หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 22-3 เผาให้วอด!
ตอนที่ 22-3 เผาให้วอด!
เฉียวเวยแอบใช้ทางลัด จึงกลับมาถึงเรือนฟางชุ่ยหยวนเร็วกว่าจีหมิงซิว ตอนที่จีหมิงซิวเปิดประตูห้อง เฉียวเวยก็นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้แล้ว
เฉียวเวยเหล่มองเขาแล้วแสร้งถามด้วยน้ำเสียงใสซื่อ “เมื่อครู่ไปพบผู้ใดมาหรือ”
จีหมิงซิวปิดประตู “เจ้าก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ”
เฉียวเวยแววตาวูบไหบ รินชาถ้วยหนึ่งส่งให้เขา “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร”
จีหมิงซิวหัวเราะเบาๆ พลางยกชาบุปผาที่นางชงให้ขึ้นมาจิบ แล้วตอบว่า “กงซุนฉางหลีมาเตือนพวกเราให้ระวังโจรชั่วเย่ว์หวา เขาบอกว่าพวกเราสังหารเหยาจวิ้น เผายอดเขาเชียนหลวน โจรชั่วเย่ว์หวาจะต้องมาชำระแค้นกับพวกเราแน่นอน”
เฉียวเวยโต้ว่า “ผู้ใดกลัวเขามาชำระแค้นกัน”
จีหมิงซิวยิ้มบางมองนาง “เจ้าน่าจะถามว่า ‘กงซุนฉางหลีมาหรือ เจ้าหมอนั่นมาทำอะไร คิดอะไรชั่วๆ อีกแล้วใช่หรือไม่’ ไม่ใช่หรือ”
สิ่งที่ควรประหลาดใจก็ประหลาดใจไปตั้งแต่เห็นกงซุนฉางหลีแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินชื่อนี้ย่อมไม่รู้สึกอะไรมากมายนัก ทว่าแม้แต่พิรุธเล็กน้อยเช่นนี้ก็ยังถูกจีหมิงซิวจับได้ บุรุษผู้นี้ได้นั่งอยู่บนตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีของต้าเหลียงไม่ใช่เพราะอาศัยเส้นสายจริงๆ
เฉียวเวยกระแอม แล้วตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้า…ก็อยากจะพูดอยู่พอดี! แต่ถูกท่านแย่งพูดเสียก่อน!”
จีหมิงซิวมองออกแต่ไม่พูด เขาวางถ้วยลงแล้วเปิดกระปุกใบน้อยใบหนึ่งบนโต๊ะ หยิบบ๊วยเม็ดหนึ่งใส่ปาก มันเปรี้ยวจนฟันแทบจะร่วงออกจากปาก เขาหยิกต้นขาตนเองก่อนจะแสร้งทำสีหน้าพออกพอใจ “รสชาติไม่เลว มิน่าเจ้าจึงชอบ”
“ข้าก็บอกแล้วว่าอร่อยมาก!” ตั้งแต่เข้ามาในห้องนางก็น้ำลายยืดอยากกินบ๊วยกระปุกนี้แล้ว แต่เพราะกลัวว่าจะถูกเขาจับได้จึงต้องอดกลั้นเอาไว้ ยามนี้เห็นบุรุษตัวโตอย่างเขาบอกว่าชอบจึงไม่กลัวเกรงอีกต่อไป อุ้มกระปุกหยิบขึ้นมากินเม็ดแล้วเม็ดเล่า
จีหมิงซิวใช้ปลายลิ้นเลียฟันที่ถูกความเปรี้ยวเล่นงานจนเกือบจะหลุดจากเหงือก จากนั้นก็หันไปมองดูนางเคี้ยวแก้มตุ่ย ไม่รู้เขานึกอะไรขึ้นมาจึงกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ไหว
เฉียวเวยกินอย่างเบิกบานใจจนไม่สังเกตว่าตนเองเผยไต๋จนเหลือแต่กางเกงในตัวเดียวแล้ว
“ยังอยากจะฟังเรื่องเย่ว์หวาหรือไม่” จีหมิงซิวกลั้นหัวเราะแล้วถามขึ้นมา
“อืม” เฉียวเวยตอบรับเรียบๆ แล้วยัดบ๊วยรสเปรี้ยวจี๊ดเข้าปากอีกหนึ่งเม็ดโ
จีหมิงซิวเริ่มเล่า “เจ้าคงเคยเห็นความสามารถของเย่ว์หวาแล้ว มันก็คือวิชาแปลงโฉม วิชาแปลงโฉมก็เหมือนกับวิชาเชิดหุ่น ล้วนแต่เป็นหนึ่งในสามวิชาต้องห้ามของลัทธิศักดิ์สิทธิ์”
เฉียวเวยเงยหน้าขึ้นมาอย่างฉงน “วิชานี้จะเป็นวิชาต้องห้ามได้อย่างไร ก็แค่แปลงโฉมเองไม่ใช่หรือ”
จีหมิงซิวตอบช้าๆ “เหตุที่วิชาต้องห้ามเป็นวิชาต้องห้ามก็เพราะว่ามันส่งผลกระทบที่ไม่อาจย้อนคืนได้กับร่างกาย เจ้าจำอี้เชียนอินได้หรือไม่”
เฉียวเวยกะพริบตาปริบๆ “ข้าต้องจำได้สิ สำนักมารของพวกเขาก็มีวิชาแปลงโฉมเช่นกัน พวกเขาใช้วิชานี้โดยอาศัยปราณมารทำให้พวกเขาปลอมตัวเป็นใครๆ ได้อย่างง่ายดาย แต่มันมีผลสะท้อนกลับรุนแรงยิ่งนัก ทุกครั้งที่อี้เชียนอินใช้วิชานี้เสร็จจะต้องเก็บตัวรักษาอาการบาดเจ็บ”
จีหมิงซิวเอ่ยตอบ “ถูกต้องแล้ว เห็นชัดว่าวิชาแปลงโฉมของลัทธิศักดิ์สิทธิ์เหนือว่าสำนักมารแห่งหนานเจียง ดังนั้นผลสะท้อนของมันย่อมอันตรายยิ่งกว่าด้วย”
เฉียวเวยเข้าใจแล้ว บนโลกใบนี้ไม่เคยมีอาหารกลางวันให้กินฟรี เจ้าต้องการสิ่งใดก็ต้องใช้สิ่งล้ำค่าแลกมา
จีหมิงซิวเล่าต่อ “ตอนเหยาจวิ้นใช้วิชาเชิดหุ่น ร่างกายของนางจะอ่อนแอจนแม้แต่เด็กน้อยคนหนึ่งก็สังหารนางได้ ดังนั้นนางจึงจำเป็นต้องหาสถานที่ซ่อนตัวอันเร้นลับที่สุดสักแห่ง โจรเฒ่าเย่ว์หวาใช้วิชาแปลงโฉมก็ย่อมต้องมีจุดอ่อนของตนเองเช่นกัน ขอเพียงพวกเราหาจุดอ่อนของเขาพบก็จะจัดการเขาได้อย่างง่ายดายดุจยกฝ่ามือ”
เฉียวเวยชะงัก “ท่านยายไม่รู้จุดอ่อนของเขาหรือ”
จีหมิงซิวคล้ายกำลังครุ่นคิด “ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ นอกจากตัวของเขาเอง”
ความหมายที่ไม่ได้เอ่ยออกมาก็คือแม้แต่กงซุนฉางหลีก็ไม่รู้
เฉียวเวยขมวดคิ้วถามว่า “เขาจัดการยากมากหรือ หาจุดอ่อนไม่พบจะสังหารเขาไม่ตายหรือไร”
จีหมิงซิวยิ้มจางๆ “ไม่ใช่เช่นนั้น เขาไม่ใช่ผู้มีร่างกายอมตะในตำนานเสียหน่อย หากอยากสังหาร ย่อมสังหารได้ เพียงแต่กำลังภายในของเขาล้ำลึกกว่าเหยาจวิ้น หากปะทะกันตรงๆ ย่อมเกิดความเสียหาย ใช้อุบายเอาชนะย่อมดีที่สุด”
เฉียวเวยลูบปลายคาง “พูดถึงเรื่องนี้ ข้าเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าในมือเขามีโล่อะไรอยู่ชิ้นหนึ่ง ทำให้ไม่กลัวธนูจันทร์โลหิตของท่านยาย”
“โล่วารีสวรรค์” จีหมิงซิวตอบ
เฉียวเวยตะลึง “นั่นคือโล่วารีสวรรค์หรือ โล่วารีสวรรค์ไม่ได้อยู่ที่เยี่ยหลัวหรอกหรือ คงไม่ใช่ว่าแม้แต่โล่วารีสวรรค์ก็มีเป็นคู่กระมัง”
จีหมิงซิวส่ายหน้า “โล่วารีสวรรค์มีเพียงหนึ่งเดียว ราชาเยี่ยหลัวพระราชทานให้ตำหนักราชครู หากข้าเดาไม่ผิด ตำหนักราชครูคงจะเป็นขุมกำลังใต้ปกครองของเย่ว์หวา โล่วารีสวรรค์นี้จึงตกอยู่ในมือเย่ว์หวา”
เฉียวเวยทุบโต๊ะ”เจ้าเล่ห์จริงเชียว!”
ระหว่างที่ทั้งสองคนพูดคุยกัน ด้านนอกก็มีเสียงผู้ดูแลปี้ดังขึ้น
ผู้ดูแลปี้เป็นคนสนิทของมู่อ๋อง หลายวันนี้เขายุ่งอยู่กับการดูแลมู่อ๋องที่เป็นหวัด ไม่มีเรื่องอะไรก็ไม่มาเยือนเรือนฟางชุ่ยหยวนง่ายๆ
จีหมิงซิวออกไปพบเขาที่ลานเรือน “ผู้ดูแลปี้ เกิดอันใดขึ้นหรือ”
ผู้ดูแลปี้เอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม “เกิด…เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ! ท่านอ๋องรักษาตัวอยู่ ข้าไม่กล้ารบกวนเขา จึงมารายงานใต้เท้าอัครมหาเสนาบดี หวังว่าใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีจะตามข้าไปดูด้านหน้าสักหน่อย!”
เรื่องที่จีหมิงซิวเป็น ‘บุตรชาย’ ของมู่อ๋อง มู่อ๋องไม่ได้ปิดบังผู้ดูแลปี้ ผู้ดูแลปี้จึงถือว่าจีหมิงซิวเป็นคุณชายใหญ่ เมื่อพบเรื่องเช่นนี้ย่อมมาขอความคิดเห็นจากจีหมิงซิว
จีหมิงซิวจากไปพร้อมกับผู้ดูแลปี้
เฉียวเวยกับใต้เท้าเจ้าสำนักมองหน้ากันแล้วเดินตามไป
ในโถงบุปผาของจวนอ๋องมีทหารของกองทหารรักษาพระองค์ที่ใบหน้าบิดเบี้ยวหลายคนถูกเชือกมัดอยู่ พวกเขาหน้าผากดำคล้ำ ริมฝีปากเป็นสีดำ บนลำคอกับบนร่างมีรอยถูกกัดและรอยถูกข่วนอยู่
เฉียวเวยมองปราดเดียวก็เข้าใจทันทีว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น แววตาดำทะมึนขึ้นมาทันที
“เกิดเรื่องขึ้นที่ใด” จีหมิงซิวถาม
ผู้ดูแลปี้ตอบอย่างหวาดผวา “ที่ถนนหนานเถิงขอรับ! ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีออกคำสั่งให้พวกเขาตามหาคนผู้หนึ่งในเมืองไม่ใช่หรือขอรับ พวกเขาจึงออกไปตามคำสั่ง แต่คิดไม่ถึงว่าจะพบสตรีนางหนึ่งพุ่งพรวดออกมาจากตรอกใกล้ๆ กับถนนนหนานเถิงแล้วข่วนพวกเขาจนบาดเจ็บทุกคน!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักกวาดสายตามองทหารรักษาพระองค์บนพื้นแล้วตาโตลิ้นพันกัน “สตรีนางหนึ่งข่วนบุรุษตัวใหญ่เจ็ดแปดคนอย่างพวกเขาจนบาดเจ็บเนี่ยนะ”
ผู้ดูแลปี้ลากทหารที่โชคดีพ้นภัยคนหนึ่งด้านข้างออกมา “เจ้าเล่าสิ!”
ทหารคนนั้นประสานมือคำนับ จากนั้นเล่าอย่างหวาดผวา “เรียนใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีกับท่านโหราจารย์ วรยุทธ์ของสตรีนางนั้นสูงส่งอย่างยิ่ง พวกเราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนางสักนิด!”
“วรยุทธ์สูงส่งหรือ” เฉียวเวยเคยพบร่างพิษมาก่อน ชาวบ้านเหล่านั้นดูไม่เข้ากับคำว่ามีวรยุทธ์สักนิด เพียงแต่ชาวบ้านที่ต้องพิษเหล่านั้นมักจะมีพละกำลังมาก ทั้งร่างกายยังมีพิษร้าย ถึงไม่รู้วรยุทธ์ก็จัดการยากเท่านั้น “เจ้าแน่ใจหรือว่านางเป็นวรยุทธ์”
นายทหารตอบว่า “แน่ใจขอรับ นางใช้วิชากระบี่เป็นด้วย”
ร่างพิษที่ใช้วิชากระบี่เป็นหรือ
เฉียวเวยกับจีหมิงซิวมีข้อสันนิษฐานหนึ่งผุดขึ้นมาในสมองพร้อมกันโดย…ศิษย์พี่ (น้อง) รอง
ตั้งแต่ตอนที่พบประชาชนถูกข่วนบาดเจ็บในเมืองอวิ๋นจง ชางจิวก็เคยบอกว่ามีร่างพิษหลบหนีออกมาแล้วยังจับตัวไม่ได้
ร่างพิษคนนั้นจะเป็นน้องสาวของแม่ทัพน้อยมู่หรือไม่
“ท่านคิดว่าเป็นนางหรือเปล่า” เฉียวเวยถามจีหมิงซิว
จีหมิงซิวครุ่นคิด “ศิษย์ของสำนักซู่ซินจงชำนาญการใช้กระบี่อย่างยิ่ง อีกทั้งวรยุทธ์ของนางก็สูงส่งที่สุดในหมู่ศิษย์หญิงทั้งหมด หากคนที่ทหารรักษาพระองค์พบคือนาง ถ้าเช่นนั้นทุกสิ่งก็ฟังดูมีเหตุผลแล้ว”
เฉียวเวยพึมพำว่า “นางหนีมาถึงเมืองเยี่ยเหลียงได้เช่นไรกัน”
จีหมิงซิวตอบว่า “เรื่องนี้คงต้องถามนางต่อหน้า…แต่ก็ยังไม่รู้ว่าใช่นางหรือไม่”
เฉียวเวยตอบว่า “หวังว่าจะใช่” แม่ทัพน้อยมู่ถูกฆ่าล้างตระกูลจนเหลือพียงน้องสาวคนนี้คนเดียว เพื่อตามหานาง เขาเดินทางมาถึงเยี่ยหลัวโดยไม่หวั่นกลัวหนทางยาวไกลหมื่นลี้จนตนเองบาดเจ็บตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ เขายอมทุ่มเทมากเหลือเกิน
หากตามหาน้องสาวของเขาพบก็นับว่าทำให้ความปรารถนาของเขาสมหวังแล้ว
จีหมิงซิวสั่งเยี่ยนเฟยเจวี๋ยให้ออกตามหาทันที
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยไม่พอใจ “เหตุใดต้องเป็นข้า ข้าเคยถูกข่วนมาแล้ว! ให้ไห่สือซานไปสิ!”
จีหมิงซิวยิ้ม “ไห่สือซานไม่มีฉี่เด็กผู้ชาย”
ใบหน้าของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยดำทะมึนทันที!
สุดท้ายเยี่ยนเฟยเจวี๋ยย่อมต้องไป แต่เขาก็ลากไห่สือซานไปด้วย ร่างกายของไห่สือซานไม่นับว่าเป็นเด็กผู้ชายแล้ว แต่เขาก็ไม่อยากจะใช้ฉี่เด็กผู้ชายของเยี่ยนเฟยเจวี๋ย ก่อนออกเดินทางเขาจึงไปขอฉี่ของจิ่งอวิ๋นมาหนึ่งถุง