หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 25-3 เจ้าซาลาเปาน้อยมาแล้ว
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 25-3 เจ้าซาลาเปาน้อยมาแล้ว
ตอนที่ 25-3 เจ้าซาลาเปาน้อยมาแล้ว
เย่ว์หวายิ้มอย่างขบขัน “ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ ท่านอย่าล้มเหลวเชียว ข้าดูแล้วเจ้าจีหมิงซิวนั่นเหมือนจะไม่ต้องลงแรงขนาดนี้ด้วยซ้ำ ท่านจะไปขอร่ำเรียนวิชากับพวกเขาที่จวนอ๋องหน่อยหรือไม่”
ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์เอ่ยอย่างดูแคลน “บนโลกใบนี้ ไม่มีราชันอสูรที่ข้าฝึกให้เชื่องไม่ได้”
ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ให้คนเพิ่มระดับการทรมานอีก น้ำใช้ไม่ได้ผล ก็ให้คนไปหยิบแส้ฝึกมังกร ทุกแส้ที่ฟาดลงบนร่างของราชันอสูรเหมือนฉีกกระชากวิญญาณของเขาเป็นชิ้นๆ ราชันอสูรเจ็บปวดจนทั่วร่างเหงื่อกาฬแตกพลั่ก
ไม่รู้ว่าเฆี่ยนไปนานเท่าใด แต่มือของนักเวทศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองคนชาหมดแล้ว ราชันอสูรสลบไปไม่รู้รอบที่เท่าไร แต่ทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมา สีหน้าก็ไม่ยอมโอนอ่อนสักนิด ดวงตามีแต่สายตาอยากจะกินปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ลงไป
ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์มองเขาอย่างเย็นชา “ขังเอาไว้”
ราชันอสูรถูกขังอยู่ในห้องลับที่ไร้แสงสว่าง ไม่มีแม้กระทั่งเสียงใดๆ เขาไม่รู้ว่าเวลาผันผ่านไปเท่าใดแล้ว คลื่นความหวาดกลัวถาโถมซ้ำกระหน่ำบนร่างเขา
เขานอนอยู่บนแผ่นหินเย็นเฉียบและแข็งกระด้าง ขดร่างกายที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นก้อนกลม มือกำถั่วเคลือบน้ำตาลเม็ดน้อยที่น้ำตาลละลายไปมากกว่าครึ่งและเหลืออยู่เพียงเม็ดเดียว แล้วสะอื้นไห้อย่างหวาดกลัวและน่าสงสาร
…
เฉียวเวยนอนไม่หลับทั้งคืน พอหลับตาลงเห็นภาพแววตาเศร้าสลดของราชันอสูรยามถูกจับตัวไป หัวใจของนางก็บีบรัด หากพูดถึงวรยุทธ์ เขาเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่ง แต่หากพูดถึงสติปัญญา เขายังสู้เด็กน้อยอย่างจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูสองคนนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ
เฉียวเวยนอนพลิกไปพลิกมาอยู่หนึ่งคืน รอจนถึงรุ่งสางอย่างยากลำบากแล้วรีบไปที่ท้ายเรือน
ท้ายเรือนมีรังนกชั่วคราวรังหนึ่งถูกสร้างเอาไว้ อินทรีทองนอนอยู่ในรัง กระพือปีกเป็นระยะ
เฉียวเวยถอดผ้าพันแผลของอินทรีทองออก จากนั้นลูบบาดแผลที่สมานดีแล้ว “บินได้แล้วหรือยัง”
อินทรีทองกระพือปีก
เฉียวเวยสวมขากลไกที่ใต้เท้าเจ้าสำนักทำให้ใหม่ มันปรับตัวอยู่ทีสองทีก็ใช้งานได้ดียิ่งกว่าก่อน
เฉียวเวยผูกจดหมายที่เขียนเสร็จแล้วไว้บนขาของมัน ความจริงเฉียวเวยไม่แน่ใจนักว่ามันเคยไปลัทธิศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ จึงชี้ทิศทางให้มันไปที่เมืองอวิ๋นจง จะตามหาองค์ชายสามพบหรือไม่ก็ต้องดูโชคของมันแล้ว
อินทรีทองกระพือปีกบินจากไป
…
ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ในยามเช้าตรู่ถูกอาบด้วยหิมะขาวโพลน มันดูมีมนตร์ขลัง น่าเกรงขาม อีกทั้งยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายโบราณลึกลับ
ภายในหอศิลาแห่งหนึ่งองค์ชายสามผู้มักจะตื่นสายกลับไม่อืดอาดบนเตียงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน บ่าวรับใช้ทั้งหลายที่คอยปรนนิบัติยกสำรับเช้าเดินเรียงรายเข้ามา
ไม่นานภายในห้องก็ได้ยินเสียงองค์ชายสามขว้างจานและเสียงตวาดเกรี้ยวกราดของเขาลอยมา “ทุกวันกินแต่เจ้านี้! ข้าเป็นหมูหรือไร! พวกเจ้าไม่รู้จักหาอาหารอย่างอื่นมาให้ข้าบ้างหรือ!”
ศิษย์หญิงคนหนึ่งที่คอยรับใช้ข้างกายเขายอบกายคำนับอย่างนอบน้อม “องค์ชายสาม อาหารเหล่านี้เป็นอาหารชนิดใหม่ที่ห้องครัวเพิ่งเคยทำนะเพคะ…”
องค์ชายสามพองขน “อาหารใหม่อะไร ไม่ใช่เนื้อกระต่ายหรือ นี่ก็ข้าวต้มปลาหรือไม่ใช่ เมื่อวานข้าไม่ได้กินไปแล้วหรือไร เมื่อวานซืนก็กินไปแล้วไม่ใช่หรือไร”
ไม่ ไม่นี่เพคะ…
ศิษย์หญิงในใจคิดเช่นนี้ แต่ปากกลับไม่กล้าปฏิเสธ
“ข้าไม่กินเจ้าพวกนี้!” องค์ชายสามบอกอย่างไม่เกรงใจสักนิด
ศิษย์หญิงถามตัวสั่นเทา “ถ้าเช่นนั้น…องค์ชายสามอยากเสวยสิ่งใดเพคะ หม่อมฉันจะไปสั่งห้องครัวให้ปรุงให้”
องค์ชายสามทุบโต๊ะอย่างบ้าคลั่ง “อาหารที่ห้องครัวของพวกเจ้าปรุงรสชาติไม่ได้เรื่อง! ข้ากินแล้วอยากจะอาเจียน! เสด็จแม่ของข้าเล่า ข้าจะพบเสด็จแม่ของข้า! ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่กับพวกเจ้าแล้ว! ข้าจะกลับ! ข้าจะกลับ! ข้าจะกลับ! ข้าจะกลับ!”
ศิษย์หญิงไม่เข้าใจว่าองค์ชายสามผู้อ่อนโยนมาตลอดมีเรื่องอะไรกระทบกระเทือนจิตใจ เหตุไฉนเช้ามาจึงอาละวาดใหญ่โตเช่นนี้
เสียงดังเอะอะดึงความสนใจของปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ที่เดินผ่านหอศิลาอยู่ทุกวัน
ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์เดินเข้ามา “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
องค์ชายสามแค่นเสียงดังเหอะ!
ศิษย์หญิงก้มหน้ารายงาน “เรียนปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ องค์ชายสามไม่อยากเสวยอาหาร บอกว่า…ไม่อร่อยเจ้าค่ะ”
องค์ชายสามว่าอย่างไม่สบอารมณ์ “แค่ไม่อร่อยเท่านั้นหรือ ไม่อร่อยมากๆ เลยต่างหาก!”
ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ถามว่า “องค์ชายสามต้องการเสวยสิ่งใดพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายสามสั่งอย่างเจ้ากี้เจ้าการ “ข้าอยากกินแพะหันของเมืองเยี่ยเหลียง! ร้านเก่าแก่ที่ถนนหนานเถิง! พวกเจ้ารีบไปเอาแพะหันของร้านนั้นมาให้ข้าตัวหนึ่ง!”
ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างจะนิ่งสงบ “องค์ชายสามต้องการกินแพะหัน พ่อครัวของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ก็ปรุงได้”
องค์ชายสามกลอกตา “พ่อครัวของพวกเจ้าน่ะฝีมือย่ำแย่เกินไปแล้ว! เจ้าไม่เห็นหรือว่าข้าผอมลง! ข้าไม่อยากกินอาหารของพวกเจ้าแล้ว! ข้าจะลงจากเขา! ข้าจะกลับวัง! ข้าจะไปหาเสด็จแม่ของข้า!”
ศิษย์หญิงหันไปมองปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์อย่างหวาดผวา
แววตาของปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ชะงักไปวูบหนึ่ง
องค์ชายสามกอดอกบอกว่า “หากไม่ให้ข้าไป ข้าจะอดอาหาร!”
ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์เหยียดมุมปาก “ไม่ใช่แค่แพะหันจากร้านเก่าแก่ร้านหนึ่งหรือ หากองค์ชายสามชอบ กระหม่อมก็จะให้คนไปหามาให้”
องค์ชายสามเสตามองฟ้า “ร้านของพวกเขาไม่ได้มีแต่แพะหันที่อร่อย แกงเครื่องในแพะก็ไม่เลว นมแผ่นกับแป้งยัดไส้ แล้วก็สุรานมม้าที่ร้อนควันฉุยด้วย”
ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ตอบว่า “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจำได้แล้ว จะให้คนไปซื้อมาเดี๋ยวนี้ รับประกันว่าจะซื้อกลับมาให้องค์ชายสามทั้งหมด”
องค์ชายสามแค่นเสียงขึ้นจมูก “อย่างนี้ค่อยใช้ได้หน่อย!”
ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์เดินออกจากห้อง ก่อนจะไปเขาก็ส่งสายตาให้ศิษย์หญิง
ศิษย์หญิงตามออกมาเงียบๆ
เมื่อมาถึงที่ไม่มีคน ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ก็ถามนางว่า “เหตุใดจู่ๆ องค์ชายสามจึงโวยวายว่าจะไป”
ศิษย์หญิงสันนิษฐานว่า “เขาคงเกิดตะกละขึ้นมาจึงโวยวายว่าจะไปกระมังเจ้าคะ ท่านดูสิ พอท่านรับปากว่าจะซื้อของให้เขาเสร็จ เขาก็ไม่โวยวายแล้ว”
ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ครุ่นคิด “วันสองวันนี้เขาได้พบผู้ใดหรือไม่”
ศิษย์หญิงตอบอย่างมั่นใจ “ไม่มีเจ้าค่ะ”
ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์พยักหน้า “ดูแลองค์ชายสามให้ดี อย่าให้เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“เจ้าค่ะ”
หลังจากปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ผละจากไปแล้ว ศิษย์หญิงก็กลับเข้ามาในห้อง เก็บกวาดของที่อยู่บนพื้น องค์ชายสามนั่งไขว้ห้าง กลอกตาใส่นางครั้งแล้วครั้งเล่า ศิษย์หญิงคิดว่าเขาเพียงอารมณ์ไม่ดีจึงไม่เก็บมาใส่ใจและไม่กล้าอยู่ต่อนานให้เขาหงุดหงิด
หลังจากแน่ใจว่าศิษย์หญิงจากไปไกลแล้ว องค์ชายสามก็พาอินทรีทองที่อยู่ในตู้ออกมา แล้วลูบหัวมันอย่างได้ใจ จากนั้นจึงปล่อยมันออกไปทางหน้าต่าง
เพื่อให้ศิษย์ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ลอบเข้าเมืองมาได้สะดวก เฉียวเวยจึงจงใจยกเลิกกฎอัยการศึกในเมือง
เมื่อคนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองมาถึงร้านขายเนื้อแพะเก่าแก่ที่ถนนหนานเถิง ไห่สือซาน เฉียวเจิงกับสือชีที่อาการบาดเจ็บหายดีเรียบร้อยก็เฝ้าตอรอกระต่ายอยู่นานแล้ว
ศิษย์เข้ามาในเหลาสุราแล้วถามเถ้าแก่ว่า “ร้านของพวกท่านมีแพะหัน แกงเครื่องในแพะ นมแผ่น แป้งยัดไส้กับสุรานมม้าหรือไม่”
ผู้ดูแลยิ้มแย้มตอบว่า “มีขอรับๆ คุณชายจะทานในห้องโถงหรือว่าไปทานบนห้องดีขอรับ”
“ข้าจะซื้อกลับ” ศิษย์สั่ง
“ซื้อกลับหรือ เรื่องนี้…” ผู้ดูแลลังเลก่อนจะเอ่ยต่อว่า “นมแผ่นกับสุรานมม้าพอจะซื้อกลับไปได้อยู่ แต่แพะหัน แกงเครื่องในแพะกับแป้งยัดไส้ต้องทำกินร้อนๆ ถึงจะอร่อยนะขอรับ!”
“แพะหันกินเย็นๆ ก็ได้” ลูกศิษย์เถียง คนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ก็มักจะกินเช่นนี้
ไห่สือซานที่ปลอมตัวเป็นพ่อครัวเดินออกมาอย่างเอื่อยเฉื่อย เขาใช้ภาษาเยี่ยหลัวที่ชัดเปรี๊ยะตามมาตรฐานอธิบายว่า “คุณชายแพะหันของร้านเรากินเย็นๆ ได้ก็จริง แต่แป้งยัดไส้กับแกงเครื่องในแพะต้องกินร้อนๆ หลังทำเสร็จจริงๆ”
ผู้ดูแลเอ่ยต่ออีกว่า “คุณชาย หลายวันนี้หิมะตก ลูกค้าน้อย หากท่าน…ออกเงินไหว พวกเราให้พ่อครัวไปปรุงร้อนๆ ที่บ้านของท่านได้นะขอรับ”
ลูกศิษย์นึกภาพองค์ชายสามผู้บอบบางคนนั้นแล้วก็ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจแต่จนปัญญา “ถ้าเช่นนั้นก็ได้ เอาแพะกลับ แล้วก็เอาพ่อครัวด้วย”
ผู้ดูแลตอบอย่างเกรงใจ “ข้าจะให้คนไปเตรียมตัวเดี๋ยวนี้ คุณชายเชิญดื่มน้ำแกงเครื่องในแพะสักชามก่อนเถิด ไม่คิดเงินขอรับ!”
ลูกศิษย์ตามผู้ดูแลขึ้นไปที่ชั้นสอง ทว่าเพิ่งเข้ามาในห้องส่วนตัวก็ถูกคนฟันฝ่ามือใส่จากด้านหลัง
ไห่สือซานมองศิษย์ที่ล้มอยู่บนพื้นแล้วเก็บฝ่ามือกลับไป จากนั้นก็หิ้วคนเข้าไปในห้อง
ผู้ดูแลหรือจะพูดให้ถูกก็คือเฉียวเจิงรีบปิดประตูห้อง เขาเปิดล่วมยา หยิบอุปกรณ์ออกมาเล็งหน้าของศิษย์แล้วทำหน้ากากหนังมนุษย์ขึ้นมาหนึ่งชิ้น
ฝั่งนี้เพิ่งจะทำเสร็จ สือชีก็แบกศิษย์อีกคนหนึ่งเข้ามาในห้อง
สือชีเป็นนักรบมรณะ เขาไม่จำเป็นต้องแปลงโฉม แค่เดินตามอยู่ด้านหลังทุกคนก็ลอบเข้าไปในลัทธิศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว
ทั้งสามคนลอกคราบเสื้อผ้าของศิษย์ทั้งสองคนออกมา หยิบป้ายหยกของพวกเขาสองคนแล้วพกหน้ากากหนังมนุษย์ที่ทำเสร็จแล้วกลับไปยังจวนมู่อ๋อง
ในจวนมู่อ๋องเฉียวเวยเตรียมแพะหันหนึ่งตัวกับวัตถุดิบที่เหลือที่จำเป็นเอาไว้พร้อมแล้ว สาเหตุที่ต้องย่างล่วงหน้าก็เพราะเมื่อไปถึงลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาจจะไม่มีเวลามากมายให้นางเสียเวลา
พออาหารขนขึ้นรถม้าเสร็จ พวกเขาก็นั่งรถม้าอีกคัน
สารถีคือไห่สือซานกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ย
พวกเขานั่งบนรถม้าเสร็จก็สวมหน้ากากหนังมนุษย์อย่างรอบคอบ
วั่งซูเพิ่งตื่นนอน นางอุ้มเสื้อผ้าเตรียมจะไปหาท่านย่าเล็กให้ช่วยสวมให้ตนเอง คิดไม่ถึงว่าพอออกจากประตูมาก็ได้กลิ่นแพะหันหอมฉุย
วั่งซูสูดน้ำลายแล้วปีนขึ้นรถม้าไปอย่างสะลึมสะลือ
จิ่งอวิ๋นเพิ่งจะกลับมาจากห้องน้ำ พอเห็นน้องสาวปีนขึ้นไปบนรถม้าก็คิดว่าจะออกไปข้างนอก ขาสั้นๆ จึงวิ่งตามไป แล้วหอบแฮ่กปีนขึ้นไปบนรถม้าด้วย
ต้าไป๋เห็นเจ้าซาลาเปาน้อยขึ้นรถม้าก็ตามไปเช่นกัน
หลังจากนั้นจูเอ๋อร์ก็ตามไปด้วย
ไห่สือซานไม่รู้ว่าเลยว่าจังหวะที่ตนไปสวมหน้ากากที่รถคันด้านข้าง ‘รถขนของ’ คันนี้ก็มีสัมภาระแห่งความอลหม่านขึ้นมาจนเต็มคันรถ
ม้าก้าวเดินอย่างกินแรงเล็กน้อย
ไห่สือซานคิดในใจ เห ขนของมามากเกินไปหน่อยสินะ!
เสี่ยวไป๋สวมบทเป็นเจ้าตัวน้อยน่ารักในห่อผ้ามาเนิ่นนานในที่สุดก็อดกลั้นไม่ไหวแล้ว มันรู้ว่าพวกเขาจะออกไปข้างนอกกันอีกแล้วจึงรีบวิ่งฉิวไล่ตามมา ทว่าเมื่อมันเพ่งสายตามองก็พบว่ารถม้าแล่นออกไปไกลแล้ว
ในที่สุดเสี่ยวไป๋ก็ทนไม่ไหว ร้องไห้โฮ…
อินทรีทองเดินย่องเข้ามาหาทีละก้าว จากนั้นมันก็สยายปีกอันองอาจน่าเกรงขาม จงอยปากก้มลงมากินเสี่ยวไป๋เข้าไปในปากแล้วกระพือปีกบินขึ้นฟ้า