หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 25-2 เจ้าซาลาเปาน้อยมาแล้ว
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 25-2 เจ้าซาลาเปาน้อยมาแล้ว
ตอนที่ 25-2 เจ้าซาลาเปาน้อยมาแล้ว
อวิ๋นจูมองเฉียวเวยแล้วเอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าอยากถามสิ่งใด แต่ข้ายังจะตอบประโยคเดิม ถึงเวลาที่พวกเจ้าสมควรรู้ พวกเจ้าย่อมรู้เอง”
เฉียวเวยจึงไม่จี้ถามต่อ หากจะบอกว่าไม่สงสัยใคร่รู้คงจะเป็นเรื่องโกหก แต่เรื่องเหล่านี้ต่อให้รู้ไปก็ไม่อาจลงมือแก้ไขสิ่งใดได้ สู้ไม่รู้เสียยังจะดีกว่า
ระหว่างที่ทั้งสองคนสนทนากัน เจ้าซาลาเปาน้อยสองคนก็วิ่งตึงตังมา ทั้งสองคนเล่นหิมะอยู่ที่ท้ายเรือนมาตลอดจนเหงื่อออกเต็มศีรษะ พอเข้ามาในห้องก็โถมเข้ามาในอ้อมแขนของเฉียวเวย
เฉียวเวยกลัวว่าจะชนถูกเฉียวเจิงที่กำลังฝังเข็มให้อวิ๋นจูอยู่จึงอุ้มทั้งสองคนมานั่งบนตั่งนุ่มด้านข้าง
ทั้งสองคนมองสำรวจอวิ๋นจูอย่างสงสัยใคร่รู้แล้วถามเป็นเสียงเดียวกัน “ท่านยายทวดเป็นอะไรไปหรือ”
เฉียวเวยตอบเสียงอ่อนโยน “ร่างกายไม่สบายนิดหน่อย พวกเราอย่ารบกวนท่านยายทวด วันพรุ่งนี้ค่อยแวะมาหา”
ทั้งสองคนพยักหน้าอย่างเชื่อฟังแล้วกระโดดลงมาที่พื้น คำนับอวิ๋นจูแล้วจูงมือเฉียวเวยเดินออกจากห้อง
หลังจากออกไปแล้ว วั่งซูก็ชะเง้อซ้ายชะเง้อขวาถามว่า “ท่านพ่อราชันอสูรล่ะเจ้าคะ เหตุใดเขาจึงไม่กลับมาด้วยเล่า”
เฉียวเวยไม่รู้ว่าสาวน้อยคนนี้แอบเติมคำว่า ‘ท่านพ่อ’ ให้ราชันอสูรด้วย เด็กๆ โตแล้วย่อมมีความคิดเป็นของตนเองจริงๆ ไม่เหมือนสมัยสามสี่ขวบที่คอยถามนางให้ช่วยตัดสินใจ
พวกเราต่างวาดหวังให้ลูกเติบใหญ่ แต่ก็หวาดกลัวว่าเขาจะเติบใหญ่ กลัวว่าเขาจะค่อยๆ ไม่ต้องการพวกเราแล้ว
เฉียวเวยไม่ติดใจอะไรเรื่องที่ลูกไปยอมรับนับถือพ่อเพิ่มมาอีกคน ก็แค่มี ‘ท่านพ่อราชันอสูร’ เพิ่มมาใช่หรือไม่เล่า ไม่ได้มี ‘ท่านแม่ราชันอสูร’ สักหน่อย ฐานะมารดาหนึ่งเดียวไม่มีสองของนางยังมั่นคงดี!
เพียงแต่ว่า…ยามสบดวงตาไร้เดียงสาและคาดหวังคู่นี้ นางจะอธิบายว่าราชันอสูรถูกผู้อื่นจับตัวไปอย่างไรดีเล่า
“ท่านพ่อราชันอสูรคงจะมีงานต้องไปทำ อีกไม่กี่วันก็คงกลับมา”
จิ่งอวิ๋นช่วยแก้สถานการณ์ให้เฉียวเวย
วั่งซูร้องอ้อคำหนึ่งแล้วเชื่ออย่างไม่สงสัยอะไร นางบีบกระเป๋าเงินที่ห้อยอยู่ข้างเอวแล้วเอ่ยเสียงนุ่มนิ่ม “ข้าเก็บถั่วเคลือบน้ำตาลไว้ให้ท่านพ่อราชันอสูรตั้งเยอะ เขาจะกลับมาช้าไม่ได้นะ หากมาช้าล่ะก็ ข้าจะ…ข้าจะ…ข้าจะกินให้เกลี้ยงเลย”
เฉียวเวยลูบศีรษะของนาง “ท่านพ่อราชันอสูรต้องกลับมา ต้องกลับมาแน่”
…
ภายในห้องศิลาอันมืดทึมในลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ตรงกลางพื้นหินมีเสาเหล็กต้นหนึ่งตั้งอยู่ บนเสาเหล็กใช้โซ่เหล็กมัดบุรุษผู้หนึ่งเอาไว้ เขาถูกล่ามตรวนที่มือเท้า โซ่เหล็กสี่เส้นลากยาวจากปากของหัวราชสีห์ที่ฝังอยู่บนกำแพงสองฝั่งมาพันธนาการตัวเขาเอาไว้
บุรุษผู้นั้นดิ้นรนอย่างแรงจนโซ่เหล็กรัดกินลึกเข้าไปในเนื้อ คราบเลือดเป็นด่างดวงไหลลงมาตามโซ่เหล็ก บางรอยก็แห้งกรังทิ้งรอยด่างไว้บนพื้น
ฝั่งตรงข้ามของเขามีนักเวทศักดิ์สิทธิ์สีหน้าเคร่งขรึมสองคนยืนอยู่กับรานีอสูร
เสียงครืนแผ่วเบาดังขึ้น ประตูห้องศิลาเลื่อนเปิดอย่างเชื่องช้า บุรุษร่างกำยำสองคนเดินเข้ามา บุรุษฝั่งซ้ายร่างกายสูงใหญ่กว่า ดวงหน้างามสง่า สวมอาภรณ์ยาวสีขาวนวลที่สะอาดไม่มีฝุ่นติดสักเม็ด บนร่างมีกลิ่นหอมอบอวลลอยโชยออกมา ส่วนบุรุษฝั่งขวาสวมอาภรณ์ตัวหลวมสีเทาผูกสายคาดเอวสีเงิน เขาอายุราวห้าสิบปี มีหนวดเคราเล็กน้อย หน้าตางามสู้บุรุษที่อยู่ด้านข้างไม่ได้ ทว่าดูแล้วเคร่งขรึมน่าเกรงขามกว่าเล็กน้อย
เมื่อทั้งสองคนเดินเข้ามาในห้องศิลา นักเวทศักดิ์สิทธิ์สองคนก็คำนับอย่างนอบน้อม “ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ ประมุขเย่ว์หวา”
บุรุษที่ถูกเรียกว่าปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ผงกศีรษะตอบนิ่งๆ
หลังจากทั้งสองคนเข้ามาในห้องก็มีบุรุษอีกคนหนึ่งตามเข้ามาติดๆ เขาก็คือราชครูที่ไม่เห็นหน้ามานานแล้วนั่นเอง
ดูจากรูปโฉมแล้วอายุของราชครูน่าจะแก่ที่สุดในทั้งสามคน แต่ดูจากตำแหน่งแล้ว เขากลับมีฐานะต่ำต้อยที่สุดในหมู่ทั้งสามคน แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับนักเวทศักดิ์สิทธิ์อีกสองคน ตัวเขาที่ควบคุมธนูจันทร์โลหิตได้ย่อมฐานะสูงกว่าอยู่ไม่น้อย
รานีอสูรขยับกายวูบเดียวก็มาอยู่ข้างกายปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ให้รางวัลนางเป็นยาพิษหนึ่งเม็ดโดยที่ไม่เปลี่ยนสีหน้าสักนิด นางรับไปอย่างเบิกบานใจ
ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์เดินไปข้างหน้าสองสามก้าว นักเวทศักดิ์สิทธิ์สองคนยกแขนขึ้นมากั้นเขาไว้อย่างพร้อมเพรียง นักเวทศักดิ์สิทธิ์ฝั่งซ้ายบอกว่า “ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์โปรดช้าก่อน เมื่อครู่เขาเพิ่งสลบไป ไม่ทราบว่ายามใดจึงจะฟื้น เขาโมโหร้ายยิ่งนัก จะทำรายคนเอาได้”
เย่ว์หวายกมุมปาก “ถูกพวกเจ้าใช้โซ่หาดมังกรพันธนาการมานานถึงเพียงนี้แล้วยังจะทำร้ายคนได้อีกหรือ”
โซ่หาดมังกรคือโซ่ที่ใช้สำหรับจัดการนักรบมรณะโดยเฉพาะ นักรบมรณะธรรมดาหากถูกมัดไว้ไม่กี่ชั่วอึดใจก็ตายคาโซ่แล้ว แต่ราชันอสูรคนนี้เวลาผ่านไปหลายชั่วยามแล้วก็ยังลงมือทำร้ายคนได้อยู่
นักเวทศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นมองเย่ว์หวาอย่างไม่พอใจ แล้วกล่าวว่า “ข้าได้ยินว่าเขาเป็นราชันอสูรที่ประมุขเหยาจีฝึกมา ในสายตาของประมุขเย่ว์หวา ประมุขเหยาจีมีความสามารถน้อยนิดจนนักรบมรณะของนางทนไม่ได้แม้แต่โซ่หาดมังกรเส้นหนึ่งหรือ”
เย่ว์หวาหันมาหัวเราะกับปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ “ดูสิดู ศิษย์ของเจ้าไม่ต้อนรับข้าสักนิด”
ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์มองศิษย์ผู้นั้น อีกฝั่งจึงก้มหน้าลงไป
ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ถามว่า “เล่าสภาพของเขามาสิ”
นักเวทศักดิ์สิทธิ์ตอบว่า “ราชันอสูรขั้นหก เพิ่งจะเลื่อนขั้นไม่นาน หลังจากเลื่อนขั้นแล้วก็ไม่ได้กินยาพิษอีก”
ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ขมวดคิ้วถามว่า “ไม่ได้กินยาพิษ แล้วยังสู้ชนะรานีอสูรอีกหรือ”โ
นักรบมรณะทุกคนล้วนต้องพึ่งยาพิษเพื่อเลื่อนขั้นเป็นราชันอสูร หลังจากเลื่อนขั้นแล้วก็ยังต้องกินยาพิษอย่างต่อเนื่องทุกวัน มิเช่นนั้นกำลังภายในจะลดฮวบอย่างรวดเร็วจนสุดท้ายหล่นร่วงจากระดับราชันอสูร
นักเวทศักดิ์สิทธิ์ตอบว่า “เขาไม่เพียงไม่ได้กินยาพิษของนักรบมรณะ แม้แต่ยาพิษธรรมดาที่สุดก็ยังไม่ได้กินด้วย”
รานีอสูรมองราชันอสูรอย่างริษยา
ดวงตาของปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ทอประกายวูบหนึ่ง
ประมุขเย่ว์หวาหัวเราะ “ไม่เสียทีเป็นสมบัติที่เหยาจีฝึกออกมา ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ เรื่องการปราบราชันอสูร ข้าต้องยอมเจ้า แต่หากพูดถึงการฝึกนับรบมรณะ ดูท่าเจ้าคงต้องยอมเหยาจีสินะ”
ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ได้ยินคำนี้ไม่เพียงไม่โกรธ แต่กลับเห็นด้วยอย่างยิ่ง “เป็นสมบัติที่หาได้ยากจริงๆ พลังของรานีอสูรสัมพันธ์กับพรสวรรค์ของนางอย่างมาก แต่หากไม่ได้กินยาพิษวันละหนึ่งเม็ด นางก็คงไม่บรรลุขั้นเจ็ดรวดเร็วขนาดนี้”
ทว่าถึงจะบรรลุขั้นเจ็ด มีข้อได้เปรียบใหญ่หลวงด้านระดับพลัง แต่นางก็ยังถูกราชันอสูรตรงหน้าบดขยี้ เขาเป็นราชันอสูรที่แข็งแกร่งที่สุดจริงๆ ใกล้เคียงกับตัวตนของคนผู้นั้นเหลือเกิน…
“รานีอสูร” จู่ๆ ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ก็เอ่ยปากเรียก
รานีอสูรผู้กำลังน้ำลายไหลกับยาพิษพอได้ยินคำพูดของเจ้านายก็เก็บยาพิษไปอย่างอาลัยอาวรณ์
ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์เหลือบมองราชันอสูรแล้วบอกว่า “โจมตีเขา ข้าอยากดูซิว่าเขาจะทนรับการโจมตีได้ถึงระดับใด”
รานีอสูรพอใจกับคำสั่งนี้อย่างที่สุด นางขยับมือไม้จากนั้นก็ตบราชันอสูรอย่างไม่เกรงใจสักนิด
ร่างกายของราชันอสูรเป๋ไปอย่างแรง เขาได้สติขึ้นมาช้าๆ เขายกศีรษะที่มีเหงื่อเปียกโชกขึ้นมา ดวงตาประหนึ่งอสุรามองไปยังผู้คนภายในห้อง
ชั่วพริบตาที่สายตาของเขามองมา ทุกคนต่างรู้สึกว่าหัวใจของตนสั่นสะท้านเบาๆ
ไม่นานรานีอสูรก็ฟาดฝ่ามือที่สองลงมาดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
ร่างกายของราชันอสูรเป๋ไปอีกครั้ง ลมปราณของเขาค่อยๆ แผ่วเบาลง ทว่ายังอยู่ห่างไกลจากการบาดเจ็บหนักหรือความตายมากนัก
แววตาของปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ฉายแววยินดี
ราชครูเห็นราชันอสูรถูกตบตีอย่างที่ไม่อาจสวนกลับได้ก็ขมวดคิ้วจนยับย่น
ประมุขเย่ว์หวายิ้มตาหยีเอ่ยขึ้นว่า “อย่าตบจนพังเสียเล่า”
พอรานีอสูรเงื้อฝ่ามือที่สาม ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ก็ห้ามนางไว้แล้วเดินมาตรงหน้าราชันอสูรที่แทบจะยืนไม่ไหว ต้องห้อยต่องแต่งอยู่บนโซ่เหล็ก แล้วดีดนิ้วสั่งรานีอสูร
รานีอสูรเดินเข้ามาหาก่อนจะคุกเข่าข้างหนึ่งลงไปกับพื้น ก้มหน้าลง ยื่นมือขวาออกมาแตะรองเท้าของปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์อย่างนอบน้อม
นี่คือการยอมสวามิภักดิ์ของรานีอสูร
ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์หันไปมองราชันอสูร แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าวางอำนาจ “เห็นหรือไม่ หากเจ้ายอมรับข้าเป็นนาย ข้าก็จะให้คนปล่อยเจ้าไป”
ราชันอสูรคำรามใส่ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ “โฮกกก!”
นักเวทศักดิ์สิทธิ์สองคนตกใจกลัวจนสะอึก แต่ละคนขยับหนีไปด้านข้างแล้วกระชากโซ่เหล็กบนกำแพง โซ่เหล็กรัดแน่นขึ้นหลายส่วน มันบาดเนื้อหนังของราชันอสูรราวกับคมมีด
ราชันอสูรคำรามอย่างเจ็บปวด
ตั้งแต่ต้นจนจบปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์หนังตาไม่กระตุกสักนิด เขาจ้องราชันอสูรที่ใบหน้าบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวดนิ่งๆ “เจ้าไม่เชื่อฟังแต่โดยดี ข้าก็มีวิธีให้เจ้าเชื่อฟัง แต่หากเป็นเช่นนั้นเจ้าคงต้องทุกข์ทรมานไม่น้อย เจ้าจงคิดให้ดี”
ราชันอสูรคำรามอย่างเกรี้ยวกราด “โฮกกก!”
ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ส่งสัญญาณมือ
นักเวทศักดิ์สิทธิ์สองคนยกน้ำอ่างหนึ่งเข้ามา ทั้งสองคนสวมถุงมือโลหะสีทองหม่นคู่หนึ่ง จากนั้นจึงจับลำคอของราชันอสูรแล้วกดศีรษะของเขาลงไปในน้ำ
การจับนักรบมรณะกดน้ำทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวยิ่งกว่าใช้ดาบแทงพวกเขาอีก
ทั้งสองคนกดจนพอประมาณแล้วก็จับศีรษะของราชันอสูรขึ้นมา
ราชันอสูรสั่นสะท้านไปทั้งตัว ทว่าดวงตาดุร้ายคู่นั้นยังไม่มีวี่แววของการยอมจำนนแม้แต่น้อย
ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์สั่ง “อีกหน”
ทั้งสองคนกดราชันอสูรลงไปอีกหน
ราชครูขมวดคิ้ว