หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 13-2 นามของนางคืออวิ๋นจู (2)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 13-2 นามของนางคืออวิ๋นจู (2)
ตอนที่ 13-2 นามของนางคืออวิ๋นจู (2)
วุ่นวายกันมาตลอดทั้งคืน ผู้ใดก็ยังไม่มีอาหารเย็นตกถึงท้อง เฉียวเวยไปอุ่นอาหารที่เย็นแล้วให้ร้อนใหม่อีกรอบหนึ่ง จากนั้นจึงผัดผักป่าเพิ่มอีกหนึ่งจาน
ทั้งสามคนนั่งล้อมโต๊ะ นอกบ้านสายลมหนาวพัดโหยหวน ยิ่งขับเน้นให้ภายในบ้านดูเงียบสงบมากกว่าปกติ
ไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจาทั้งสิ้น
ไม่ว่าอย่างไรก็เพิ่งจะพบหน้ากันได้ไม่เท่าไร ย่อมยังมีความอึดอัดและทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง
เฉียวเวยพุ้ยข้าวเงียบๆ ลูกตากลอกไปจับอยู่บนร่างของอวิ๋นจูเป็นระยะ
อวิ๋นจูรู้สึกถึงสายตาของนางจึงหันมามอง ทว่านางก็หลุบสายตาหลบอย่างฉับไวแล้วพุ้ยข้าวกินคำโต
อวิ๋นจูวางตะเกียบลงแล้วเอ่ยทำลายความเงียบสงัดภายในห้อง “พวกเจ้ามีเรื่องอันใดจะถามข้าใช่หรือไม่”
เฉียวเวยกะกริบตาปริบๆ หันไปมองจีหมิงซิว จีหมิงซิวมองห้องอันเรียบง่ายห้องนี้แล้วถามขึ้นมาด้วยอารมณ์ที่แม้แต่ตนเองก็อธิบายไม่ถูก “หลายปีที่ผ่านมา ท่านอาศัยอยู่ที่นี่เพียงคนเดียวหรือ”
“อืม อยู่จนชินแล้ว” อวิ๋นจูตอบ
บ้านหลังนี้ดีกว่าบ้านหลังที่เฉียวเวยเคยอาศัยในตอนแรกไม่น้อย ทว่าอย่างไรก็ลำบากอยู่ดี นางอาศัยอยู่ลำพังอย่างเดียวดายมาหลายปี ความเดียวดายคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด ไม่กล้าจินตนาการเลยจริงๆ ว่าหลายปีที่ผ่านมานางผ่านมาได้อย่างไร
ทั้งที่นางไม่จำเป็นต้องอยู่แบบนี้แท้ๆ แล้วเหตุใดนางจึงทำเช่นนี้เล่า
แล้วอวิ๋นจูก็ถามขึ้นว่า “จริงสิ พวกเจ้ามาเยี่ยหลัวได้อย่างไร”
อวิ๋นจูไม่ใช่หญิงสาวในห้องหอผู้อ่อนแอ พวกเขาไม่มีสิ่งใดต้องปิดบังนาง จีหมิงซิวจึงเล่าเรื่องที่จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูถูกลักพาตัวให้ฟังตามตรง
เรื่องนี้ฟังดูเหมือนเรียบง่ายแต่ความจริงมีข้อมูลเกี่ยวโยงมากมายยิ่งนัก
ฮองเฮาคือลูกสาวคนเล็กของอวิ๋นจู ลูกสาวคนเล็กของนางลักพาตัวจิ่งอวิ๋นกับวั่งซู…
เฉียวเวยลอบมองสีหน้าของอวิ๋นจู อยากรู้ว่านางจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับเรื่องนี้
ปฏิกิริยาของอวิ๋นจูนิ่งสงบมาก
นี่คือสตรีที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้ว นางถูกตระกูลสามีทอดทิ้ง ถูกบุรุษวางแผนทำร้าย ต้องต่อสู้กับแรงกดดันจากเผ่าเยี่ยหลัวครึ่งเผ่าด้วยตัวคนเดียว ฝ่าฟันความยากลำบากเพื่อให้กำเนิดลูก จากนั้นก็สูญเสียพวกนางไปทีละคน ชีวิตของนางเต็มไปด้วยการพลัดพรากและความเจ็บปวด
เมื่อเทียกับสิ่งที่นางเผชิญมาเหล่านั้น การที่ลูกของพวกเขาเพียงถูกลักพาตัวไปโดยไม่ได้รับบาดเจ็บ ดูเหมือนจะไม่นับเป็นเรื่องใหญ่อันใด
ทว่าลางสังหรณ์บอกเฉียวเวยว่าความนิ่งสงบของนางไม่ใช่เพราะสาเหตุนี้
อวิ๋นจูถามว่า “เรื่องฮองเฮา พวกเจ้ารู้มากเท่าใด”
จีหมิงซิวตอบว่า “นางไม่ใช่ท่านน้า”
แววตาของอวิ๋นจูฉายแววหม่นหมองวูบหนึ่ง “ถูกต้องแล้ว นางไม่ใช่”
นางนิ่งไปครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นยืน “พวกเจ้าตามข้าไปที่แห่งหนึ่ง”
แต่เดิมทั้งสองคนก็ไม่มีความอยากอาหารอะไรอยู่แล้ว พวกเขาจึงวางชามกับตะเกียบอย่างรวดเร็วแล้วเดินออกไปนอกบ้านพร้อมกับอวิ๋นจู
อวิ๋นจูพาพวกเขาไปยังสถานที่ไม่ไกลแห่งหนึ่ง ในป่าด้านหน้าบ้านไม้หลังน้อย หลังจากเข้าไปในป่าก็มุ่งหน้าขึ้นเหนือ เดินไปไม่กี่ก้าวก็เห็นพุ่มไม้พุ่มหนึ่งอำพรางบางสิ่งอยู่
อวิ๋นจูพาพวกเขาเดินผ่านพุ่มไม้เข้าไปในถ้ำน้อยแห่งหนึ่งจนมาถึงบ้านไม้น้อยอีกหลัง โครงสร้างของบ้านหลังนี้เรียบง่ายนัก มันเป็นเพียงห้องสี่เหลี่ยมห้องหนึ่งที่ไม่มีห้องอื่นๆ
หลังจากเข้าไปในบ้านไม้หลังน้อย กลิ่นหอมอบอุ่นสายหนึ่งก็ลอยเข้ามาปะทะใบหน้า
อวิ๋นจูจุดตะเกียงน้ำมันในบ้าน
เฉียวเวยถูกทัศนียภาพตรงหน้าทำให้แปลกใจจนนิ่งอึ้ง ที่แห่งนี้เป็นโรงเรือนปลูกดอกไม้ขนาดเล็กแห่งหนึ่ง! แล้วยังเป็นโรงเรือนแบบปรับอุณหภูมิอีกด้วย!
นางเคยพักในบ้านที่มีการวางท่อมังกรดินมาไม่น้อย ตัวอย่างเช่นเรือนสี่ประสาน ตระกูลจีหรือจวนมู่อ๋ออง แต่ท่อมังกรดินไม่ใช่บอกว่าอยากมีก็มีได้ กรรมวิธีการก่อสร้างของมันซับซ้อนอย่างยิ่ง ผู้ใดจะเชื่อว่าในป่าเขาลำเนาไพรเช่นนี้กลับมีคนมาสร้างท่อมังกรดินด้วยตนเอง
ดอกไม้ด้านในมีทั้งสีแดงสีม่วงสดสวยละลานตา ส่วนมากเป็นดอกไม้ที่เฉียวเวยไม่รู้จักชื่อโ
ใจกลางโรงเรือนบุปผามีโต๊ะไม้น้อยตัวหนึ่งตั้งอยู่ บนโต๊ะมีฝาครอบแก้วโปร่งแสงวางคว่ำอยู่หนึ่งชิ้น
อวิ๋นจูหยิบฝาครอบแก้วขึ้นมาอย่างช้าๆ เผยให้เห็นกระถางขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กที่ปลูกพืชสีเขียวหยกต้นหนึ่ง บนปลายยอดของมันออกดอกตูมสีขาวดอกน้อยดูนุ่มนิ่มเหมือนก้อนเมฆน้อย
“ท่านยาย สิ่งนี้คือสิ่งใดหรือ” เฉียวเวยยื่นนิ้วมือทำท่าจะจิ้มดอกตูมสีขาวดอกน้อยดอกนั้น
แต่จีหมิงซิวมือไวตาไวคว้ามือนางได้ทัน “ห้ามแตะ หากแตะจะร่วง”
อวิ๋นจูพยักหน้า “หมิงซิวพูดถูกต้องแล้ว มันแตะต้องไม่ได้ ไม่เพียงคนแตะต้องไม่ได้เท่านั้น ต้องลมก็ไม่ได้ ต้องฝนก็ไม่ได้ แม้แต่แสงแดดโดนมากไปก็ไม่ได้…”
พูดจบนางก็หันไปมองจีหมิงซิว แต่เดิมอยากจะถามว่าเจ้าเคยเห็นมันหรือ แต่แล้วนางก็พบว่าเขากำลังหัวเราะจึงเปลี่ยนมาถามว่า “เจ้าหัวเราะอะไร”
จีหมิงซิวหัวเราะเบาๆ “ท่านเรียกชื่อของข้าแล้ว”
ใบหน้าของอวิ๋นจูมีความเขินอายผุดขึ้นมาจางๆ
เฉียวเวยผู้ไม่ละเอียดอ่อนไม่ทันสังเกตว่าท่านยายผู้เย็นชาประหนึ่งน้ำแข็งถูกหลานชายตัวน้อยหยอกล้อจนหน้าแดง นางก้มลงไปจ้องดอกไม้น้อยดอกนั้นเขม็ง “ท่านยาย เหตุใดท่านจึงเลี้ยงดอกไม้ที่บอบบางเช่นนี้เอาไว้เล่า”
อวิ๋นจูมองมันอย่างทะนุถนอม “นี่คือหญ้ามังกร”
เฉียวเวยงุนงง “มังกร หญ้ามังกรหรือ”
อวิ๋นจูค่อยๆ อธิบายต่อ “เล่ากันว่าเคยมีมังกรยักษ์บาดเจ็บตัวหนึ่งบินมาถึงที่แห่งนี้ เพราะบาดเจ็บหนักเกินไปมันจึงขยับตัวอีกไม่ไหว ร่างมังกรของมันสลายกลายเป็นเทือกเขาซึ่งก็คือเทือกเขาหมั่งฮวง ส่วนน้ำลายมังกรก่อกำเนิดต้นหญ้าน้อยต้นหนึ่ง นั่นก็คือหญ้ามังกร แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเพียงเรื่องเล่า ความจริงหญ้ามังกรก็คือสมุนไพรหายากต้นหนึ่ง”
“สมุนไพรต้นนี้มีสรรพคุณยอดเยี่ยมอันใดหรือ” เฉียวเวยถาม
อวิ๋นจูตอบว่า “มันรักษาอาการบาดเจ็บจากธนูจันทร์โลหิตได้”
ตอนนี้เฉียวเวยเริ่มไม่เข้าใจแล้ว
อวิ๋นจูเดินมาตรงหน้าเฉียวเวยแล้วถามว่า “สาวน้อยเจ้าเคยถูกธนูจันทร์โลหิตทำร้ายมาใช่หรือไม่”
อวิ๋นจูตอบว่า “เมื่อครู่ตอนข้าพูดว่ารักษาอาการบาดเจ็บจากธนูจันทร์โลหิตได้ หน้าของเจ้าเหมือนเขียนคำว่า ‘เหตุไฉนตอนนั้นข้าไม่รู้’ เอาไว้”
เฉียวเวยจับใบหน้าของตนเอง ชัดเจนปานนั้นเชียวหรือดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
อวิ๋นจูบอกว่า “ต้องธนูจันทร์โลหิตคันที่สองสินะ หากข้าเดาไม่ผิด เจ้าก็กินหญ้ามังกรเข้าไปถึงหายดีล่ะสิ”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “เอ่อ…ไม่ใช่นะเจ้าค่ะ ข้าดื่มน้ำผสมยันต์ถ้วยหนึ่ง”
อวิ๋นจูทำหน้ายิ้มๆ มองเฉียวเวย
ขมับของเฉียวเวยปูดนูนขึ้นมาทันใด กงซุนฉางหลีเจ้าสารเลว ยันต์บัดซบอะไร! ต้องตามหาสถานที่มีพลังหยินพิสุทธิ์บัดซบอะไร! ที่แท้ไปๆ มาๆ ก็แสร้งทำลึกลับหลอกลวงทั้งเพ! เขาให้นางดื่มน้ำหญ้ามังกรลงไปต่างหาก!
อวิ๋นจูครอบฝาแก้วลงไปเบาๆ “ข้ารู้ความลับของเหยาจีตั้งนานแล้ว”
เหยาจี คือนามของนางปีศาจเฒ่าตนนั้นหรือ ที่แท้นางปีศาจเฒ่าตนนั้นมีนามไพเราะเช่นนี้เชียว
อวิ๋นจูพูดต่อว่า “ธนูจันทร์โลหิตสังหารนางได้ แต่ก็จะทำร้ายท่านน้าของพวกเจ้าเช่นเดียวกัน หากไม่มีหญ้ามังกร ท่านน้าของพวกเจ้าคงไม่อาจรอด…หญ้ามังกรต้นนี้กว่าจะเลี้ยงให้รอดไม่ง่ายเลย ข้าเลี้ยงมานานหลายปี มีต้นนี้เพียงต้นเดียวที่ผลิดอกตูม”
เฉียวเวยเหมือนจะเข้าใจรางๆ แล้วว่าเหตุใดองค์หญิงเจาหมิงจึงไม่หยิบธนูจันทร์โลหิตมายิงฮองเฮาให้ตายไปเสีย ไม่ใช่ว่านางไม่มีหนทางยิงอีกฝ่ายให้ตาย แต่เพราะไม่อยากยิงน้องสาวคนเล็กของตนเองให้ตายตกไปด้วยกันต่างหาก
กู่เฉียนรู้เรื่องนี้หรือไม่
ระหว่างที่อวิ๋นจูกับลูกสาวของนางทุ่มเทพยายามเพื่อลูกสาวและน้องสาวของพวกนางอยู่ เขาผู้เป็นบิดาคนนี้ไปทำอะไรอยู่กัน!
เฉียวเวยถามอย่างมั่นใจ “ยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา ท่านต้องคอยเลี้ยงมันจึงไม่อาจออกไปจากสถานที่แห่งนี้ได้หรือ”
“เปล่า” อวิ๋นจูส่ายหน้า “ข้าเพิ่งหามันพบเมื่อหลายปีก่อน หลังจากหาพบแล้วจึงอาศัยอยู่ที่นี่ จะว่าไปแล้วเจ้าช่างโชคดีเสียจริง ข้าตามหามาตั้งนานหลายปีขนาดนี้ยังไม่เคยพบต้นที่โตเต็มที่แล้วแม้แต่ต้นเดียว”
เฉียวเวยคิดในใจ ภูตผีตนใดจะรู้ว่าเจ้ากงซุนฉางหลีนั่นไปหามาจากที่ไหน