หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 105-9 ตอบจบ
ตอนที่ 105-9 ตอบจบ
ในห้องนอนจิ่งอวิ๋นสวมอาภรณ์สีแดงสดใสชุดหนึ่ง ด้านหลังมีเจ้าสาวตัวน้อยที่หน้าตาเหมือนกันทุกประการตามออกมาอีกสามคน ในใจของจิ่งอวิ๋นรู้สึกสิ้นหวังยิ่งนัก
อีกด้านหนึ่งฟู่เสวี่ยเยียนแต่งตัวได้เรียบร้อยพอประมาณแล้ว ฤกษ์มงคลก็ใกล้มาถึงแล้วเช่นกัน
เฉียวเวยหันไปมองฟู่เสวี่ยเยียนแล้วบอกว่า “ไปสุขาสักรอบหนึ่งก่อนเถิด ประเดี๋ยวต้องเดินทางอีกนาน” หลังจากตั้งครรภ์ สิ่งที่คนกังวลก็ไม่เหมือนเดิมแล้วจริงๆ
ฟู่เสวี่ยเยียนพยักหน้า จากที่นี่ไปถึงตระกูลจีระยะทางยี่สิบถึงสามสิบลี้ เดินทางอย่างช้าๆ ย่อมต้องใช้เวลาค่อนวัน
ฟู่เสวี่ยนเยียนไปสุขา เฉียวเวยเป็นห่วงเด็กๆ จึงแวะไปดูที่เรือนด้านหลัง
ตอนนี้เองราชันอสูรก็แอบลอบเข้ามาในคฤหาสน์อย่างเงียบเชียบ เขาเดินเข้าไปในห้องที่งดงามที่สุด ใหญ่ที่สุด ประดับประดาด้วยสีแดงมากที่สุดอย่างสงสัยใคร่รู้ เขาอ้อมฉากกันลมมาก็เห็นเตียงป๋าปู้แบบที่เหมือนกับห้องเล็ก เขาอุทานออกมาอย่างแปลกใจแล้วขึ้นไปนั่งบนเตียงป๋าปู้
ข้างฝ่ามือมีผ้าคลุมหน้าผืนหนึ่งวางอยู่ เขาจึงฉวยขึ้นมาสวมบนศีรษะ
ขบวนเจ้าบ่าวมาถึงแล้ว
ฟู่เสวี่ยเยียนไม่มีพี่ชาย ใต้เท้าเจ้าสำนักจึงจะไปแบกเจ้าสาวของตนด้วยตนเอง เขาบุกเข้ามาในห้องอย่างเร็วรี่ แต่เมื่อเดินมาถึงหน้าฉากกันลม จู่ๆ เขาก็รู้สึกตื่นเต้น
เขาจับผ้าคลุมกันลมของตนเอง แล้วโคลงศีรษะกวาดสายตาอย่างไวๆ หนึ่งหน
ผ้าคลุมหน้าสีแดง!
หัวใจของเขากระโดดดึ๋งดั๋งๆ ราวกับละมั่งตัวหนึ่ง
ลมหายใจปั่นป่วน หน้าแดงก่ำ ฝ่ามือก็ชื้นเหงื่อ
อย่าไม่เอาไหนขนาดนี้สิ!
“ข้า ข้า ข้า…ข้ามารับเจ้าแล้ว!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักพูดพลางก็ตัดสินใจก้าวเข้าไปแล้วหมุนตัวหันหลังให้ “ขึ้นมาเถิด!”
ราชันอสูรดึงผ้าคลุมหน้าลง แล้วมองใต้เท้าเจ้าสำนักด้วยสายตาแปลกพิกล จากนั้นก็กะพริบตาอย่างไร้เดียงสาแล้วขึ้นไปบนหลัง
ใต้เท้าเจ้าสำนักเกือบจะถูกทับตาย!
หนึ่งเดือนนี้เจ้ากินจนกลายเป็นหมูแล้วหรืออย่างไร…
ใต้เท้าเจ้าสำนักหนักจนหัวหมุนตาลาย แต่จะทำอย่างไรได้เล่า เจ้าสาวที่ตนเองจะแต่งด้วย หนักเท่าไรก็ต้องแบกเท่านั้น!
ใต้เท้าเจ้าสำนักกัดฟันแน่น ใช้พละกำลังที่สั่งสมมาตั้งแต่กินนมมารดา…
เมื่อฟู่เสวี่ยนเยียนกลับมาจากห้องน้ำ นางก็เห็นใต้เท้าเจ้าสำนักผู้สวมชุดมงคลแบกราชันอสูรที่สวมชุดมงคลทั้งตัวเหมือนกัน เดินสั่นระริกผ่านหน้าของนางไป….
ได้ยินว่าหลังจากวันแต่งงานของคุณชายรองบ้านตระกูลจี เขาลงจากเตียงไม่ได้เจ็ดวันเต็ม สาวใช้ที่มารับใช้ยามกลางคืนบอกว่าด้านในเสียงดังอย่างยิ่ง!
เมื่อข่าวนี้แพร่อออกไป ยาบำรุงกำลังของหอหลิงจือก็ขายหมดภายในวันเดียว
…
เวลาผันผ่านพริบตาเดียวก็ล่วงมาถึงเดือนหก ปราณมารของจักรพรรรดิอสูรถูกกำจัดหมดสิ้นแล้ว อาการบาดเจ็บของอวิ๋นจูก็หายดีแล้ว เช้าตรู่วันหนึ่งสองพ่อลูกจึงทิ้งจดหมายไว้อย่างเงียบๆ บอกว่าจะกลับไปที่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์
ราชันอสูรแอบตามไปด้วย
คนที่ทิ้งจดหมายไว้เช่นนี้ยังมีอีกคนหนึ่ง นั่นก็คือกงซุนฉางหลี
วันนั้นกงซุนฉางหลีหมดสติไป หลังจากตื่นขึ้นมาก็พบว่าตนเองนอนอยู่บนเตียงใหญ่นุ่มนิ่มหลังหนึ่ง หน้าเตียงมีบุรุษรูปงามหมดจดคนหนึ่งเฝ้าอยู่
บุรุษผู้นั้นเห็นเขาตื่นแล้วก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน “ข้ามีนามว่าหลินซูเยี่ยน ที่นี่คือจวนกั๋วกง เจ้าเป็นคุณชายตระกูลใดหรือ เหตุไฉนจึงมาสลบอยู่บนรถม้าของบิดาข้าได้”
หลินซูเยี่ยน พี่เขยของจีหมิงซิว
โชคชะตาบนโลกใบนี้ช่างบังเอิญจริงๆ
กงซุนฉางหลีไม่ทิ้งชื่อแซ่ไว้และไม่ได้รั้งอยู่ที่จวนกั๋วกงนานนัก แม้ว่าเขาจะบาดเจ็บสาหัสอย่างยิ่ง แต่วันถัดมาก็ขอตัวจากไป เขาจากไปคราวนี้ก็เงียบหายไร้ข่าวคราว จนกระทั่งครึ่งปีให้หลังจีหว่านพบจดหมายที่ตัวอักษรไม่คุ้นตาฉบับหนึ่งระหว่างจัดตำรา นางจึงหยิบไปให้น้องชาย
จีหมิงซิวจึงเพิ่งทราบว่ากงซุนฉางหลีเดินทางออกไปจากต้าเหลียงตั้งแต่หลายเดือนก่อนแล้ว เขาไม่บอกว่าจะเดินทางไปที่ใด แล้วไม่พูดว่ายามใดจะกลับมา บางทีชั่วชีวิตนี้อาจไม่ได้พบกันอีกแล้ว
แน่นอนว่าในจดหมายไม่ได้บอกเล่าเรื่องนี้เพียงเรื่องเดียว ยังมีเรื่องเกี่ยวกับเฉียวเวยและเกี่ยวกับคุณหนูใหญ่เฉียวด้วย
หลังอ่านจดหมายจบ จีหมิงซิวก็นั่งอยู่ในห้องหนังสือเนิ่นนาน
เฉียวเวยท้องค่อนข้างโตแล้ว นางทนร้อนได้น้อยลงทุกที ต้นเดือนหกนางจึงย้ายกลับไปอยู่บนภูเขา สิ่งที่ควรกล่าวถึงก็คือสระน้ำที่ขุดทิ้งไว้มาสามปีในที่สุดก็ได้ใช้ประโยชน์
เฉียวเวยก้าวลงไปแช่ในน้ำพุเย็นฉ่ำอย่างช้าๆ นี่ไม่ใช่น้ำพุธรรมดา แต่เป็นน้ำพุเทพที่ชักน้ำมาจากพระราชวังใต้ดิน แม้พระราชวังใต้ดินจะถล่มไปแล้ว แต่ตาน้ำของน้ำพุเทพถูกพวกเขาตามหาจนพบ เฉียวเวยแช่ตัวอย่างสบายยิ่ง
ต้าไป๋กับจูเอ๋อร์ก็แหวกว่ายอยู่ในน้ำด้วย เพียงพอนหิมะว่ายน้ำเป็นตั้งแต่เกิด มีแต่เสี่ยวไป๋ที่ไม่กล้าลงน้ำ เพียงพอนหิมะน้อยมองมันอย่างอ่อนโยนแล้วยกกรงเล็บน้อยขึ้นมาลูบหัวของมัน เสี่ยวไป๋ยังละล้าละลังไม่ก้าวไปข้างหน้า เพียงพอนหิมะน้อยจึงกระโดดต๋อมลงไปก่อน
เสี่ยวไป๋…เสี่ยวไป๋หลับตาลง สูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วรวบรวมความกล้ากระโดดลงไปบ้าง ทว่ายังไม่ทันร่วงลงน้ำ ด้านหลังก็มีเสียงร่าเริงดังขึ้น “ข้ามาแล้วววว!”
วั่งซูวิ่งตึงตังเข้ามา ก้อนเนื้อน้อยๆ ทั่วร่างสั่นกระเพื่อมราวกับระลอกคลื่นน้ำ นางกระโดดตัวลอยลงมาในน้ำดัง ตู้ม!
คลื่นลูกโตซัดเจ้าตัวจ้อยทั้งสี่ลอยขึ้นไปบนฟ้า จากนั้นก็ร่วงลงมาบนพื้นแข็งราวกับเมล็ดถั่ว
ประสบการณ์การลงน้ำครั้งแรกของเสี่ยวไป๋จึงจบลงอย่างน่าอเนจอนาถเช่นนี้เอง
ตอนที่จีหมิงซิวจัดการงานเสร็จเรียบร้อยกลับขึ้นมาบนเขา เฉียวเวยยังแช่อยู่ในสระน้ำ เหมือนกับว่า…จะหลับไปแล้ว
จีหมิงซิวถอดอาภรณ์ตัวนอกออกแล้วลงน้ำมาอย่างช้าๆ สองมือช้อนใต้ตัวของนางยกนางขึ้นมาอย่างอ่อนโยน แต่เดิมอยากจะอุ้มนางกลับไปที่ห้อง ทว่าเพิ่งขยับตัว นางก็ลืมตาขึ้นมาเงียบๆ
“ตื่นอยู่หรือ” จีหมิงซิวนั่งลงข้างกายนาง
เฉียวเวยเหยียดเอว บิดลำตัวแล้วเอนพิงบนหัวไหล่ของเขา จีหมิงซิวยกมือขึ้นมาโอบนางไว้ในอ้อมแขน ยามนี้นางอายุครรภ์ค่อนข้างมากแล้ว หน้าท้องจึงกลมดิก ร่างกายมีน้ำมีนวล หัวไหล่เล็กเอิบอิ่มงดงามชวนให้คนอยากกัด
อดอยากปากแห้งมาสองเดือน กัดนิดๆ หน่อยๆ จะไปพออะไร สายตาของจีหมิงซิวเลื่อนมาจับที่หน้าท้องกลมดิกของนาง แล้วก็นึกถึงเจ้าสามที่บ้านของตนเอง ในที่สุดก็ข่มกลั้นเอาไว้ได้
เมื่อคิดอะไรขึ้นมาได้ เขาก็เอ่ยขึ้นมาอย่างช้าๆ “ฝั่งเยี่ยหลัวส่งข่าวมา ศิษย์น้องรองกับแม่ทัพน้อยมู่กลับมาแข็งแรงแล้ว ตอนนี้ทั้งสองคนกลับไปที่หนานฉู่แล้ว อีกไม่นานก็คงสืบทอดจวนเทพสงครามต่อ”
เฉียวเวยยิ้มอย่างโล่งใจ “ดีจริงๆ”
แม้ครอบครัวจะล้มหายตายจากไปหมดสิ้น แต่เมื่อยังมีชีวิตอยู่ย่อมยังมีความหวัง แม่ทัพน้อยมู่เป็นบุรุษผู้กล้าหาญและทรหดอดทน เขาจะต้องทำให้จวนเทพสงครามกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งได้อย่างแน่นอน
“หมิงซิว” จู่ๆ เฉียวเวยก็เปิดปาก
“หืม” จีหมิงซิวหันมามองนาง
เฉียวเวยหลุบตาลง ปลายนิ้วเขี่ยกลางฝ่ามือของเขา “ข้าเคยบอกท่านหรือไม่ว่าข้ามาจากที่ใด”
แววตาของจีหมิงซิววูบไหว น้ำเสียงนิ่งสงบอย่างยิ่ง “เจ้ามาจากที่ใดเล่า”
เฉียวเวยเม้มปาก มองเงาร่างเล็กๆ สองร่างที่วิ่งไปวิ่งมาท่ามกลางราตรี แพขนตากระพือไหว เอี้ยวหน้าหันมามองเขาแล้วยิ้ม “ท่านเดาสิ”
จีหมิงซิวกลั้นไม่ไหวยกมุมปากขึ้นมาเป็นรอยยิ้ม ปลายนิ้วประหนึ่งหยกบีบปลายคางของนางเบาๆ “แน่ใจหรือว่าจะให้ข้าเดา”
ยามเขาเอ่ยคำนี้ดวงตาก็ค่อยๆ ถูกความปรารถนาฉาบย้อมทีละนิด น้ำเสียงทุ้มต่ำไพเราะน่าฟังทำให้หูคนฟังอ่อนระทวย ร่างกายของเฉียวเวยก็อ่อนระทวยไร้เรี่ยวแรงตามไปด้วยอย่างห้ามไม่ได้
จีหมิงซิวสัมผัสริมฝีปากนุ่มนิ่มของนางราวกับแมลงปอแตะผิวน้ำ ฝ่ามือใหญ่ไถลเข้าไปใต้อาภรณ์ของนางแล้วบีบนวดเบาๆ อย่างเชื่องช้า พลางเอ่ยอย่างยั่วเย้า “หัวหน้าพรรคเฉียว เจ้ายังไม่ตอบข้าเลยนะ แน่ใจหรือว่าจะให้ข้าเดา”
เฉียวเวยถูกหยอกเย้าจนลมหายใจสะดุด ร่างกายอ่อนยวบยวบกลายเป็นเหมือนน้ำในสระแห่งนี้ ขาดก็แต่สารภาพตามตรงเท่านั้น
ทว่าเวลานี้เองจีหมิงซิวกลับหยุดการเคลื่อนไหวที่มือ เขาประคองดวงหน้าของนาง แล้วก้มลงไปจุมพิตจอนผม ก่อนจะเอ่ยขึ้นแผ่วเบาว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่เฉียวซื่อ แต่ไม่ว่าเจ้าคือผู้ใด ข้าจะรักเจ้าตลอดไป รักเจ้าตราบนภาคู่พสุธา รักเจ้าตราบชั่วฟ้าดินสลาย รักเจ้าตราบจนเรือนผมขาวโพลน จนเดินขโยกเขยกแล้วเดินไม่ไหว จนเอ่ยวาจามิได้ ถึงยามนั้นพวกเด็กๆ ก็คงเติบใหญ่กันหมด ไม่อยู่ข้างกายแล้ว เจ้าจะเป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียว”
เฉียวเวยขอบตาแดงระเรื่อ
จีหมิงซิวลูบพวงแก้มของนาง มองนางด้วยสายตาอ่อนโยน “ซาบซึ้งมากหรือ”
ดวงตาของเฉียวเวยแดงระเรื่อกว่าเดิม หยดน้ำตาไหลรินลงมาอย่างไม่อาจห้าม
ซาบซึ้งแทบแย่แล้วจริงๆ สินะถึงร้องไห้จนเป็นเช่นนี้ จีหมิงซิวทั้งภาคภูมิใจทั้งปวดใจ แล้วถามนางอย่างคาดหวัง “ถ้าอย่างนั้นเจ้ามีสิ่งใดอยากจะบอกข้าหรือไม่”
“อืม” เฉียวเวยพยักหน้า น้ำตาไหลคลอเบ้า “ข้า…ข้า…”
“เจ้าทำไมหรือ”
“ข้าจะคลอดแล้ว…”
[จบภาคหลัก]