หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 20-2 ความตายของฮองเฮา
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 20-2 ความตายของฮองเฮา
ตอนที่ 20-2 ความตายของฮองเฮา
อวิ๋นจูก้าวเดินด้วยท่าทีนิ่งสงบ นางหันไปมองเหยาจวิ้นผู้สวมหมวกปีกกว้างกับผ้าโปร่งบางปิดบังโฉมหน้าแล้วเอ่ยว่า “ระหว่างพวกเราสมควรจบเรื่องได้แล้ว ไม่ต้องให้เจ้าเปลืองแรงลงมือ ข้าจะเป็นคนส่งเจ้าลงนรกให้เอง”
เหยาจวิ้นยกมุมปากเหยียดหยัน “อวิ๋นจูเอ๋ยอวิ๋นจู เจ้ายังคิดว่าตนเองเป็นอัจฉริยะผู้มีความสามารถเลิศล้ำผู้นั้นในวันวานอยู่อีกหรือ อย่าลืมสิว่าหลายปีที่ผ่านมาเจ้าใช้ชีวิตมาอย่างไร”
อวิ๋นจูตอบอย่างเรียบเฉย “ต่อให้ข้าเสียวรยุทธ์ทั้งหมดไปแล้ว แค่จัดการเจ้าย่อมไม่ครณามือข้า”
เหยาจวิ้นหัวเราะหยัน “เจ้าอาศัยอะไรมาอวดดีเช่นนี้”
อวิ๋นจูตอบว่า “ก็อาศัยที่ข้าเกิดมาเป็นนายแห่งธนูจันทร์โลหิต แต่เจ้า กลับคู่ควรเป็นเพียงบ่าวของมันเท่านั้น”
สีหน้าของเหยาจวิ้นฉายแววโหดเหี้ยมในพริบตา
ความจริงแล้วคำพูดนี้ฟังดูไม่ชัดเจนนัก มันก็เหมือนถามผู้คนว่าคนเป็นนายเป็นบ่าวจะแบ่งแยกอย่างไร ทว่าเมื่อครุ่นคิดให้ละเอียดก็จะพบว่าพอมีเหตุผลอยู่บ้าง อวิ๋นจูเกิดมาก็ถือธนูจันทร์โลหิตได้ แต่พวกเขาผู้เรียกขานตนเองว่าศิษย์ผู้ยอดเยี่ยมเหล่านี้กลับต้องอาศัยพิธีบวงสรวงเพื่อหยิบยืมพลังของธนูจันทร์โลหิต
นี่คือความแตกต่าง! นี่คือโชคชะตา!
แต่เหยาจวิ้นผู้นี้ไม่เชื่อในโชคชะตา!
เหยาจวิ้นกำธนูจันทร์โลหิตในมือแน่น “วันนี้ข้าจะดูซิว่าผู้ใดกันแน่ที่เป็นนายท่านที่แท้จริงของธนูจันทร์โลหิต!”
มือซ้ายของเหยาจวิ้นกำธนูขึ้นมา มือขวาของอวิ๋นจูก็กำธนูขึ้นมาเช่นกัน ปลายนิ้วเหนี่ยวสายธนู แววตาวาวโรจน์ ยิงธนูใส่อีกฝ่ายในเวลาเดียวกัน…
…
ในเรือนฟางชุ่ยหยวน ผู้ใหญ่และเด็กน้อยทยอยกันตื่นจากนิทรา
คนแรกที่พบว่าอวิ๋นจูหายไปคือจูเอ๋อร์ เมื่อคืนจูเอ๋อร์ก่อกวนเฉียวเจิงทั้งคืน บังคับให้เฉียวเจิงย้อมขนของนางเป็นสีเงินทั้งหัว แล้วยังออดอ้อนผสมมารยาขอให้เฉียวเจิงทำธนูคันจิ๋วให้มันอีกหนึ่งคัน
มันถือธนูคันจิ๋วแล้วพาศีรษะที่ขนสั้นๆ ถูกย้อมเป็นสีเงินจนดูคล้ายเทพเซียน วิ่งไปที่ห้องของอวิ๋นจูอย่างพออกพอใจ แต่แล้วมันก็พบว่าในห้องว่างเปล่า
“เจี๊ยกกก!”
จูเอ๋อร์พองขน มันคว้าธนูคันจิ๋ววิ่งไปที่ห้องของเฉียวเวยแล้วกระโดดขึ้นไปบนเตียง มือสีดำอันน้อยตะปบลงไปก่อกวนเฉียวเวยกับจีหมิงซิวทันที
หลังจากทั้งสองลุกจากเตียงก็พบว่าอวิ๋นจูหายไปแล้ว ส่วนไปทำสิ่งใด ทั้งสองคนรู้แก่ใจดี และเหตุใดนางไม่พาพวกเขาไปด้วย ทั้งสองคนก็รู้ดีเช่นกัน
เฉียวเวยตั้งครรภ์อยู่ ส่วนจีหมิงซิวใช้กำลังภายในไม่ได้ ไม่ว่าผู้ใดก็สู้ไม่พาไปดีกว่า ฝ่ายเยี่ยนเฟยเจวี๋ย ไห่สือซานกับสือชีต่างก็ได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ก่อนหน้านี้ยิ่งไม่เหมาะจะพาไปข้างกาย ส่วนอาต๋าเอ่อร์กับราชันอสูรก็ต้องทิ้งเอาไว้เพื่อความปลอดภัยของพวกเขา
พวกเขาไม่อยากทรยศเจตนาดีของอวิ๋นจู แต่จะปล่อยนางไปบุกรังของนางปีศาจเฒ่าคนนั้นเพียงลำพัง พวกเขาก็วางใจไม่ลง
จีหมิงซิวจัดเรือนผมของเฉียวเวย “ข้ากับราชันอสูรจะออกเดินทางตามไปเอง เจ้ารอฟังข่าวจากข้าอยู่ที่บ้าน”
เฉียวเวยหยิบผ้าคลุมกันลมขึ้นมาสวมให้เขา ระหว่างที่มัดสายคาดเอวก็บอกว่า “เดินทางระวังด้วย”
จีหมิงซิวเชยใบหน้าน้อยงามพิลาสของนางขึ้นมาจุมพิตหนึ่งฟอด “กินบ๊วยมาหรือ”
เฉียวเวยแววตาวูบไหว “ข้าไม่ได้ท้องหรอกนะ ท่านพ่อของข้าว่างไม่มีอะไรทำก็เลยให้คนไปซื้อมา!”
จีหมิงยิ้มอย่างมีเลศนัยพลางจ้องมองนาง “ชอบกินหรือไม่”
เฉียวเวยไม่เสียเวลาคิดตอบว่า “แน่นอนสิ ของที่ท่านพ่อของข้ามอบให้ไม่มีสิ่งใดไม่อร่อย!”
ไม่รู้ว่าคำไหนในประโยคนี้ไปกระตุ้นโทสะของนายน้อยหมิงเข้าแล้ว
จีหมิงซิวก้มหน้าลงมา กระซิบแผ่วเบา “พูดอีกรอบสิ ผู้ใดมอบให้นะ”
เฉียวเวยถูกเขาทำเอาฉงนงงงวย
“ผู้ใดมอบให้ หืม”
“ท่านพ่อของข้าอย่างไรเล่า!”
ถามย้ำๆ เรื่องนี้ทำอะไรกัน
จีหมิงซิวยกมุมปากยิ้ม
เฉียวเวยเงยหน้าขึ้นมองอย่างมึนงง เจ้าหมอนี่คงไม่ได้ป่วยใช่หรือไม่
…
จีหมิงซิวกับราชันอสูรออกเดินทางได้ไม่นาน ปิงเอ๋อร์ก็ได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง
หลายวันที่ผ่านมายุ่งอยู่กับเรื่องลัทธิศักดิ์สิทธิ์จนเกือบลืมไปแล้วว่าบิดาของปิงเอ๋อร์ยังแอบซ่อนตัวอยู่ในเมืองเยี่ยเหลียง
กองทหารรักษาพระองค์ปิดเมืองเยี่ยเหลียงไว้ทั้งเมือง ฮองเฮากับกงซุนฉางหลีอาจหาวิธีออกไปได้ แต่อูมู่ตัวไม่มีความสามารถถึงขั้นนั้น เขามีอำนาจมากแค่ไหนก็เป็นเพียงผู้ดูแลคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ว่าจะวรยุทธ์ เส้นสายหรือเล่ห์เหลี่ยมล้วนมีไม่มากพอให้เขาลักลอบออกจาเมืองเยี่ยเหลียงได้
ดังนั้นอูมู่ตัวจึงเบนเป้าหมายมาที่ปิงเอ๋อร์
หนนี้ปิงเอ๋อร์ยอมมาสารภาพกับฟู่เสวี่ยเยียนอย่างเชื่อฟัง เฉียวเวยเองก็อยู่ด้วย
ฟู่เสวี่ยเยียนบอกว่า “ข้าจำได้ว่าเขาเหมือนจะถูกพิษ ขนาดเป็นเช่นนี้แล้วก็ยังไม่ตาย ช่างดวงแข็งเสียจริง”
เฉียวเวยหัวเราะเบาๆ บอกว่า “คนดีอายุไม่ยืน คนชั่วอายุยืนพันปี”
ปิงเอ๋อร์ก้มหน้า กำผ้าเช็ดหน้าอย่างเคร่งเครียด “ข้า…ข้าจะพูดกับเขาอย่างไรดี”
เฉียวเวยโพล่งออกมาทันที “พูดอะไร เจ้ายังจะไปพบเขาอีกหรือ”
ศีรษะของปิงเอ๋อร์ก้มหน้างุดกว่าเดิม
ผู้ใดอยากพบหน้าเดรัจฉานคนนั้น
แต่หากไม่ไปพบเขา…ก็กลัวว่าเขา…
เฉียวเวยมองมุมหนึ่งของจดหมายที่เห็นชัดว่าถูกฉีกออกไปแล้วแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ไม่ว่าผู้ใดก็มีความลับที่ไม่อยากป่าวประกาศให้ผู้อื่นรู้ เรื่องบางเรื่องในเมื่อปิงเอ๋อร์ไม่ยินดีเล่า พวกนางก็ไม่บังคับ ทว่าถึงปิงเอ๋อร์ไม่พูด เฉียวเวยก็พอจะเดาได้แล้วว่าบิดาเดรัจฉานคนนั้นข่มขู่ปิงเอ๋อร์ว่าอะไร ก็คงจะเป็นคำพูดทำนองว่า ‘หากเจ้าไม่มา ข้าจะทำอะไรๆ กับเจ้า’ ทำนองนั้น
มือของปิงเอ๋อร์จิกเข้าไปในเนื้อ “ถ้า…”
ถ้าฆ่าเขาไปเลยจะได้หรือไม่
ประโยคนี้ปิงเอ๋อร์พูดไม่ออกโ
ปิงเอ๋อร์รู้สึกว่าตนเองชั่วช้าเหลือเกิน นางถึงขั้นเกิดความคิดเช่นนี้กับบิดาบังเกิดเกล้าของตนเอง
เหตุไฉนนางจึงเลวทรามเช่นนี้
ปิงเอ๋อร์ปิดหน้า ร่ำไห้วิ่งออกจากห้องไป
“ปิงเอ๋อร์ ปิงเอ๋อร์!” ฟู่เสวี่ยเยียนอยากจะไล่ตามนางไป แต่ถูกเฉียวเวยห้ามไว้
เฉียวเวยดึงฟู่เสวี่ยเยียนกลับมานั่งบนเก้าอี้แล้วถอนหายใจบอกว่า “เรื่องที่นางไม่อยากให้เจ้ารู้ เจ้าก็อย่าบีบบังคับนางเลย”
ฟู่เสวี่ยเยียนเอ่ยอย่างชิงชัง “เดรัจฉานคนนั้น ไม่รู้ว่าเขาอะไรปิงเอ๋อร์กันแน่…”
เฉียวเวยรินน้ำอุ่นถ้วยหนึ่งให้ฟู่เสวี่ยเยียน “ไม่ว่าทำอะไรล้วนเป็นอดีตไปแล้ว สรุปก็คือจะปล่อยเขาไปไม่ได้ แต่เดิมหากเขาหลบซ่อนตัวอาจจะมีชีวิตรอดได้อีกวันสองวัน แต่ในเมื่อตอนนี้เขามารนหาที่ตายด้วยตนเอง ไม่สู้ทำให้เขาสมหวังเถิด!”
ฟู่เสวียเยียนแววตาชะงักไปทันที “เจ้าคิดจะไปสังหารเขาหรือ”
“อืม” เฉียวเวยพยักหน้าอย่างไม่เสียเวลาคิดแล้วหันไปมองฟู่เสวี่ยเยียน “เจ้าไม่เห็นด้วยหรือ”
“ข้าจะไม่เห็นด้วยได้อย่างไร แม้จะบอกว่าเขาเป็นบิดาของปิงเอ๋อร์ แต่เขาไม่ทำหน้าที่ของคนเป็นบิดา แล้วยังทำเลวทรามกับปิงเอ๋อร์เช่นนั้นอีก มีบางเรื่องข้าไม่กล้าคิดต่อเสียด้วยซ้ำ แต่ไม่ว่าข้าจะคิดหรือไม่คิด อูมู่ตัวคนนี้ถึงตายไปก็ไม่มีอะไรให้เสียดาย”
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “เจ้าคิดได้เช่นนี้ช่างดีเหลือเกิน ข้ายังกลัวว่าเจ้าจะเป็นห่วงปิงเอ๋อร์จนตัดใจให้ข้าไปสังหารเขาไม่ได้เสียอีก”
ฟู่เสวี่ยเยียนส่ายหน้า “จะเป็นไปได้อย่างไร เจ้าสังหารเขา ข้าคงขอบคุณเจ้าแทบไม่ทัน เพียงแต่ว่า…ดีเลวเขาก็เป็นผู้ดูแลคนหนึ่ง เจ้ามั่นใจหรือ”
“มั่นใจ”
หนึ่งเค่อหลังจากนั้นเฉียวเวยก็ปลอมตัวเป็นปิงเอ๋อร์พาต้าไป๋ไปยังสถานที่ที่อูมู่ตัวนัดกับปิงเอ๋อร์
ก่อนออกจากบ้านจูเอ๋อร์ทำท่าจะเป็นจะตายอยากตามมาให้ได้ แต่พอเห็นดวงตาเคืองแค้นเหมือนอยากจะเขมือบจูเอ๋อร์เข้าไปของเสี่ยวไป๋ เฉียวเวยก็ยัดจูเอ๋อร์ไปอยู่ในอ้อมแขนของเฉียวเจิงแต่โดยดี
สถานที่ที่อูมู่ตัวนัดคือทางเข้าออกของตลาดแห่งหนึ่ง ตอนเฉียวเวยมาถึงที่แห่งนั้นก็เห็นบุรุษสวมหมวกปีกกว้างรูปร่างคล้ายอูมู่ตัวคนหนึ่งแต่ไกล เฉียวเวยจึงก้าวเท้าเดินเข้าไปหา
อูมู่ตัวเห็นเงาคนทอดลงบนพื้นก็หันกลับมาเห็น ‘ปิงเอ๋อร์’ คิ้วขมวดเข้าหากันทันที ดวงตาฉายแววระแวดระวังวูบหนึ่ง จากนั้นเหลือบมองไปด้านหลังของ ‘ปิงเอ๋อร์’
เฉียวเวยทำเสียงแหบพร่าเอ่ยว่า “ไม่ต้องมองแล้ว ข้ามาคนเดียว”
นางพูดเป็นภาษาฮั่น ฝั่งอูมู่ตัวเองก็ฟังภาษาฮั่นเข้าใจ การที่พวกเขาพูดคุยเช่นนี้ไม่แปลกอันใด ในเมื่อยืนอยู่ในตลาดเยี่ยหลัวที่มีคนเดินพลุกพล่าน การพูดภาษาจงหยวนย่อมปลอดภัยกว่าพูดภาษาเยี่ยหลัวมาก
อูมู่ตัวสีหน้าผ่อนคลายลง เขาแย้มรอยยิ้มชั่วร้าย แต่แล้วครู่หนึ่งบนใบหน้าก็ปรากฏสีหน้าคลางแคลงขึ้นมาอีก “เสียงของเจ้าเป็นอะไรไป”
เฉียวเวยตอบโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าสักนิด “ต้องขอบคุณท่าน ข้าถึงเป็นหวัด ไอมาหลายวัน ไอจนคอเกือบพังอยู่แล้ว”
อูมู่ตัวเปลี่ยนมายิ้มประจบอย่างรวดเร็ว “พ่อไม่ดีเอง พ่อไม่ควรเรียกเจ้าออกมาวันที่หนาวขนาดนั้น”
เจ้าสุนัขบัดซบ นี่ใช่ปัญหาเรื่องอากาศหนาวไม่หนาวหรือไร
ในใจเฉียวเวยนึกภาพเอามีดเสียบเขาดังฉึกๆ ทว่าบนใบหน้ากลับแสร้งทำสีหน้ากังวลและหวาดกลัว เกลียดชังแต่ก็ไม่กล้าทำสิ่งใด “วันนี้ท่านมาหาข้า มีธุระอะไร”
อูมู่ตัวจะเข้าไปจับมือเฉียวเวย
เฉียวเวยขยับหลบอย่างรังเกียจ
อูมู่ตัวคว้าพลาดก็คลี่ยิ้ม แต่กลับไม่โมโห เพียงพูดว่า “เปลี่ยนที่คุยกันเถิดนะ”
เฉียวเวยมองเขา “คุยตรงนี้นี่แหละ”
อูมู่ตัวจ้องเฉียวเวย เฉียวเวยปล่อยให้เขามองสำรวจโดยไม่เผยสีหน้าใดๆ ทั้งสิ้น ถึงเฉียวเวยไม่คิดจะแสดงพิรุธ แต่นางก็ไม่คิดจะปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจเช่นกัน
บางทีอูมู่ตัวอาจจะร้อนใจอยากจะออกจากเมืองเหลือเกินแล้วจริงๆ เขาจึงไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ เขากดเสียงเบาลงเอ่ยกับเฉียวเวยว่า “ข้าต้องการออกจากเมือง”
เฉียวเวยถามว่า “ท่านจะออกจากเมืองแล้วมาหาข้าทำอะไร ท่านคงไม่คิดว่าสาวใช้ตัวเล็กๆ คนหนึ่งอย่างข้าจะช่วยท่านให้ออกจากเมืองเยี่ยเหลียงแห่งนี้ได้กระมัง”
อูมู่ตัวข่มขู่ “เจ้าไม่ต้องมาเสแสร้ง เจ้าเป็นน้องสาวของฟู่เสวี่ยเยียน เจ้าจะไม่รู้หรือว่าจะออกจากเมืองต้องทำอย่างไร ข้าไม่สน หากวันนี้เจ้าไม่ส่งข้าออกจากเมือง ข้าจะแฉเรื่องของเจ้า!”
เฉียวเวยเหลือบมองใบหน้าชั่วร้ายของเขา เปลวเพลิงลุกโหมขึ้นในใจ หากไม่ใช่เพราะเกรงว่าจะทำให้ชาวบ้านกับเด็กน้อยใกล้ๆ ตกใจกลัว นางคงชักดาบออกมาแทงเขาให้ตายแล้ว!
อูมู่ตัวยิ้ม “เป็นอย่างไร ขบคิดเสร็จแล้วหรือ ลูกสาวผู้ว่าง่ายของข้า”
เฉียวเวยมุมปากกระตุกแล้วเอ่ยตอบด้วยท่าทางไม่ยินยอมแต่ต้องข่มกลั้นเอาไว้ “ท่านตามข้ามา!”
อูมู่ตัวตามเฉียวเวยไป
รถม้าของเฉียวเวยจอดอยู่ในตรอก ตรอกแห่งนี้แม้จะอยู่กลางตลาดอันคึกคัก แต่เพราะรถม้าขวางอยู่ทำให้เดินผ่านไม่ได้จึงทำให้แลดูเงียบสงบเป็นพิเศษ
เฉียวเวยเดินนำอยู่ด้านหน้า พลางคำนวณระยะห่างจากคนด้านหลังไปด้วย