หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 21-2 ออกกระบวนท่า
ตอนที่ 21-2 ออกกระบวนท่า
สีหน้าของชายหนุ่มแข็งทื่อไปแล้ว เขาแค่นเสียงหยันเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าคิดว่าข้ากลัวนางจริงหรือ สาเหตุที่นางเก่งกาจถึงเพียงนั้นก็เพราะว่านางมีธนูอันล้ำเลิศคันหนึ่งอยู่ในครอบครองก็เท่านั้น หากไร้ธนูจันทร์โลหิตแล้ว แม้แต่ลูกศิษย์ของประมุขคนนี้นางก็สู้ไม่ได้!”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ในเมื่อเจ้ามั่นใจถึงเพียงนี้ ถ้าเช่นนั้นก็รีบไปแย่งธนูของท่านย้ายข้าเสียสิ! เจ้าไปแย่งสิ! ไปเลย!”
หากแย่งได้ ก็นับว่าข้าแพ้!
ชายหนุ่มหัวเราะอย่างดูแคลน แล้วตอบอย่างสบายๆ “ต่อให้นางมีธนู ข้าก็ไม่กลัวนาง”
ไม่กลัวเจ้าก็ไปสู้สิ ต้องมาเถียงข้าด้วยหรือ
เฉียวเวยคร้านจะสนใจเขา
แน่นอนว่าผู้ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งประมุขของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ได้ย่อมมีพลังที่มิอาจดูแคลน แม้แต่เหยาจวิ้นอะไรคนนั้น อวิ๋นจูก็ต้องใช้เวลาตั้งเนิ่นนานหลายปีกว่าจะสังหารได้ไม่ใช่หรือ แม้จะเป็นเพราะถูกเหยาจวิ้นฉวยช่องว่างแฝงตัวมาอย่างไม่ทันระวังและการแฝงตัวเหมือนจะเป็นความสามารถของเหยาจวิ้น แต่ถึงอย่างไรประมุขเย่ว์หวาคนนี้ก็ดูเหมือนจะมีความสามารถเหนือกว่าเหยาจวิ้นอย่างเห็นได้ชัด
พอคิดเช่นนี้เฉียวเวยก็กังวลแทนอวิ๋นจูขึ้นมาเล็กน้อย ไม่ว่าอย่างไรอวิ๋นจูก็วุ่นวายกับการตามหาสมุนไพรอยู่หลายปี ไม่ได้เก็บตัวฝึกฝนยกระดับกำลังภายในสักเท่าใด แล้วเมื่อครู่ยังเสียเรี่ยวแรงไปมากมายอีก หากตอนนี้บุกมาจริงๆ ในขณะที่เจ้าหมอนี่นั่งเฝ้าตอรอกระต่าย สถานการณ์ฝั่งอวิ๋นจูก็ดูไม่ดีอย่างยิ่ง
แน่นอนว่าถึงในใจนางจะกังวลเช่นนี้ แต่บนสีหน้าไม่เผยให้เห็นพิรุธแม้แต่น้อย
เฉียวเวยหลับตาลงแล้วหาวเบาๆ
ชายหนุ่มเห็นนางทำท่าสบายอารมณ์เช่นนี้ ดวงตาก็ฉายแววเย็นชาขึ้นมาวูบหนึ่ง “เจ้าไม่กลัวข้าสังหารเจ้าจริงหรือ”
เฉียวเวยลืมตามองเขาแล้วยิ้มน้อยๆ “หากเจ้าอยากให้ข้าตาย ตอนท่านยายยิงธนูใส่ข้าก็ทิ้งข้าให้ตายก็ได้ แต่เจ้าไม่ทำเช่นนั้น เจ้ายอมเปลืองกำลังภายในเสี่ยงช่วยข้าจากธนูของท่านยาย ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะตัดใจปล่อยให้ข้าตายไม่ลงกระมัง”
ชายหนุ่มหรี่ตา ยิ้มอย่างชั่วร้าย “ถึงจะไม่ปล่อยให้เจ้าตาย แต่ให้เจ้าทรมานนิดๆ หน่อยๆ ก็ยังได้อยู่นะ”
กล่าวจบ เขาก็สั่งการเป็นภาษาเยี่ยหลัวหนึ่งประโยค ศิษย์คนหนึ่งยกถาดใบหนึ่งเดินเข้ามา บนถาดมีมีดสั้นเล่มหนึ่งกับขวดยาใบน้อยขวดหนึ่งวางอยู่
สายตาของเฉียวเวยกวาดมองผ่านมีดสั้นกับขวดยา นางเข้าใจแล้วว่าเจ้าหมอนี่เอาจริง เขาลักพาตัวนางมาก็เพราะรู้สึกว่านางมีค่าพอให้ใช้ประโยชน์ แต่ขอเพียงนางไม่ตาย คุณค่าของนางก็ยังคงอยู่ จริงอย่างที่เขาว่าทรมานสักนิดสักหน่อยย่อมทำได้
เฉียวเวยหันไปมองเขาอย่างเย็นชา
ชายหนุ่มยิ้มอย่างพออกพอใจ “ในที่สุดก็กลัวแล้วหรือจั๋วหม่าน้อย จำไว้ ทุกสิ่งนี้เป็นเพราะท่านยายของเจ้า หากไม่ใช่เพราะนางทอดทิ้งเจ้า เลือกสังหารเหยาจี เจ้าก็คงไม่ต้องมาทนรับความทุกข์ทรมานนี้”
เฉียวเวยเอ่ยว่า “เจ้าคงรู้ใช่หรือไม่ว่าหากแตะต้องข้าแล้ว ผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร”
ชายหนุ่มหยิบขวดยาขึ้นมา เจ้าพูดถึงสามีที่ต้องพิษฝ่ามือคนนั้นของเจ้าหรือมารดาที่หายตัวไปไหนไม่รู้ของเจ้าเล่า“
เฉียวเวยมองการเคลื่อนไหวของเขา “เจ้าจะต้องเสียใจ ย่อมมีสักวันที่สามีข้าแก้พิษได้ มารดาของข้าก็ต้องกลับมาอย่างแน่นอน หากพวกเขารู้ว่าเจ้าข่มเหงรังแกข้า…”
ชายหนุ่มเปิดจุกขวดเทของเหลวสีส้มแดงออกมาอาบบนคมของมีดสั้น แล้วถามย้อนอย่างไม่เกรงกลัวสักนิด “เจ้ารู้ได้อย่างไรเล่าว่าพวกเขาจะไม่ยอมคุกเข่าขอร้องข้าเพื่อไถ่ตัวเจ้ากลับไป”
เฉียวเวยอยากหัวเราะใส่หน้าเขาจริงๆ!
หมิงซิวกับมารดาของนางน่ะหรือจะคุกเข่าขอร้องเขา
เขาคิดว่าตัวเองเป็นเทพเจ้าบนสวรรค์หรือไร!
ชายหนุ่มเป่าของเหลวบนใบมีด แล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน “ฝีมือข้าดียิ่ง มันจะไม่เจ็บมากหรอก ข้าเพียงจะวาดบุปผาสักดอกให้เจ้าเท่านั้น ดูใบหน้าน้อยของเจ้าสิ หากมีบุปผาสักดอกเพิ่มขึ้นมาคงจะยิ่งงดงามใช่หรือไม่”
หัวใจของเฉียวเวยเย็นวาบ เจ้าหมอนี่มันโรคจิต! โรคจิตกว่าเหยาจวิ้นไม่น้อยเลยทีเดียว!
ชายหนุ่มสกัดจุดของเฉียวเวยแล้วบีบปลายคางของเฉียวเวยไว้ “วาดฝั่งไหนของใบหน้าดีกว่านะ หน้าด้านซ้ายหรือหน้าด้านขวาดี”
“นายท่าน!”
ศิษย์คนหนึ่งเดินเข้ามา
ชายหนุ่มหันกลับไปมองเขา แล้วถามอย่างไม่ทุกข์ร้อน “มีอันใด”โ
ศิษย์มองคนแปลกหน้าในห้องอย่างลังเลวูบหนึ่ง
ชายหนุ่มปล่อยเฉียวเวย แล้วเดินไปที่ประตู ศิษย์รายงานเสียงเบาหลายประโยค
ชายหนุ่มหันกลับมายิ้มน้อยๆ ให้เฉียวเวย “นับว่าเจ้าโชคดี ข้ามีแขกมาพบ หลังจากนี้ค่อยกลับมาต้อนรับเจ้า”
“เดี๋ยวก่อน” เฉียวเวยเรียกเขาไว้
“มีสิ่งใด” เขาถาม
เฉียวเวยว่า “ข้าหิวแล้ว เจ้าคลายจุดให้ข้า แล้วให้คนยกอาหารเข้ามาหน่อย แล้วก็เพียงพอนของข้า มันก็ต้องกินอะไรเหมือนกัน!”
ชายหนุ่มซัดฝ่ามือส่งสายลมหอบหนึ่งข้ามห้องมาคลายจุดให้นาง “เพียงพอนตัวนั้นเจ้าไม่ต้องสนใจมันแล้ว ส่วนอาหารข้าจะให้คนยกเข้ามา”
ชายหนุ่มเดินจากไปได้ไม่นานก็มีศิษย์ยกกล่องอาหารกล่องหนึ่งเข้ามาจริงๆ
เฉียวเวยฉวยโอกาสที่ศิษย์เดินเข้ามาเหลือบมองยามที่เฝ้าเรือนอยู่ ไม่ได้มีแต่ลูกศิษย์ แต่มีนักรบมรณะด้วย มีมากถึงยี่สิบสามสิบคน มากกว่าที่นางคิดเอาไว้มากนัก
…
ในตำหนักด้านหน้า ชายหนุ่มเห็นแขกที่มาเยือนโดยไม่ได้รับเชิญแล้ว แขกผู้นั้นสวมอาภรณ์สีแดงทั้งร่าง สวยสดงามจับตา ผิวประหนึ่งหิมะ เส้นผมดั่งแพรไหม งามเลิศล้ำโดดเด่นจากคนธรรมดา ถึงแม้ว่าใบหน้าของชายหนุ่มจะกล่าวได้ว่างามล่มเมืองแล้ว ทว่าเมื่อเทียบกับแขกผู้มาเยือนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในตำหนักประหนึ่งทวยเทพ ชายหนุ่มก็ดูเหมือนจะขาดบรรยากาศงดงามสูงส่งเช่นอีกฝ่ายไปอยู่บ้าง
ชายหนุ่มจ้องอีกฝ่ายเขม็ง ดวงตาฉายความรู้สึกที่ยากจะจับได้เพียงชั่วครู่ ไม่นานก็ยกยิ้ม ก้าวเท้าข้ามธรณีประตูเข้าไป “ฉางหลีนี่เอง ไม่พบหน้ากันเสียนาน ลมอันใดหอบเจ้ามากันเล่า”
กงซุนฉางหลีจิบน้ำชาใสที่ลูกศิษย์ชงให้หนึ่งคำ “ผู้ดูแลอูหายตัวไป ข้าเดินทางไปเมืองเยี่ยเหลียงเพื่อสืบข่าวมารอบหนึ่ง เมื่อครู่เดินทางผ่านยอดเขาชังมั่ว พบว่าที่นั่นหมือนจะมีเรื่องอันใดเกิดขึ้น ข้าจำได้ว่ายอดเขาชังมั่วอยู่ห่างใกล้กับอาณาเขตของประมุขเย่ว์หวา จึงแวะมาถามไถ่ประมุขเย่ว์หวาว่าพบเรื่องยุ่งยากอันใดเข้าหรือไม่”
ชายหนุ่มนั่งลงฝั่งตรงข้ามของกงซุนฉางหลี เขาถอนหายใจแผ่วเบาแล้วบอกว่า “มิใช่ข้าหรอกที่เกิดเรื่อง ประมุขเหยาจีต่างหาก”ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
กงซุนฉางหลีอุทาน “โอ๊ะ”
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “ไม่ขอปิดบัง ยอดเขาชังมั่วเป็นอาณาเขตของประมุขเหยาจี”
ชายหนุ่มตอบว่า “คนที่รู้เรื่องนี้มีไม่มาก”
กงซุนฉางหลีวางถ้วยลง มีลูกศิษย์ก้าวเข้ามารินชาร้อนให้ประมุขของตนเองจนเต็มถ้วย เยี่ยหลัวมีวัฒนธรรมการชงชา แต่ที่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์พวกเขาดื่มแต่ชาของจงหยวน
กงซุนฉางหลีถามขึ้นว่า “ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับประมุขเหยาจีหรือ”
ชายหนุ่มข่มความเคืองแค้นตอบว่า “นางถูกคนสังหารไปแล้ว”
ใบหน้าของกงซุนฉางหลีเผยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย “มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นหรือ ผู้ใดกันใจกล้าถึงเพียงนั้น กล้าล่วงเกินประมุขของลัทธิศักดิ์สิทธิ์”
เมื่อเอ่ยถึงอวิ๋นจู โทสะของชายหนุ่มก็ลุกโหม “สตรีบ้านางหนึ่ง เจ้าไม่รู้จักหรอก”
กงซุนฉางหลีเอ่ยว่า “ประมุขเหยาจีกับประมุขเย่ว์หวาสนิทสนมกันดุจพี่น้อง นางเกิดเรื่องขึ้น ประมุขเย่ว์หวาคงจะโศกเศร้าอย่างยิ่ง มิทราบว่าเจ้าคนถ่อยผู้นั้นหนีรอดไปได้หรือไม่ ต้องการให้ข้าลงมือช่วยจับนางหรือไม่”
ชายหนุ่มถอนหายใจ “ไม่จำเป็น เรื่องนี้ข้ามีแผนการของตนเองอยู่ ฝั่งลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ข้าก็จะแวะไปดูแลด้วยตนเอง วันนี้ข้ายังมีธุระต้องสะสางอีกมาก คงไม่มีเวลาต้อนรับเจ้ามากนัก วันหน้าหากมีเวลาว่างค่อยเชิญเจ้ามาเป็นแขกที่ยอดเขาเชียนหลวนใหม่”
กงซุนฉางหลีไม่พูดอันใด เพียงพยักหน้าตอบรับ
กงซุนฉางหลีกำลังจะลุกขึ้นจากไป ในตอนนี้เองศิษย์คนหนึ่งก็ผลุนผลันก้าวเข้ามาคำนับประมุขเย่ว์หวาแล้วรายงานว่า “นายท่าน ที่ตีนเขามีสตรีบ้านางหนึ่งทำร้ายศิษย์ของพวกเราไปมากมาย บอกว่าให้นายท่านส่งตัวใครบางคนออกมา”
สายตาของกงซุนฉางหลีเลื่อนมาจับบนใบหน้าของบุรุษคนนั้นเหมือนไม่ตั้งใจ คล้ายกับว่าประหลาดใจที่เขาจับตัวใครมา
ชายหนุ่มไม่ให้คำตอบอันใดกับเขา แต่หันไปมองกงซุนฉางหลีแล้วบอกว่า “ขายหน้าเจ้าแล้ว ข้าไปจัดการก่อน เจ้าออกไปทางประตูข้างเถิด ข้าไม่ส่ง”
กงซุนฉางหลีพยักหน้า “ได้”
ชายหนุ่มพาศิษย์จากไป
กงซุนฉางหลีเดินออกจากตำหนักหน้า
อวิ๋นจูก่อเรื่องใหญ่โต ศิษย์มากกว่าครึ่งจึงไปพิทักษ์ประตูใหญ่ด้านหน้า ภายในเขาเชียนหลวนจึงดูว่างเปล่าพอสมควร
กงซุนฉางหลีไม่ได้มุ่งหน้าไปประตูด้านข้าง แต่เดินเลี้ยวไปยังตำหนักนอนของประมุขเย่ว์หวา
ภายในตำหนักนอนของประมุขเย่ว์หวา แม้แต่ห้องเก็บฟืนก็ยังตกแต่งอย่างโอ้อวดด้วยหยกทองคำและอิฐแดง ต้าไป๋หมอบอ่อนแรงอยู่บนอิฐแดง กรงเล็บสี่ข้างของมันถูกโซ่เหล็กมัดไว้ อยากหนีก็หนีไม่ได้
กงซุนฉางหลีดีดนิ้วหนึ่งหน ศิษย์ที่เฝ้าประตูอยู่ก็ล้มลงไปกองกับพื้น
กงซุนฉางหลีหยิบกุญแจจากตัวของเขามาปลดโซ่เหล็กที่มัดต้าไป๋
ต้าไป๋เปิดเปลือกตาขึ้นมองเขาสองหน แล้วก้าวเท้ามาข้างหน้าก้าวหนึ่งอย่างลองเชิง จากนั้นจึงเลี้ยวเปลี่ยนทิศ เมื่อเห็นเขาไม่ไล่ตามมาจึงหยั่งเชิงลองขยับอีกหนึ่งก้าว เมื่อเขายังไม่ไล่ตามมาอีก ต้าไป๋จึงเริ่มมีความกล้า วิ่งแผ่นแผล็วออกไปข้างนอก!