หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 22-2 เผาให้วอด!
ตอนที่ 22-2 เผาให้วอด!
เมื่อฝึกถึงขั้นที่เก้า หมายความว่าจีหมิงซิวจะขับพิษฝ่ามือในร่างออกไปได้ ทว่าพิษฝ่ามือที่ถูกกดไว้นานปีใช่ว่าจะขับออกมาได้ง่ายๆ หากเส้นลมปราณไม่แข็งแกร่งและยืดหยุ่นพอก็อาจจะขาดสะบั้นเพราะแรงปะทะมหาศาลของพิษฝ่ามือได้อย่างง่ายดาย
ตอนนี้เฉียวเวยรู้สึกโชคดีที่พวกเขาไม่พบตำราเล่มนั้นเร็วกว่านี้ พวกเขาไม่รู้รายละเอียดเหล่านี้ หากดันทุรังแก้พิษไปทั้งอย่างนั้น ไม่แน่ว่าเส้นลมปราณของหมิงซิวอาจขาดสะบั้นจนตายก็เป็นได้
จริงอย่างที่เขาว่ากันว่าความยากลำบากทั้งมวลล้วนมีสาเหตุ สวรรค์ถ่วงเวลาไม่ยอมมอบให้ก็เพื่อที่จะมอบสิ่งที่ดีกว่าให้เจ้า
จีหมิงซิวยิ้มน้อยๆ หันไปมองอวิ๋นจู “ขอบคุณท่านยายยิ่งนัก”
“อะแฮ่ม!” เสียงกระแอมเบาๆ ของเจ้าซื่อบื้อดังมาจากตรงประตู เขามองทุกคนอย่างขุ่นเคือง แล้วพึมพำด้วยน้ำเสียงริษยา “ไม่มีของให้ข้าบ้างเลยหรือ”
อวิ๋นจูตอบว่า “แน่นอนต้องมีสิ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักได้ยินคำนี้ดวงตาก็วิบวับ สาวเท้าก้าวเข้ามาในห้องทันที “ท่านยายท่านนำอะไรมาให้ข้าหรือ”
อวิ๋นจูล้วงขวดหยกใบน้อยที่ปิดผนึกไว้ใบหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ “เจ้าชอบเลี้ยงแมลงกู่ไม่ใช่หรือ ขวดนี้คือน้ำเลี้ยงแมลงกู่ เหมาะสำหรับเอาไปเลี้ยงแมลงกู่ที่สุด”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเห็นตำราของจีหมิงซิวกับยารักษาอาการบาดเจ็บของสือชีล้วนอยู่ในห่อผ้าสะพายหลังของท่านยาย แต่ของขวัญของตนถูกท่านยายเก็บไว้ในอกเสื้อเพียงคนเดียว ความน้อยใจก็ปลิวหายไปทันที เขาหยิบขวดหยกใบน้อยมาแล้วหอมแก้มท่านยายหนึ่งฟอดใหญ่ “ท่านยาย ท่านดีที่สุด!”
ฟู่เสวี่ยเยียนที่เพิ่งจะยกขนมที่ทำเสร็จมาถึงประตู “…”
อยู่ร่วมห้องกันมาตั้งหลายวันแม้แต่มือยังไม่ได้จับ ท่านยายเพิ่งกลับมาวันเดียวก็ได้…หอมแก้มแล้ว!
อวิ๋นจูแจกจ่ายของที่กวาดมาจากตำหนักของเหยาจวิ้นให้สองพี่น้องเสร็จก็กลับไปโคจรกำลังภายในที่ห้องทันที
เฉียวเวยหยิบยารักษาอาการบาดเจ็บไปที่ห้องของบิดา ยามนี้แม่ทัพน้อยมู่อาศัยอยู่ที่นั่น ตอนเฉียวเวยเดินเข้าไปในห้อง เฉียวเจิงกำลงป้อนยาให้แม่ทัพน้อยมู่อยู่พอดี
“ท่านพ่อ”
เฉียวเจิงวางถ้วยยาลง “เจ้ากลับมาแล้ว เหตุใดจึงไปนานเช่นนี้เล่า”
เรื่องที่ถูกเย่ว์หวาลักพาตัวไปย่อมปิดบังเอาไว้ไม่ได้ เฉียวเวยจึงเล่าให้บิดาของนางฟังอย่างตรงไปตรงมาในรวดเดียว เมื่อเฉียวเจิงได้ยินว่าประมุขเย่ว์หวาถึงกับปากกล้าบอกให้เฮ่อหลันชิคุกเข่าขอร้อง ก็โกรธจนตบฝ่ามือลงบนโต๊ะ “ไอ้เจ้าสารเลว กล้าไม่เห็นแม่ของเจ้าอยู่ในสายตาเช่นนี้!”
เฉียวเวยแค่นเสียงหยันคำหนึ่ง “ใช่หรือไม่เล่า แม่ของข้าหรือจะคุกเข่าให้เขา”
“กลับ กลับไปต้องจัดการเขา!” เฉียวเจิงโมโหจนติดอ่าง แต่สุดท้ายเขาก็ยังเป็นห่วงบุตรสาวจึงจับชีพจรให้นาง ตรวจตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่หลายหน จากนั้นก็จะเข้าครัวทำอาหารให้บุตรสาวด้วยตนเอง
เมื่อครู่ตอนอยู่ในเรือนหลักเฉียวเวยกินขนมไปไม่น้อยแล้ว ตอนนี้นางจึงยังไม่หิว นางดึงท่านพ่อของตนเองเอาไว้แล้วถามถึงอาการบาดเจ็บของแม่ทัพน้อยมู่
เฉียวเจิงเลิกคิ้ว “พ่อเจ้าออกโรงเอง ยังจะมีอาการบาดเจ็บใดรักษาไม่หายอีกหรือ”
เฉียวเวยดวงตาเป็นประกาย “อาการบาดเจ็บของเขาไม่เป็นอันใดแล้วหรือ”
เฉียวเจิงเงียบไปครู่หนึ่งก็ตอบว่า “ไม่เป็นอันตรายต่อชีวิต ขายังมีความรู้สึกอยู่ ส่วนบาดแผลบนหน้า พ่อเจ้าคิดหาวิธีก็น่าจะรักษาได้ แต่แขนของเขา…แผลเก่ายังไม่ทันหายดีก็มีแผลใหม่มาซ้ำอีก ข้าไม่กล้ารับประกันว่าเขาจะกลับมาหายดีดังเดิมแน่นอนหรือไม่”
มือที่แม่ทัพน้อยมู่ถนัดคือมือขวา หากมือขวาพิการไป เขาคงเสียวรยุทธ์ไปมากกว่าครึ่ง สำหรับแม่ทัพน้อยมู่ผู้มีพรสวรรค์ เรื่องนี้คงจะเป็นเรื่องสะเทือนใจครั้งใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย
เฉียวเวยหลุบตาลงแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านพ่อท่านลองรักษาดูก่อนเถิด ข้าเชื่อว่าต้องมีหนทางแน่ วันนี้ท่านยายกวาดของดีๆ กลับมาจากตำหนักส่วนตัวของเหยาจวิ้นมากมาย ต่อไปพอข้ากำจัดลัทธิศักดิ์สิทธิ์แล้ว ข้าจะกวาดของดีๆ กลับมามากกว่านี้ ไม่แน่ว่าในนั้นอาจมียาที่ทำให้แม่ทัพน้อยมู่หายดีดังเดิมก็ได้”
เฉียวเจิง “…”
ลูกสาว มีความมั่นใจมันก็เป็นเรื่องดีอยู่หรอกนะ แต่จะกำจัดลัทธิศักดิ์สิทธิ์…เจ้าแน่ใจหรือว่าไม่ได้ฝันอยู่ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
เฉียวเวยสนทนากับบิดาอยู่ครู่หนึ่งก็ทิ้งยารักษาอาการบาดเจ็บไว้ให้สือชี จากนั้นจึงลุกขึ้นคิดจะกลับห้อง
นางเพิ่งเดินมาถึงประตูก็เห็นจีหมิงซิวเดินออกไปข้างนอกพร้อมกับสีหน้าเย็นชา
หิมะตกหนักถึงเพียงนี้ เขาจะไปที่ใด
เฉียวเวยไม่เคยแอบสอดส่องดูพฤติกรรมของจีหมิงซิวมาก่อน ทว่าวันนี้ไม่รู้เพราะเหตุใด นางจึงแอบสะกดรอยตามเขาไป
จีหมิงซิวเดินออกจากจวนอ๋องเข้าไปในตรอกที่อยู่เยื้องกันฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นที่จอดรถม้าของเขา
ในตรอกมีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ เขาสวมอาภรณ์สีแดงถือร่มกระดาษน้ำมันสีขาววาดลายกิ่งท้อ
เมื่อเห็นจีหมิงซิวเดินเข้ามา เขาก็หุบร่มเบาๆ ใบหน้าเผยรอยยิ้มเลือนรางแทบจะมองไม่เห็น
“เจ้ามาทำอะไร” จีหมิงซิวถามสีหน้าเรียบเฉย
กงซุนฉางหลีก็ยิ้มตอบอย่างเฉยเมย “แวะมาเยี่ยมเจ้าไม่ได้หรือ”
จีหมิงซิวหัวเราะหยัน “มาดูเรื่องน่าขายหน้าของข้าหรือ”
กงซุนฉางหลีถามว่า “เจ้ามีเรื่องขายหน้าอะไรให้ข้าดูเล่า”
รอยยิ้มของจีหมิงซิวกดลึกกว่าเดิม “ถ้าเช่นนั้นเจ้าตั้งใจแวะมาเยี่ยมข้าคนนี้หรือไร”
“ไม่ได้หรือ” กงซุนฉางหลีย้อนถามแล้วก้าวเท้าขยับเข้าไปใกล้จีหมิงซิว แต่เดิมทั้งสองคนก็อยู่ใกล้กันจนห่างกันเพียงไม่เท่าไรอยู่แล้ว เมื่อขยับเข้าไปหนึ่งก้าวเช่นนี้ ใบหน้าก็แทบจะแนบชิดกัน
จีหมิงซิวไม่เปลี่ยนสีหน้าสักนิด “ตอนนี้เจ้าเห็นแล้วก็ไปได้แล้ว”
กงซุนฉางหลียกเท้าขึ้นมาจริงๆ แต่ไม่เดินออกไป ตรงกันข้ามเขากลับก้าวมาข้างหน้าอีกครึ่งก้าว “ข้าเห็นแล้วหรือ”
กงซุนฉางหลีเป็นบุรุษร่างสูงที่หาได้ยาก แต่จีหมิงซิวสูงกว่าเขาอีกสองชุ่น บางทีอาจเพราะได้เปรียบด้านความสูง จีหมิงซิวไม่ต้องทำสิ่งใดทั้งสิ้น บรรยากาศรอบตัวเขาก็ข่มอีกฝ่ายได้อย่างสบายๆ
จีหมิงซิวก้มหน้าลงมาคลี่ยิ้ม “หรือว่าเจ้าอยากจะเห็นร่างกายของข้าด้วยเล่า”โ
กงซุนฉางหลีตอบว่า “เจ้ายอมหรือไม่เล่า”
จีหมิงซิวย้อน “เจ้ากล้าหรือ”
“เจ้ายอม ข้าก็กล้า” กงซุนฉางหลีตอบ
หากพูดถึงการทำตัวเป็นอันธพาล ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีไม่เคยแพ้ผู้ใดมาก่อน
จีหมิงซิวไม่พูดสิ่งใดทั้งสิ้น เขาเพียงทำสายตาครุ่นคิดเหลือบมองอีกฝ่าย แพขนตาของกงซุนฉางหลีก็สั่นไหว ถอยหลังหนึ่งก้าว ดึงระยะห่างจากจีหมิงซิวทันควัน เขาเบ้หน้าหนีหันไปมองท้องฟ้ายามราตรีอันไร้ที่สิ้นสุดแล้วเอ่ยว่า “เจ้าระวังเย่ว์หวาเอาไว้ เขาคนนี้เจ้าคิดเจ้าแค้น พวกเจ้าไม่เพียงสังหารเหยาจีแต่ยังเผารังของเขาด้วย เขาจะต้องหาโอกาสชำระแค้นแน่นอน”
จีหมิงซิวตอบอย่างไม่ใส่ใจ “เข้าใจแล้ว หากไม่มีธุระอื่นข้าขอตัวก่อน”
กงซุนฉางหลีจ้องเข้าไปในดวงตาของเขา “เจ้าไม่ถามหรือว่าข้าเป็นใคร”
จีหมิงซิวยิ้มอย่างเฉยชา “ไม่จำเป็น คำสาบานเลือดถูกทำลายแล้ว เจ้ากับข้าไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป เจ้าจะเป็นใครก็ช่าง ย่อมไม่เกี่ยวกับข้า”
กล่าวจบจีหมิงซิวก็หมุนตัวก้าวออกจากตรอก
เฉียวเวยเห็นสามีของตนเดินมาทางด้านนี้ก็คิดจะหาที่หลบ แต่ไม่มีที่ให้หลบสักนิด ทันใดนั้นนางก็เกิดปฏิภาณไหวพริบ พลิกตัวหันหลังแล้วเกาะแนบสนิทอยู่บนกำแพงเหมือนจิ้งจกน้อยตัวหนึ่ง
จีหมิงซิวมองใครบางคนที่เกาะอยู่บนกำแพง เขาทำท่าอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่สุดท้ายก็ไม่พูด สาวเท้าเดินเข้าไปในจวน
“ไม่เกี่ยวข้องกันหรือ เหอะ” กงซุนฉางหลีกำขวดยาในมือแล้วโยนมันเข้าไปในกองหิมะ ก่อนจะกางร่มกระดาษน้ำมันเดินออกไปทางปากตรอกอีกฝั่งหนึ่ง
ทั้งสองคนจากไปหมดแล้ว เฉียวเวยจึงดึงตัวเองออกมาจากกำแพง นางอยู่ค่อนข้างห่าง ทั้งสองคนพูดอะไรกัน นางจึงฟังไม่ชัด แต่นางรู้ว่ากงซุนฉางหลีโยนของสิ่งหนึ่งทิ้งเอาไว้
นางวิ่งเข้าไปเก็บขวดยาใบน้อยในกองหิมะขึ้นมาแล้วเทยาลูกกลอนด้านในออกมาดู ชั่วพริบตานั้นนางก็ตาค้าง
นี่มันยาแก้พิษไสยเวทไม่ใช่หรือ ให้กงซุนฉางหลีไปตั้งแต่หลายเดือนก่อนหน้านี้แล้ว เขายังไม่กินมันลงไปอีกหรือ
เหตุใดเขาจึงไม่กิน
หรือว่าเขา…
“เฮ้อ” เฉียวเวยถอนหายใจยาว “ไยเจ้าต้องทำตนเองลำบากเช่นนี้เล่า ข้าแต่งงานกับผู้อื่นแล้ว ตอนนี้ยิ่งตั้งครรภ์หนที่สองแล้วด้วย จะลงเอยกับเจ้าอีกได้เช่นไร เชื่อข้า รีบหาแม่นางจิตใจดีมีคุณธรรมสักคนแต่งงานมีครอบครัวเสียเถิด”