หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 26-1 ท่านพ่อราชันอสูร!
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 26-1 ท่านพ่อราชันอสูร!
ตอนที่ 26-1 ท่านพ่อราชันอสูร!
หลายวันที่ผ่านมาอากาศดียิ่งนัก ลมเหนือไม่แรง แสงตะวันอบอุ่น หิมะที่กองทับถมบนถนนจึงละลายไปบ้างแล้ว ระหว่างที่เดินทางผ่านคูน้ำน้อยที่กลายเป็นน้ำแข็งได้ยินเสียงน้ำไหลรินเลือนราง
ล้อรถม้าบดบนผิวถนนที่เต็มไปด้วยกองหิมะจนเกิดเสียงดังแสกสาก
เพราะนั่งรถม้ามา ทุกคนจึงไม่ได้มุ่งหน้าไปทางบันไดสวรรค์ ยังไม่ต้องพูดถึงว่า ‘พ่อครัวธรรมดา’ จะปีนขึ้นบันไดสวรรค์ได้หรือไม่ เพียงแค่สะพานศิลาอันนั้นกับถ้ำภูเขาก็ไม่ใช่สิ่งที่รถม้าจะแล่นผ่านไปได้แล้ว
พวกเขาจะเดินทางไปทางน้ำ
ทุกสิ่งที่ท่าเรือถูกซ่อมแซมจนเรียบร้อยดีแล้วราวกับว่าเมื่อวานไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้นที่นี่ ทว่าในใจทุกคนรู้ดี ราชันอสูรถูกพวกสารเลวนั่นจับตัวไประหว่างที่ข้ามแม่น้ำ
เรือนับว่าลำใหญ่พอสมควร มีไม้กระดานให้รถม้าแล่นลงไปโดยเฉพาะ หลังจากรถม้าแล่นขึ้นมาบนเรือ พวกเขาก็ล่องข้ามไปฝั่งตรงข้ามอย่างปลอดภัย
พวกเขาตรวจสอบหน้ากากหนังมนุษย์ของแต่ละคนรอบหนึ่ง เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีพิรุธจึงเดินทางต่อ
กล่าวตามตรงพวกเขาไม่เคยเดินทางไปลัทธิศักดิ์สิทธิ์ผ่านทางเส้นนี้มาก่อน จุดที่ไกลที่สุดที่เคยไปก็คือยอดเขาชังมั่วกับยอดเขาเชียนหลวน ทว่าสองยอดเขานี้ดูเหมือนจะไม่ได้อยู่ในเมืองอวิ๋นจง ดังนั้นควรจะเดินทางอย่างไร ทั้งหมดล้วนพึ่งม้าเหล่านี้
คำพูดที่กล่าวกันว่าม้าแก่ชำนาญทาง ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผลเสียทีเดียว
หลังจากขึ้นฝั่ง เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับไห่สือซานก็ไม่ได้เร่งรถม้า พวกเขาปล่อยให้ม้าพาพวกเขาเดินทาง การเดินทางหนนี้ลัดเลี้ยวเคี้ยวคด เริ่มจากอ้อมยอดเขาชังมั่ว จากนั้นตรงขึ้นไปที่ยอดเขาเชียนหลวน สองยอดเขานี้ถูกทำลายจนไม่เหลือแต่เศษซากแล้วจึงไม่มีศิษย์อยู่สักคน
หลังออกจากยอดเขาเชียนหลวนก็มุ่งตรงไปทางตะวันออกเฉียงใต้ ตัดผ่านป่าที่ดูเหมือนจะหนาทึบอันตรายแต่ความจริงมีถนนราบเรียบ ต่อมาพวกเขาก็เห็นเมืองแห่งหนึ่ง ประตูเมืองของเมืองแห่งนี้มีคนอยู่มากมาย อย่างน้อยก็เห็นเงาคนอยู่หลายร่างและมีชาวบ้านเข้าๆ ออกๆ อยู่บางส่วน
เวลานี้เยี่ยนเฟยเจวี๋ยสวมใบหน้าของศิษย์ลัทธิศักดิ์สิทธิ์อยู่ เขาล้วงป้ายหยกของศิษย์ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ออกมาให้ศิษย์ที่เฝ้าประตูตรวจดู เห็นชัดว่าศิษย์ที่เฝ้าประตูมีความสัมพันธ์อันดีกับเขาจึงยิ้มแย้มตบบ่าเขาแล้วปล่อยให้รถม้าของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับไห่สือซานแล่นผ่านไป
วันนี้ไม่ใช่วันที่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์เทศนาสั่งสอน ภายในมืองจึงมีชาวเมืองอยู่ไม่น้อย ทว่าเส้นทางที่ม้าพาทุกคนเดินทางไปกลับเป็นเส้นทางน้อยอันห่างไกล พวกเขาเองก็ไม่มีอารมณ์จะชื่นชมทิวทัศน์ในเมือง การเดินทางหนนี้จึงค่อนข้างเงียบสงบ
“เหตุใดยังไม่ถึงอีกเล่า” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยมองท้องฟ้า ความจริงก็ยังไม่นับว่าช้ามาก เพียงแต่ร้อนใจต้องการจะช่วยคนจึงอยากจะให้เร็วขึ้นอีกน้อยก็เท่านั้น ทว่าเขาเองก็ไม่อาจเร่งความมเร็วรถให้มากเกินไปได้ ถนนเส้นนี้ไม่ใช่เส้นทางที่พวกเขาเคยเดินทางผ่านมาก่อน หากเร่งความเร็วมากไปจนทำให้ม้าตื่นกลัว จนพวกมันวิ่งเตลิดมั่วซั่ว พวกเขายังจะไปลัทธิศักดิ์สิทธิ์ได้อีกหรือ
ไห่สือซานเป็นผู้ชำนาญด้านนี้ เขาหาเส้นทางได้เก่งกาจกว่าเยี่ยนเฟยเจวี๋ย เขามองรอบด้านแล้วบอกว่า “ใกล้แล้ว อย่างมากที่สุดอีกสองเค่อก็น่าจะถึงแล้ว”
ไม่ผิดจากที่ว่า ภายในเวลาไม่ถึงสองเค่อทุกคนก็มองเห็นหมู่ปราสาทเก่าแก่ที่ตั้งอยู่บนภูเขาสีเขียวแห่งนั้น
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยลุกขึ้นนั่งตัวตรง
เฉียวเวยหยิบกระจกออกมาส่องดูใบหน้าที่ไม่ได้แปลงโฉมมากมายเพียงแต้มผงสีเหลืองจำนวนหนึ่งของตนเอง คนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ไม่เคยเห็นหน้าตาของนางมาก่อน ต่อให้นางเป็นแม่ครัวก็ไม่มีใครพูดอะไรได้ เพียงแต่ว่าใบหน้าเดิมของนางสะดุดตาเกินไป นางจึงถูผงสีเหลืองทับไว้สองชั้นเพื่อกลบสีผิว ทำให้นางดูเหมือนแม่ครัวยากจนที่ทำงานหนักอยู่ทุกวัน
ตรงประตูทางขึ้นภูเขามีศิษย์เฝ้าอยู่สองคนเช่นเดิม
สองคนนี้ตรวจสอบเข้มงวดกว่าศิษย์ที่ประตูเมืองมาก พวกเขาไม่เพียงให้เฉียวเวยลงจากรถม้าแต่ยังตรวจสอบ ‘รถสินค้า’ ของไห่สือซานด้วย
สภาพภายในรถสินค้าแปลกประหลาดพรรณนาถูกอยู่เล็กน้อย ด้านข้างแพะหันหนังกรอบสีเหลืองทองมันวาวส่งกลิ่นหอมฉุยมีอินทรียักษ์ตัวหนึ่งยืนอยู่ พร้อมกับเพียงพอนน้อยสองตัวนั่งอยู่ด้านข้าง แถมด้วยลิงสีดำตัวจิ๋วอีกหนึ่งตัว
ในมือของสัตว์ทั้งสี่ถือเนื้อที่ฉีกออกมาจากแพะหันตัวละชิ้น เมื่อเห็นม่านรถม้าขยับไหว พวกมันก็ซุกเนื้อไว้ด้านหลังพร้อมกัน! จากนั้นเบิ่งดวงตาเดรัจฉานอันไร้เดียงสาจ้องมองศิษย์ที่เปิดม่านรถตาปริบๆ
แพะหัน อินทรีทอง เพียงพอนหิมะกับลิงหรือ
วัตถุดิบทำอาหารหลากหลายดีนะ
ศิษย์คลี่ยิ้มปล่อยม่านรถม้าลงแล้วให้รถม้าแล่นผ่านไป
ไห่สือซานมั่นใจกับวัตถุดิบทำอาหารบนรถมาก เขาไม่ได้ซุกซ่อนของปลอมเอาไว้แม้แต่น้อย แล้วยังไม่ได้พกอาวุธใดๆ มาอีกต่างหาก ดังนั้นตอนที่ศิษย์เดินไปตรวจ เขาจึงไม่แม้แต่จะลงจากที่นั่งบนรถ การถูกปล่อยให้ผ่านไปเป็นสิ่งที่คาดการณ์ไว้อยู่แล้ว
ล้อรถส่งเสียงดังกึงกัง
ฝั่งหนึ่งของแพะหันที่คนนอกมองไม่เห็นถูกกินจนเกลี้ยงเหลือแต่โครงกระดูก
อินทรีทองสยายปีกที่เต็มไปด้วยขนนกเผยให้เห็นเจ้าซาลาเปาน้อยสองคนนอนท้องกลมดิกกอดไหสุรานมม้าท่าทางเมามายสะลึมสะลือ
เจ้าซาลาเปาน้อยพากันเรอเสียงดังตามต่อกัน
ไห่สือซานคิดในใจ หูแว่ว หูแว่วสินะ!
…
กล่าวถึงองค์ชายสาม นับตั้งแต่ส่งอินทรีทองจากไป เขาก็เริ่มเดินไปเดินมาภายในห้อง เขาไม่รู้ว่าพวกเฉียวเวยจะลอบเข้ามาได้จริงหรือไม่ ระหว่าทางจะถูกคนจับได้หรือเปล่า
ศิษย์หญิงที่คอยรับใช้ข้างกายนำอาหารเข้าเข้ามาส่งในห้องเป็นรอบที่สามแล้ว “องค์ชายสาม อย่างไรก็เสวยอะไรหน่อยเถิดเพคะ”
องค์ชายสามโบกมือด้วยหัวใจที่กระวนกระวาย “ไม่กินๆ! ก็บอกแล้วว่าอาหารของพวกเจ้าไม่อร่อย เหตุใดจึงยังเอามาให้ข้ากินอีก แพะหันที่ข้าให้พวกเจ้าไปซื้อมาเล่า ซื้อมาแล้วหรือยัง นี่มันใกล้จะเวลาอาหารกลางวันอยู่แล้ว! ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว!”
ศิษย์หญิงตอบอย่างกระอักกระอ่วน “ยามนี้หิมะตกทับถมบนถนน การเดินทางคงไม่สะดวก องค์ชายสามมิสู้กินอะไรรองท้องหน่อยเถิดเพคะ”
องค์ชายสามปฏิเสธอย่างดื้อรั้น “ข้าไม่กิน! ข้าจะกินแพะหัน! ไม่มีแพะหัน ข้าจะลงจากเขา!”
ตอนนี้สิ่งที่ศิษย์หญิงกลัวที่สุดก็คือได้ยินคำพูดว่าเขาจะลงจากเขา ความจริงศิษย์หญิงไม่เข้าใจว่าคนเบื้องบนเหตุใดจึงต้อนรับองค์ชายของเมืองเยี่ยเหลียงคนหนึ่งเช่นนี้ ด้วยขุมกำลังของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาไม่จำเป็นต้องเห็นเมืองเยี่ยเหลียงอะไรนั่นอยู่ในสายตาสักนิด ทว่าพวกเขากลับทำราวกับองค์ชายคนนี้เป็นลูกรัก ผู้ใดก็หาเรื่องไม่ได้ ผู้ใดก็ล่วงเกินไม่ได้
องค์ชายสามถลึงตาใส่นาง แล้วเอ่ยอย่างดุร้าย “เจ้ายืนนิ่งอยู่ทำอะไร คิดจะแอบอู้หรือ ยังไม่รีบออกไปอีก!”
ศิษย์หญิงหิ้วกล่องอาหารเดินออกไป
พอนางเดินออกไปไกลแล้ว องค์ชายสามก็ตบหน้าอก ตนเองดุร้ายยิ่งนัก น่ากลัวเหลือเกิน!
องค์ชายสามไม่ต้องรอคอยนานนัก ศิษย์หญิงเพิ่งก้าวออกไปข้างนอก องค์ชายสามก็ได้ยินเสียงล้อรถม้าบดถนน เวลานี้คนที่นั่งรถม้าแล่นเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผยได้คงมีแต่แม่ครัวของร้านเก่าแก่ร้านนั้น!
เขาพุ่งนำหน้าออกไปทันที แม้แต่ศิษย์ที่กำลังมุ่งหน้าไปตรวจสอบก็ฝีเท้าไม่ไวเท่าเขา อึดใจเดียวเขาก็พุ่งมาถึงหน้ารถม้า เขาจำเยี่ยนเฟยเจวี๋ยที่แปลงโฉมมาแล้วไม่ได้ แต่เขาจำเฉียวเวยที่ลงมาจากรถม้าได้
เฉียวเวยเพียงแต่งหน้าให้ตนเองดูน่าเกลียดขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น ในสถานการณ์ที่รู้อยู่แล้วว่านางจะมาจึงไม่ยากที่จะจำได้
องค์ชายสามดวงตาเป็นประกาย
ศิษย์หญิงที่เดินตามมามองเฉียวอย่างระแวดระวังเป็นอย่างแรก จากนั้นก็มองไห่สือซานกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยที่ลงมาจากรถม้า นางรู้จักศิษย์สองคนนี้จึงไม่สงสัยอะไร แต่…เหตุใดจึงเป็นแม่ครัวเล่า
เฉียวเวยคำนับองค์ชายสาม
องค์ชายสามกระแอม แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าขึงขัง “เหอะ ที่แท้ก็เจ้านี่เอง เจ้ามาได้อย่างไรกัน”
ศิษย์หญิงถามอย่างสงสัย “องค์ชายสามรู้จักนางหรือ”
องค์ชายสามตอบว่า “ต้องรู้จักแน่นอนอยู่แล้ว แม่ครัวใหญ่ของเหลาสุราแห่งนั้นอย่างไรเล่า! นางทำแพะหันอร่อยที่สุดแล้ว!”
ไห่สือซานคำนับองค์ชายสามตามแบบชาวเยี่ยหลัว แล้วใช้ภาษาเยี่ยหลัวตอบว่า “อาหารบางอย่างทานตอนเย็นแล้วไม่อร่อย ข้าน้อยจึงบังอาจเชิญแม่ครัวมาพ่ะย่ะค่ะ”
ศิษย์หญิงตวัดสายตาดุดันมาทันที “เจ้าบังอาจจริงๆ! ถึงกับพาคนนอกเข้ามาในลัทธิศักดิ์สิทธิ์!”
องค์ชายสามกลับตวาดแสกหน้า “ไม่พามาแล้วข้าจะกินอะไร! เจ้าจะให้ข้ากินของเย็นๆ หรือ นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร เจ้าอยากให้ข้าท้องเสียใช่หรือไม่!”
ศิษย์หญิงขมวดคิ้วก้มหน้าลง “อวิ๋นอิงไม่กล้า”
“ไปๆ ไม่มีงานของเจ้าแล้ว!” องค์ชายสามไล่ศิษย์หญิงทันที
องค์ชายสามเอื้อมมือออกมา ตั้งใจจะลากเฉียวเวยกลับห้อง แต่เฉียวเวยส่ายหน้าให้เขาเบาๆ เขาเข้าใจความนัยจึงมองศิษย์รอบด้าน รวมถึงศิษย์คนที่ได้รับคำสั่งให้ไปเชิญพ่อครัวมา แล้วแสร้งใช้เสียงวางท่า “ข้า…ข้าหิวแล้ว! รีบไปทำอาหารมาเร็วเข้า!”
เฉียวเวยทำสีหน้านอบน้อมใช้ภาษาเยี่ยหลัวตอบอย่างคล่องแคล่วพอสมควร “กราบทูลองค์ชาย แพะหันปรุงมาเสร็จแล้ว เหลือแต่แป้งยัดไส้กับแกงซี่โครงแพะที่ต้องทำร้อนๆ เพคะ”
องค์ชายสามโบกมือบอกว่า “ตอนนี้ข้ายังไม่อยากดื่มน้ำแกงซี่โครงแพะ แล้วก็ไม่อยากกินแป้งยัดไส้ด้วย ไม่ได้ดื่มชาเนยที่เจ้าชงมาตั้งนานแล้ว เจ้าเข้ามาชงให้ข้าสักถ้วยสิ”
“เรื่องนี้…” เฉียวเวยลังเล
องค์ชายสามหันไปมองพ่อครัวที่อยู่ด้านข้าง “พวกเจ้าไปหั่นเนื้อแพะมา! อาหารอย่างอื่น…มีอะไรก็ทำมา ไปสิๆ!”