าง
เขาถลึงตาใส่ต้นท้ออย่างเหี้ยมเกรียม
ต้นท้อตกใจกลัวจนกิ่งบุปผาสั่นระริก กลีบบุปผาโปรยปรายลงมาเป็นสายฝน ยามกลีบบุปผาลอยละล่องโปรยปราย ภาพที่บังเกิดย่อมงดงามเหนือจินตนาการ ผู้คนที่เดินผ่านมาเห็นภาพนี้ถึงกับละสายตาจากไปไม่ได้
จักรพรรดิอสูรหยิบขลุ่ยหยกเลาหนึ่งออกมาจรดริมฝีปากอย่างแผ่วเบา เสียงขลุ่ยกังวานลอยไปประหนึ่งสำเนียงเสียงสวรรค์ เสียงไพเราะกังวานอ้อยอิ่งลอยเข้ามาในหูไม่ขาดสาย
ทุกคนได้ยินล้วนลุ่มหลงเมามาย คุณชายอวิ๋นไม่เพียงรูปโฉมงดงาม นิสัยก็ดี แล้วยังมากความสามารถอีก เขาช่างเป็นบุรุษที่สมมบูรณ์แบบที่สุดในใต้หล้าโดยแท้!
ชื่อเสียงลือลั่นดังกระฉ่อนสิบลี้แปดหมู่บ้านจึงถือกำเนิดขึ้นมาอย่างงดงามเฉกเช่นนี้
ภายในห้องที่ทุกคนมองไม่เห็นอี้เชียนอินเป่าขลุ่ยเลาหนึ่งอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาเป่าจนแก้มสองข้างเจ็บไปหมด