หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 21-1 ออกกระบวนท่า
ตอนที่ 21-1 ออกกระบวนท่า
ดวงตาของชายหนุ่มเกือบจะถลนออกมาแล้ว เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าใต้หล้าจะมีคนที่อำมหิตเช่นนี้อยู่ นั่นมันศีรษะมนุษย์นะ ไม่ใช่หัวผัดกาดขาวหัวหนึ่งที่นางบอกจะหั่นก็หั่น!
หลานสะใภ้ของนางกับเด็กในท้องหลานสะใภ้ยังอยู่ในกำมือของเขา แต่นางไม่หวั่นเกรงเลยสักนิด ไม่เพียงเท่านั้นนางยังยิงธนูใส่หลานสะใภ้ของตนเองอย่างเย็นชา นางบ้าไปแล้วจริงๆ!
ชายหนุ่มมองศพที่ตายอนาถทนดูไม่ได้บนพื้น ความโกรธในอกเริ่มพลุ่งพล่านจนไม่อาจประมาณ มือหนึ่งเขาถือโล่ อีกมือหนึ่งค่อยๆ บีบคอของเฉียวเวย แววตาวาวโรจน์ดุจคบเพลิงมองทะลุม่านเกล็ดหิมะหนาไปจับอยู่บนใบหน้าของอวิ๋นจู
เฉียวเวยไม่อาจกระดิกตัวได้ ทว่าแม้เป็นเช่นนี้ นางก็ยังสัมผัสได้ถึงไอสังหารอันแข็งแกร่งที่มาจากบนร่างของอีกฝ่าย ตลอดทางมาเขาใช้ใบหน้าของอูมู่ตัวพูดเล่นหัวเราะด้วยมาตลอดทาง ดูคล้ายกับเป็นบุรุษผู้อ่อนโยนและไร้ความโลภคนหนึ่ง แต่มาถึงเวลานี้นิสัยแท้จริงของเขาเปิดเผยออกมาหมดสิ้นแล้ว
เขาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยขึ้นว่า “อวิ๋นจู เจ้าบ้าไปแล้วจริงๆ ใช่หรือไม่!”
อวิ๋นจูจับจ้องเขาผ่านม่านหิมะบนท้องนภาจากไกลๆ “แล้วอย่างไร เจ้าทำอะไรข้าได้เล่า”
ชายหนุ่มโกรธจนสั่นไปทั้งตัว “เจ้าไม่กลัวข้าสังหารนางจริงหรือ!“
อวิ๋นจูโต้ว่า “นั่นก็ต้องดูว่าเจ้ามีความสามารถนั้นหรือไม่”
ชายหนุ่มถูกยั่วโมโหจนใกล้จะสติหลุดแล้ว มือข้างนั้นที่บีบคอเฉียวเวยอยู่เริ่มออกแรงขึ้นมาจริงๆ “อวิ๋นจู ข้าไม่เคยคิดจะทำอะไรกับเจ้า แต่ในเมื่อเจ้าไม่รู้จักเจตนาดีของผู้อื่นเช่นนี้ ก็อย่ามาโทษว่าข้าไร้ไมตรี!”
กล่าวจบ ลมปราณของเขาก็ระเบิดอกมาจากทั่วร่างเห็นชัดว่าตัดสินใจจะสังหารเฉียวเวยแล้ว
ด้วยระยะห่างระหว่างอวิ๋นจูกับเขา อวิ๋นจูคิดจะรีบเร่งเข้ามาช่วยเฉียวเวยจากมือเขาย่อมเป็นไปไม่ได้แม้แต่น้อย
เขาเพิ่มแรงที่มือพร้อมกับเผยสีหน้าสะใจที่ได้แก้แค้นออกมาด้วย
ทว่าในตอนที่เขาคิดจะให้อวิ๋นจูได้ลิ้มรสความรู้สึกที่คนใกล้ตัวถูกสังหารแต่ตนเองอับจนหนทางช่วยนั่นเอง อวิ๋นจูก็ง้างธนูจันทร์โลหิตอีกครั้งแล้วยิงมาใส่เฉียวเวย!
‘ธนู’ ดอกนี้ดุดันรวดเร็วยิ่งกว่าธนูดอกใดๆ ก่อนหน้า พายุหิมะทั่วทั้งนภาราวกับถูกข่มขวัญ พวกมันแหวกออกเป็นทางเส้นหนึ่งโ
ชายหนุ่มเบิกตากว้าง มองกำลังภายในไร้รูปลักษณ์สายนั้นขี่สายลมแหวกหิมะพุ่งทะยานเข้ามาหาทั้งสองคน
พลังของธนูจันทร์โลหิตแข็งแกร่ง มันไร้ลูกธนูแต่กลับเหนือกว่าลูกธนูนับร้อย ฉากหน้ามันเล็งมาที่เฉียวเวย ท่าทุกสิ่งในระยะสิบเมตรรอบตัวเฉียวเวยล้วนอยู่ในรัศมีพลังของมันทั้งหมด หากอวิ๋นจูเล็งที่ชายหนุ่ม เฉียวเวยย่อมต้องลงสุสานไปด้วยกัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้นางจึงเล็งที่เฉียวเวยแทน เมื่อเป็นเช่นนี้ชายหนุ่มจึงมีทางเลือกเพียงสองทาง ไม่ทิ้งเฉียวเวยแล้วพาตัวเองหนีไป ก็ต้องช่วยเฉียวเวยบังการโจมตีหนนี้เอาไว้
เขาสมควรทิ้งเฉียวเวยแล้วปล่อยให้อวิ๋นจูยิงหลานสะใภ้ของตนเองตาย ให้อวิ๋นจูลิ้มรสชาติความเจ็บปวดจนไม่อยากมีชีวิตอยู่
ทว่าอวิ๋นจูยิงธนูออกมาโดยไม่ออมแรงสักนิดเช่นนี้พลันทำให้คนอดสงสัยไม่ได้ว่าในใจของอวิ๋นจูใส่ใจหลานสะใภ้คนนี้จริงหรือไม่
หากไม่ใส่ใจ ถ้าเช่นนั้นนางตายหรือไม่ตาย จะมีผลอะไรกับอวิ๋นจูเล่า
หากเล่นงานอวิ๋นจูไม่ได้ แต่เสียจั๋วหม่าน้อยคนหนึ่งไปเปล่าๆ การแลกเปลี่ยนหนนี้ย่อมไม่คุ้มจริงๆ
ในเมื่อเสียเหยาจวิ้นไปแล้ว หนี้เลือดหนนี้ย่อมต้องมีคนมาชดใช้ อวิ๋นจูไม่ชดใช้ เช่นนั้นก็ต้องเป็นคนอื่น!
อวิ๋นจูไม่ใส่ใจความเป็นความตายของจั๋วหม่าน้อย แต่ชนเผ่าลึกลับคงใส่ใจกระมัง จีหมิงซิวคงใส่ใจกระมัง
เมื่อความคิดผุดขึ้นมา ชายหนุ่มก็ทิ้งความคิดที่จะสังหารเฉียวเวยระบายโทสะ เขายกโล่ในมือขึ้นมาบังการโจมตีของอวิ๋นจู
อวิ๋นจูเร็วมาก นางส่งการโจมตีหนที่สอง หนที่สาม จนไปถึงหนที่ห้าหกเจ็ดแปดออกมา ทุกครั้งถูกโล่ในมือของชายหนุ่มขวางเอาไว้ทั้งหมด
เฉียวเวยใช้ปลายหางตาเหลือบมองโล่สำริดชิ้นนั้น นี่คืออาวุธวิเศษอะไรกันถึงขวางธนูของท่านยายได้นานถึงเพียงนี้
แต่ขวางมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว เพราะแขนของเขาชาไปหมดแล้ว
ชายหนุ่มซัดอาวุธลับออกมาหลายชิ้นอย่างรดวเร็ว เขาฉวยจังหวะที่อวิ๋นจูบังอาวุธลับ คว้าตัวเฉียวเวยแล้วสะกิดปลายเท้าใช้วิชาตัวเบาเหินกลับไปยังยอดเขาเชียนหลวน
ยอดเขาเชียนหลวน งดงามประณีตกว่าฐานของเหยาจวิ้นมาก ไม่ว่าจะตำหนักห้องหอ ศาลาหรือสระน้ำใสล้วนสร้างขึ้นราวกับตำหนักบนแดนสวรรค์ ชายหนุ่มเลือกเรือนอันงดงามวิจิตหลังหนึ่งมาขังเฉียวเวยไว้ในห้องอย่างเย็นชา
เฉียวเวยสงสัยอย่างยิ่งว่าความจริงเจ้าหมอนี่น่าจะอยากหาห้องเก็บฟืนสักห้องให้นางมากกว่า เพียงแต่ว่าในอาณาเขตของเขาห้องหับแต่ละแห้งล้วนงดงามเป็นพิเศษ ดังนั้นนางจึงได้รับการต้อนรับเสมือนแขกคนสำคัญเช่นนี้
ชายหนุ่มตามเข้ามาในห้องด้วย พอเฉียวเวยไปหาเก้าอี้ตัวหนึ่งนั่งลงได้ เงยหน้าขึ้นมาอีกหนก็พบว่าใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปแล้ว
นี่เป็นดวงหน้าที่หล่อเหลาจนทำให้คนหายใจติดขัด ผิวขาวผ่องดุจหิมะ เครื่องหน้าทั้งห้างามดุจหยกสลักเสลา ใต้ดวงตาข้างขวามีไฝสีแดงทำให้คนผู้นี้แลดูอ่อนหวานและเศร้าศร้อยเพิ่มขึ้นหลายส่วนในพริบตา
ร่างกายของเขาไม่เตี้ยแกร็นเหมือนอูมู่ตัวอีกต่อไป แต่มันสูงใหญ่ผึ่งผายประหนึ่งต้นสน
แม้แต่เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ก็เปลี่ยนไปแล้ว เขาสวมอาภรณ์ตัวยาวสีขาวนวล แขนเสื้อกว้างประหนึ่งเมฆาพลิ้วไหวงดงามยิ่งนัก
หากไม่รู้จักอี้เชียนอินมาก่อน เฉียวเวยคงคิดว่าตนเองเจอผีเข้าแล้ว แต่เฉียวเวยเคยเห็นความสามารถในการแปลงโฉมหดกระดูกเช่นนี้จากอี้เชียนอินมาก่อนแล้ว นางจึงยอมรับเรื่องนี้ได้อย่างง่ายดาย
สิ่งเดียวที่ทำให้เฉียวเวยฉงนก็คือ ฟังจากคำพูดระหว่างเขากับอวิ๋นจู เขาน่าจะรู้จักกับอวิ๋นจูมานานแล้ว ต่อให้เขาจะอายุไม่เท่ากับอวิ๋นจู แต่ดีเลวก็น่าจะอายุพอๆ กับบิดาของนาง ทว่าใบหน้านี้ของเขาอ่อนเยาว์มาก
ทว่าอ่อนเยาว์แล้วอย่างไร สุดท้ายก็เป็นแมลงเน่าเหม็นของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่หรือ
เฉียวเวยแค่นเสียงหยัน ผินหน้าหลบอย่างเย็นชา
ชายหนุ่มจ้องใบหน้าด้านข้างของนางเขม็ง ยิ่งมองสายตาก็ยิ่งเย็นชา ทว่าไม่รู้เขานึกสิ่งใดขึ้นมาได้จึงหัวเราะหยันออกมา
ตอนนี้เฉียวเวยไม่ถามหรอกว่าเขาหัวเราะอะไร เฉียวเวยไม่คิดจะสนใจเขาสักนิด!
ชายหนุ่มหัวเราะ “จั๋วหม่าน้อยช่างใจกล้าและรู้จักดูสถานการณ์จริงๆ เป็นเชลยถูกจับมาขังแล้วยังสุขุมเช่นนี้ จั๋วหม่าน้อยไม่กังวลว่าข้าจะทรมานท่านหรือ”
เฉียวเวยยิ้มเฉยชา “ข้ากังวลแล้วเจ้าจะไม่ทรมานข้าหรือไร ข้าคุกเข่าขอร้องแล้วเจ้าจะปล่อยข้าไปหรือไม่เล่า”
ชายหนุ่มตอบว่า “ไม่อย่างแน่นอน”
เฉียวเวยกลอกตาอย่างหมดคำจะถูด “ไม่ แล้วเจ้าจะพูดเรื่องนี้กับข้าทำอะไร”
ชายหนุ่มหัวเราะหยัน “ท่านไม่กลัวจริงๆ สินะ”
เฉียวเวยเอนพิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน บนพนักเก้าอี้ปูหนังสัตว์เอาไว้ทำให้อบอุ่นและนุ่มสบาย “ข้ากลัวไม่กลัวเกี่ยวอะไรกับเจ้า หากกลัวแล้วจะทำให้เจ้ารู้สึกดีขึ้นมาบ้าง…ถ้าเช่นนั้น ข้าขอบอกเจ้าว่าข้าไม่กลัวสักนิด!”
ชายหนุ่มมุมปากกระตุก ไม่นานก็หัวเราะอย่างชั่วร้ายอีกครั้ง “จั๋วหม่าน้อยไม่จำเป็นต้องฝืนแสร้งทำตัวสุขุมหรอก ข้ารู้ว่าท่านโศกเศร้า”
ในสมองของเฉียวเวยผุดเนื้อเพลงประโยคหนึ่งขึ้นมาทันใด ‘ฉันรู้ว่าเธอโศกเศร้า[1]…’
ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ “ไม่ว่าผู้ใดถูกครอบครัวของตนเองทอดทิ้งย่อมโกรธแค้น ความจริงท่านอย่าเก็บมาใส่ใจให้มากเกินไปนักเลย บุตรสาวของอวิ๋นจูถูกเหยาจีทำร้ายจนตาย นางรอคอยมานานเหลือเกินเพื่อแก้แค้นเหยาจี จะไม่สนความเป็นความตายของท่านก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้”
คำพูดนี้เปลือกนอกฟังเหมือนจะแก้ตัวแทนอวิ๋นจู แต่เมื่อขบคิดให้ถี่ถ้วนจะพบว่านี่คือการยุแยงตะแคงรั่วอย่างชาญฉลาดไม่ใช่หรอกหรือ
คิดจะบอกว่าอวิ๋นจูเห็นคนตายคนหนึ่งสำคัญกว่าคนที่มีชีวิตอยู่เช่นนางสินะ ยังไม่ต้องพูดว่าอวิ๋นจูไม่ได้คิดแบบนั้นจริงๆ ต่อให้คิดจริง ในมุมมองของเฉียวเวยก็รู้สึกว่ามีเหตุผลพอให้อภัยได้
เจาหมิงเป็นบุตรสาวของอวิ๋นจู ท่านน้าก็ใช่ ทั้งสองคนแต่เดิมสมควรเป็นบุตรสาวที่ไร้ทุกข์ไร้กังวล แต่กลับถูกเหยาจวิ้นทำร้ายจนมีสภาพเป็นเช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็นนาง นางก็คงไม่เสียดายว่าจะต้องแลกสิ่งใดเพื่อฉีกเหยาจวิ้นเป็นชิ้นๆ
ยิ่งไปกว่านั้นบุรุษคนนี้เจ้าเล่ห์ชั่วช้าถึงเพียงนี้ คำพูดที่บอกว่าจะแลกเปลี่ยนอย่างยุติธรรมของเขาจะเป็นการแลกเปลี่ยนอย่างยุติธรรมได้จริงหรือ หากเขาเป็นคนยุติธรรมคนหนึ่ง ตั้งแต่เริ่มแรกก็คงไม่คิดแผนการชั่วช้าเช่นนี้ออกมาแล้ว
เฉียวเวยหันไปมองเขาด้วยใบหน้าที่คลี่ยิ้มแต่ไม่เหมือนยิ้ม “คิดจะยุแยงข้ากับอวิ๋นจูให้แตกคอกันข้าขอบอกเจ้าว่าอย่าเสียแรงเปล่าเลย อีกไม่นานท่านยายของข้าก็จะบุกขึ้นมาที่ยอดเขาเชียนหลวน หากไม่อยากตายในมือท่านยายข้าเหมือนเหยาจวิ้น ก็จงรีบรวบรวมลูกน้องของเจ้าประชุมหาวิธีรับมือเสียเถิด”
ชายหนุ่มว่าอย่างเหยาะหยัน “นางไม่สนใจความเป็นความตายของเจ้าแล้ว เจ้ายังเพ้อฝันหวังว่านางจะมาช่วยเจ้าอีกหรือ”
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “ประมุขเย่ว์หวา ท่านโง่จริงหรือแกล้งโง่เล่า”
[1]ฉันรู้ว่าเธอโศกเศร้า เป็นเนื้อเพลงท่อนหนึ่งในเพลงฉันรู้ว่าเธอโศกเศร้า (我知道你很难过) ของนักร้องสาวชาวไต้หวัน ไช่อีหลิน (蔡依林) หรือโจลิน ช่าย (Jolin Tsai)