หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 25-1 เจ้าซาลาเปาน้อยมาแล้ว
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 25-1 เจ้าซาลาเปาน้อยมาแล้ว
ตอนที่ 25-1 เจ้าซาลาเปาน้อยมาแล้ว
เฉียวเวยมองราชันอสูรถูกอีกฝ่ายใช้ตาข่ายจับตัวไป ชั่วพริบตาที่ได้ยินเสียงครางสะอื้นของราชันอสูร หัวใจของนางก็บีบรัด
แววตาของนางเย็นยะเยือก มือเรียวกำแน่นเป็นกำปั้น เส้นเลือดที่ขมับปูดนูนออกมาเลือนราง
กระแสน้ำรุนแรงไหลไปทางอีกฝั่ง ราชันอสูรถูกคนลากขึ้นบนฝั่งสำเร็จ นักเวทศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิศักดิ์สิทธิ์กลุ่มนั้นกดราชันอสูรลงกับพื้น ราชันอสูรผู้รักสะอาดถึงเพียงนั้นถูกกดใบหน้าจนจมลงไปในโคลน กรวดทรายหลุดเข้าไปในปาก
พวกเขาใช้โซ่เหล็กสีแดงก่ำมัดราชันอสูรเอาไว้ โซ่เส้นนั้นไม่รู้ว่าทำมาจากวัสดุอันใด ราชันอสูรจึงรู้สึกราวกับถูกเผาไปจนถึงวิญยาณ เขาคำรามเกรี้ยวกราดด้วยความเจ็บปวด
เล็บของเฉียวเวยจิกเข้าไปในเนื้อทีละน้อย นางไม่เคยชิงชังคนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์เท่าเวลานี้มาก่อน นางชิงชังพวกเขามากยิ่งกว่าตอนที่เย่ว์หวาจับตัวนางไปก่อนหน้านี้เสียอีก!
รานีอสูรที่เตรียมตัวจะเดินจากไปเหมือนสัมผัสได้ถึงความชิงชังของเฉียวเวย จู่ๆ นางจึงหันกลับมา
รานีอสูรสวมชุดเกราะเหล็กกับอาภรณ์สีดำแดง หมวกเกราะปิดบังใบหน้านางไปมากกว่าครึ่ง เผยออกมาเพียงดวงตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังคู่หนึ่งกับคางที่ขาวซีดจนไร้สีเลือดและริมฝีปากสีแดงคล้ำ
มุมปากของนางขยับนิดๆ เหมือนกำลังยิ้ม ยิ้มอย่างเยาะหยัน
นางกำลังท้าทายเฉียวเวย!
กำปั้นของเฉียวเวยบีบจนดังกรอด
รานีอสูรสินะ
เจ้ารอก่อนเถอะ สักวันข้าจะซ้อมเจ้าให้น่วม!ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
สายน้ำที่ถาโถมเชี่ยวกรากขัดขวางทั้งลูกศิษย์จากลัทธิศักดิ์สิทธิ์กลุ่มนั้นกับรานีอสูร และขัดขวางพวกเฉียวเวยด้วย หากวันนี้ราชันอสูรจับพวกเขาโยนขึ้นฝั่งทีละคนไม่ทัน พวกเขาก็คงถูกน้ำหลากพัดแยกกันเหมือนเฉียวเจิงกับเฮ่อหลันชิงแล้ว
แต่คนที่ช่วยพวกเขาไว้กลับถูกพวกสารเลวของลัทธิศักดิ์สิทธิ์จับตัวไป…
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยทุบกำปั้นกับต้นไม้ “พวกสุนัขเวรตะไล!”
ไห่สือซาน “อย่าว่าสุนัข”
อีกฝั่งหนึ่งรานีอสูรส่งสายตาท้าทายเสร็จก็จากไปพร้อมกับราชันอสูรและศิษย์ทั้งหลายของลัทธิศักดิ์สิทธิ์
เฉียวเวยรั้งสายตาที่จับจ้องบนร่างรานีอสูรกลับมา “กลับกันก่อนเถิด รอวางแผนการให้ดีแล้วค่อยไปช่วยราชันอสูร”
สำหรับพวกเขาราชันอสูรไม่ใช่แค่สุดยอดอาวุธสังหารอีกต่อไป เขาเป็นคนผู้หนึ่งที่ชอบกินถั่วเคลือบน้ำตาล รักสะอาด ชอบปีนต้นไม้และชอบสะบัดก้นใส่ผู้อื่น คนที่สูญเสียสติปัญญาไปแล้วผู้นี้ต้องตกอยู่ในกำมือของพวกสารเลวลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ผู้ใดจะรู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง
เฉียวเวยเดินนำอยู่ด้านหน้า เยี่ยนเฟยเจวี๋ยแบกอวิ๋นจู ไห่สือซานแบกศิษย์พี่รอง มุ่งหน้ากลับจวนอย่างไม่พูดไม่จา
ทุกครั้งที่บุตรสาวออกไปข้างนอก เฉียวเจิงล้วนเป็นห่วงแทบขาดใจ เขาเดินวนเวียนอยู่หน้าประตูครึ่งค่อนวันโดยไม่ทำสิ่งใดทั้งสิ้น ในที่สุดก็เห็นลูกสาวกลับมา หัวใจที่หวาดกลัวจึงสงบลง
เขามองคนทั้งหลาย “อวิ๋นฮูหยินบาดเจ็บหรือ นี่คือน้องสาวของแม่ทัพน้อยมู่สินะ ในที่สุดก็ตามกลับมาได้สักที เอ๋ ท่านราชันอสูรเล่า”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก้มหน้าคอตก
ไห่สือซานเกาศีรษะ “ท่านไปตรวจแม่ทัพน้อยมู่ก่อนเถิด”
ไห่สือซานแบกศิษย์พี่รองไปที่ห้องของแม่ทัพน้อยมู่ ส่วนเยี่ยนเฟยเจวี๋ยพาอวิ๋นจูไปส่งที่ห้องของนาง
เฉียวเจิงเดินมาหยุดยืนข้างเฉียวเวย เขามองประตูแล้วเงยหน้ามองบนฟ้าอย่างไม่เข้าใจ “คนเล่า”
เฉียวเวยถอนหายใจ “ถูกลัทธิศักดิ์สิทธิ์จับตัวไปแล้ว”
เฉียวเจิงตกตะลึง “อะ อะไรนะ ถูกลัทธิศักดิ์สิทธิ์จับตัวไปหรือ เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร”
เฉียวเวยเล่าเรื่องราวระหว่างการต่อสู้ให้บิดาของตนฟังอย่างย่อๆ
เฉียวเจิงฟังจบก็เงียบงัน
อีกด้านหนึ่งในที่สุดแม่ทัพน้อยมู่ก็ได้พบน้องสาวของตนเองแล้ว เขาได้ฟังเรื่องราวของอวิ๋นจูกับราชันอสูรแล้วเช่นกัน เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเพื่อช่วยน้องสาวของตนเอง อวิ๋นจูกับราชันอสูรจะพบคราวเคราะห์
“เจ้าอย่าคิดมาก” เฉียวเวยยกยาที่เพิ่งต้มเสร็จใหม่ๆ เข้ามาในห้อง “แผลของท่านยายข้ารักษาได้ ส่วนราชันอสูรพวกเราก็จะช่วยกลับมาให้ได้”
แม่ทัพน้อยมู่มองถ้วยยาที่นางยื่นมาให้แล้วละล้าละลังไม่ยื่นมืออกไปรับโ
“ต้องให้ข้าป้อนหรือ” เฉียวเวยถาม
แม่ทัพน้อยมู่หูแดงก่ำ เขายื่นมือซ้ายออกมารับถ้วยยาที่ไม่ร้อนลวกแล้ว ขณะที่กำลังจะดื่ม จู่ๆ ก็ชะงักไปอีก
เฉียวเวยมองเขาอย่างไม่เข้าใจสาเหตุ “เป็นอะไรไป”
“เจ้า…” เขาเผยอปาก “เจ้าไม่ติดค้างอันใดข้า ความจริงไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้”
เฉียวเวยส่ายหน้าบอกว่า “เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว พวกข้าไม่ได้ไปสู้กับเย่ว์หวาเพราะเจ้าหรอก แม้จะไม่ปฏิเสธว่าหวังจะช่วยน้องสาวเจ้ากลับมาด้วย แต่ความแค้นระหว่างพวกข้ากับลัทธิศักดิ์สิทธิ์มีมาตั้งแต่ก่อนหน้าเรื่องของเจ้าแล้ว ตอนข้ากลับไปชนเผ่าลึกลับเคยพบสตรีนางหนึ่งปลอมตัวเป็นข้า นางก็คือศิษย์ของเย่ว์หวา พวกตำหนักธิดาเทพก็ถูกลัทธิศักดิ์สิทธิ์ควบคุมอยู่เหมือนกัน ลัทธิศักดิ์สิทธิ์คิดจะกลืนกินชนเผ่าลึกลับไม่ใช่แค่วันสองวัน แล้วพวกเขายังคิดสังหารพวกข้ากับอวิ๋นจูอีก ดังนั้นแม้จะไม่มีน้องสาวของเจ้า สถานการณ์ระหว่างพวกข้ากับลัทธิศักดิ์สิทธิ์ก็ยากจะหลีกเลี่ยง ยิ่งไปกว่านั้นหากพูดในอีกแง่หนึ่งแล้ว น้องสาวของเจ้ามีร่างหยินบริสุทธิ์ ยาพิษในร่างนางเป็นยาชั้นเลิศสำหรับเพิ่มพูนกำลังภายในให้รานีอสูร หากนางตกอยู่ในมือลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ไยมิใช่ยิ่งทำให้พวกเราเสียเปรียบ พวกข้าทำเช่นนี้ก็เพราะพยายามจะแย่งชิงทรัพยากรในการรบของอีกฝ่ายมาก็เท่านั้น”
แม่ทัพน้อยมู่เอ่ยเสียงเบา “เจ้ากำลังปลอบใจข้า”
เฉียวเวยยิ้ม “ก็ได้ๆ ถือเสียว่าข้ากำลังปลอบเจ้าก็แล้วกัน เห็นแก่ที่ข้าลำบากขนาดนี้แล้วยังต้องเค้นสมองคิดมาปลอบใจเจ้า ยังไม่ยอมให้ข้าปลอบสำเร็จอีกหรือ”
แม่ทัพน้อยมู่บื้อใบ้อยู่ครู่ใหญ่ก็หลุบตาลง “อืม ข้าได้รับการปลอบโยนแล้ว”
กล่าวจบก็ดื่มยาที่อยู่ในถ้วยจนไม่เหลือสักหยด
เขาดื้อกับการดื่มยามาตลอด แต่ตอนนี้เขาอยากจะรีบหายดีเร็วๆ
เฉียวเวยเก็บถ้วยยาจากนั้นแวะไปหาอวิ๋นจูที่ห้องด้านข้าง เฉียวเจิงก็อยู่ด้วย เขากำลังฝังเข็มให้อวิ๋นจู
อวิ๋นจูฝืนรับสามกระบวนท่าของเย่ว์หวาได้สำเร็จเพราะพื้นฐานของนางดีอย่างยิ่ง หากนางมีร่างกายที่แย่กว่านี้ นาก็คงเส้นลมปราณขาดสะบั้นแล้ว
“สภาพท่านยายเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” เฉียวเวยถาม
เฉียวเจิงฝังเข็มไปพลางก็บอกไปด้วย “จุดตันเถียนเสียหาย ช่วงนี้ต้องนอนพักนิ่งๆ หากรักษาตัวจนหายดีแล้วก็จะกลับมาแข็งแรงดังเดิม”
กลัวก็แต่จะไม่ยอมพักอยู่นิ่งๆ เพื่อรักษาตัวน่ะสิ เฉียวเจิงเอ่ยเสริมในใจ
นับว่าเขามองคนขาดยิ่งนัก ในเรือนแห่งนี้ไม่มีผู้ใดที่ว่าง่ายเชื่อฟังเลยสักคน บอกว่าไม่ให้ทำสิ่งใดก็ดื้อจะไปทำอย่างนั้น เขาบอกให้อวิ๋นจูพักรักษาตัวอยู่ที่นี่ เดี๋ยวรักษาไปๆ ก็ไม่รู้แล่นไปอยู่ที่ใดอีกแล้ว
เฉียวเวยมองฮองเฮาเยี่ยหลัวที่อยู่ด้านข้าง “วางใจเถิด ท่านน้าจะคอยดูท่านยายเอาไว้เอง ใช่หรือไม่เจ้าคะ ท่านน้า”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวพยักหน้าประหนึ่งตำกระเทียม!
อวิ๋นจูมองบุตรสาวอย่างจนปัญญา “หนนี้ข้าประมาท คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะสร้างรานีอสูรขึ้นมาได้”
เฉียวเวยถามอย่างไม่เข้าใจ “ท่านยาย ข้าเคยได้ยินศิษย์เอกของตำหนักราชครูบอกว่า นักรบมรณะระดับราชันอสูรไม่ใช่ว่าจะเห็นกันได้บ่อยๆ หลายร้อยปีที่ผ่านมาไม่เคยปรากฏเลยสักคน เหตุใดยามนี้จึงโผล่มารวดเดียวมากมายเช่นนี้เล่า”
“แต่เดิมนักรบมรณะก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมีอยู่ การฝึกนักรบมรณะเป็นเรื่องไร้คุณธรรมมากพอแล้ว การฝึกราชันอสูร…” กล่าวถึงตรงนี้ อวิ๋นจูก็ชะงักไปครู่หนึ่ง นางสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าปอดเบาๆ แล้วข้ามถ้อยคำที่แม้แต่ตัวนางเองก็ไม่ปรารถนาจะได้ยินไป จากนั้นก็เล่าต่อว่า “แม้การฝึกราชันอสูรจะมียาพิษบางตัวที่ใช้แทนได้ แต่พวกนั้นก็สู้ยาพิษของนักรบมรณะไม่ได้ ยาพิษของนักรบมรณะแต่ละเม็ดเท่ากับหนึ่งชีวิต วิธีการนี้ชั่วร้ายที่สุดอย่างแท้จริง ในสมัยเริ่มแรกของลัทธิศักดิ์สิทธิ์สิ่งนี้จึงไม่ได้รับอนุญาต”
ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่ามันเพิ่งจะเปิดกว้างไม่นานมานี้ ลัทธิศักดิ์สิทธิ์เกิดเหตุการณ์ใหญ่อันใดจึงเกิดการเปลี่ยนแปลง วิชาต้องห้ามมีคนฝึกฝน สิ่งที่ไม่เคยเปิดกว้างให้ทำก็ทำกันอย่างโจ่งแจ้ง
เฉียวเวยคิดจะถาม แต่นางเห็นอวิ๋นจูเหมือนจะไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องของลัทธิศักดิ์สิทธิ์เท่าใดนัก นางจึงข่มกลั้นเอาไว้
อวิ๋นจูมองท้องฟ้าที่มืดลงเรื่อยๆ แล้วบอกเฉียวเวยว่า “ฟ้าใกล้มืดแล้ว แม่นางตระกูลมู่คงจะใกล้อาการกำเริบอีกเล้ว เจ้าไปหาจิ่งอวิ๋นเอาฉี่เด็กผู้ชายสักหน่อยมาราดไว้ที่ประตูหน้าต่าง อย่าให้นางออกมา”
เฉียวเวยคิดอะไรได้จึงถามว่า “หากนำยาพิษในตัวของนางออกมานางจะตายจริงหรือ”
“ใช่” อวิ๋นจูตอบ
เฉียวเวยเงียบไปสองชั่วอึดใจ “ถ้าเช่นนั้นนับจากวันนี้เป็นต้นไปนางก็จะมีสภาพเช่นนี้ตลอดไปหรือ”
อวิ๋นจูส่ายหน้า “ก็ไม่ถึงขั้นนั้น ข้าจำได้ว่านางเป็นศิษย์ของสำนักซู่ซินจง กำลังภายในน่าจะไม่เลวใช่หรือไม่”
เฉียวเวยพยักหน้า “วรยุทธของนางดียิ่งนัก”
อวิ๋นจูตอบว่า “ถ้าเช่นนั้นนางก็อาจจะสลายยาพิษในร่างของตนเองได้ จากนั้นค่อยๆ ให้ราชันอสูรดูดกลืน ทว่าก่อนหน้านี้ข้าคิดไม่ถึงว่าจะพบเรื่องเช่นนี้จึงไม่เคยศึกษาวิธีสลายยาพิษอย่างละเอียดมาก่อน ต้องไปตามหาในลัทธิศักดิ์สิทธิ์”
คำพูดนี้หมายความว่า…หากท่านยายต้องการ นางสามารถเข้าไปศึกษาตำราจำนวนไม่น้อยในลัทธิศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างนั้นหรือ
เฉียวเวยมองไปทางอวิ๋นจูอย่างตกตะลึง