หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 27-1 ช่วยราชันอสูร
ตอนที่ 27-1 ช่วยราชันอสูร
เรื่องนี้จะโทษว่าปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ประมาทก็ไม่ได้จริงๆ แต่เดิมประตูหินบานนี้มีกลไกเปิดปิดอยู่ หลังจากผลักเข้ามาด้านในหนึ่งฉื่อ มันก็จะขยับไปด้านข้างอย่างช้าๆ ทว่าปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ไหนเลยจะคิดว่าวันหนึ่งจะมีคนผลักมันเข้ามาตรงๆ
ทั้งร่างของปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ถูกฟาดไปติดอยู่ในกำแพง แงะก็แงะไม่ออก
วั่งซูได้ยินเสียงดังโครมก็รู้สึกเหมือนตนเองชนผู้ใดเข้า นางรีบอ้อมไปดู หลังจากแงะประตูหินออกมานางก็เห็นปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์อยู่ในกำแพง
นางรีบลากปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ออกมา พอเห็นปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์หายใจรวยริน ดวงตาเหลือกลอย วั่งซูก็ตระหนักว่าตนเองทำความผิดร้ายแรงเข้าให้แล้ว นางร้อนใจจนเนื้อน้อยๆ บนร่างกระเพื่อมเป็นลายคลื่นน้ำ “ขออภัยเจ้าค่ะท่านลุง ข้าไม่รู้ว่าท่านอยู่ด้านหลัง! หากข้ารู้ข้าจะไม่เปิดประตูแน่นอน!”
นางพูดพลางเขย่าร่างของปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์รู้สึกว่ากระดูกของตนเองกำลังจะถูกเจ้าตุ้ยนุ้ยคนนี้เขย่าจนหลุดเป็นชิ้นๆ
แต่เดิมปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์อยากจะเอ่ยปากพูด แต่เจ้าตุ้ยนุ้ยคนนี้เขย่ารุนแรงเกินไป คราวนี้ไม่เพียงกระดูกที่เหมือนจะหลุดเป็นชิ้นๆ แม้แต่อวัยวะภายในทั้งหลายก็ราวกับถูกย้ายที่ เขาทรมานจนพูดไม่ออกสักคำ
วั่งซูเห็นตนเองใช้แรงมากขนาดนี้ก็ยังเขย่าท่านลุงคนนี้ไม่ตื่นจึงยิ่งรู้สึกละอายใจกว่าเดิม (ความจริงตื่นแล้ว แต่ตาเหลือกอยู่เท่านั้นเอง…)
ตนผิดเองที่พรวดพราดเข้ามาตามใจจนฟาดท่านลุงคนนี้สลบไป
ท่านลุงอายุปูนนี้แล้ว หากไม่รีบช่วยชีวิตต้องตกอยู่ในอันตรายแน่
วั่งซูตบหน้าอกเล็กๆ ของตนเองแล้วบอกว่า “ท่านลุงวางใจเถิด ท่านตาของข้าเป็นหมอเทวดา ท่านแม่ของข้าก็เป็นหมอเทวดา ข้าเองก็เป็นหมอเทวดาตัวน้อย ข้าจะต้องช่วยท่านได้แน่นอน!”
มังกรให้กำเนิดมังกร หงส์ให้กำเนิดหงส์ ลูกของมุสิกเกิดมาก็ขุดโพรงเป็น ลูกของหมอเทวดาย่อมช่วยคนเจ็บคนป่วยให้รอดได้เหมือนกัน!
ยิ่งไปกว่านั้นนางเคยช่วยเหลือคนมาตั้งมากมายแล้ว นางเป็นหมอเทวดาน้อยผู้มีประสบการณ์!ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
วั่งซูเห็นว่าบนร่างของเขาไม่มีเลือดไหล ดวงหน้าน้อยจึงเอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “ท่านไม่มีบาดแผลภายนอก น่าจะบาดเจ็บภายใน! ท่านยายทวดของข้าก็บาดเจ็บภายใน ท่านตาของข้าจึงฝังเข็มให้นาง ฝังไม่กี่เข็มก็ดีขึ้นแล้ว!”
ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกฟาดจนขาหักอยู่เห็นๆ “…”
“แต่ข้าไม่มีเข็มนี่นา!” วั่งซูผายมือ แล้วถอนหายใจอย่างจนปัญญา
ในหัวใจของปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์เกิดลางสังหรณ์ร้ายขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ เขาซ่อนกล่องที่ร่วงตกไปด้านหลังเข้าไปในแขนเสื้อกว้างอย่างไม่รู้ตัว
เขาไม่ซ่อนก็ยังไม่เป็นอะไรหรอก แต่พอซ่อน วั่งซูก็สังเกตเห็นทันที
วั่งซูหยิบกล่องขึ้นมา พอเปิดกล่องออกก็เห็น…ตะปูตัวยาวสีเงินวาววับเรียงเป็นแถว ตะปูหนากว่าเข็มมาก แต่มันก็ปลายแหลมๆ เหมือนกัน ยาวๆ เหมือนกัน แล้วยังเป็นสีเงินทั้งหมดด้วย พอคิดสะระตะแล้ว นี่มันก็เหมือนเข็มเงินของท่านแม่ท่านตาของนางเลยไม่ใช่หรือ
ที่แท้ท่านลุงคนนี้ก็เป็นหมอเหมือนกันหรือนี่!
ในจินตนาการของวั่งซู มีแต่หมอเท่านั้นจึงจะพกเข็มเงินติดตัว!
ไม่นานวั่งซูก็เห็นภาพวาดใต้เข็มเงิน
นี่จะต้องเป็นตำราแพทย์ของท่านลุงแน่นอน
วั่งซูศึกษา ‘ตำราแพทย์’ อย่างละเอียดถี่ถ้วน ตัวอักษรบนนั้น นางอ่านไม่ออก แต่ภาพวาดนี่เข้าใจง่ายยิ่งนัก นางรู้แล้วว่าต้องฝังเข็มให้ท่านลุงอย่างไร!
เห็นเจ้าตุ้ยนุ้ยที่โผล่มาจากที่ใดไม่รู้คนนี้ถือตะปูสะกดวิญญาณตัวหนึ่งหันมามองเขา ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ก็ขนลุกไปทั้งตัว เขาขยับตัวคิดจะตะโกนบอกให้เจ้าตุ้ยนุ้ยคนนี้หยุด ทว่าเพิ่งจะหันหน้ามา วั่งซูก็ปักตะปูลงมาแล้ว
วั่งซูมองแผนภาพแล้วมองตำแหน่งที่ตนเองปัก จากนั้นก็ตัดสินใจดึงตะปูสะกดวิญญาณออกมาอีกหน
สาเหตุที่เรียกว่าตะปูสะกดวิญญาณก็เพราะว่ายามที่มันตอกลงไป ไม่เพียงแต่จะทำร้ายร่างกายของมนุษย์เท่านั้น แต่มันยังทำร้ายจิตวิญญาณและปราณกำเนิดอย่างรุนแรงด้วย ความเจ็บปวดที่ซ้ำซ้อนหลายชั้นเช่นนี้ การถูกมีดเสียบธรรมดาไม่อาจเทียบได้อย่างสิ้นเชิง
สำหรับผู้ที่ถูกตะปูตอกบนร่าง สิ่งที่ทรมานที่สุดไม่ใช่การถูกตอกตะปูลงไป แต่เป็นตอนดึงออกมา ความเจ็บปวดราวกับกายเนื้อและวิญญาณถูกฉีกกระชากพร้อมกันนั่นเหมือนทั้งร่างถูกฟันเป็นชิ้นๆ
ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ที่แต่เดิมรวบรวมพละกำลังจะตะโกนบอก เจ็บปวดจนพูดไม่ออกอย่างสิ้นเชิง
จุดที่ดึงตะปูออก โลหิตทะลักออกมาโ
ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์มองวั่งซูอย่างหวาดผวา เขาใช้พละกำลังที่เหลือเพียงน้อยนิด กัดฟันพ่นลมหายใจออกมา “เลือด…เลือด…”
วั่งซูโบกมือน้อยๆ ของตนแล้วบอกว่า “ท่านลุงท่านวางใจเถิด ข้าเป็นหมอเทวดาน้อย ข้าไม่กลัวเลือดหรอก”
ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ “…”
ผู้ใดเป็นห่วงว่าเจ้าจะกลัวเลือดกัน ไม่ใช่ควรห่วงว่าข้ากำลังเลือดไหลหรือไร!
ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์จิตใจใกล้แตกสลายแล้ว!
วั่งซูปักตะปูสะกดวิญญาณสิบแปดตัวลงบนร่างปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ตามแผนภาพทีละตัว นางปักอย่างสนุกสนาน แล้วยังเลียนแบบท่านแม่กับท่านตา ตอนปักหมุนไปด้วยทีละนิดๆ
ทำเช่นนี้ยิ่งเจ็บปวดมากกว่าเดิม…
ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์มีชีวิตมาเกินกว่าครึ่งอายุขัยแล้ว แต่ไม่เคยถูกคนทารุณเช่นนี้มาก่อน เขาเจ็บจนใบหน้าบิดเบี้ยว ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่แล้ว
ช่วยฆ่าให้ข้าตายๆ ไปเสียทีเถิด…
หมอเทวดาน้อยวั่งซูฝังเข็มให้ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์เสร็จก็รู้สึก ‘เหน็ดเหนื่อย’ ยิ่งนัก นางยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อที่ไม่มีอยู่จริงบนหน้าผาก จากนั้นหอบแฮ่กเอ่ยขึ้นว่า “ฟู่ เหนื่อยนักเชียวๆ!”
ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ซาบซึ้งจนอยากจะร่ำไห้ ในที่สุดก็จบเสียที…
วั่งซูยกแผนภาพขึ้นมาพัด พอพัดปุ๊บก็พบว่าด้านหลังยังมีภาพอีกภาพหนึ่ง!
ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์เบิกตาอย่างหวาดผวา อย่าดูนะ! อย่านะ!
วั่งซูย่อมพลิกมาดู หลังจากดูเสร็จแล้วก็ ‘ฝังเข็ม’ ตามแผนภาพใหม่อีกรอบ แผนภาพก่อนหน้านี้ฝังด้านหน้า แผนภาพนี้ฝังด้านหลัง
วั่งซูมองปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ที่หายใจรวยริน แล้วจู่ๆ ก็เข้าใจอะไรบางอย่าง “มิน่าท่านลุงถึงยังไม่หายดี ต้องฝังสองรอบนี่เอง!”
ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ตัวสั่นระริก ร้องตะโกนอยู่ในใจ ไม่ใช่โว้ยไม่ใช่! ปักอีกไม่ได้แล้ว! ช่วยด้วยยยย ช่วยด้วยยย ใครก็ได้…ช่วย…ด้วยยยย
ตอนท่านราชครูหิ้วกล่องอาหารกล่องหนึ่งเดินเข้ามาในห้องลับ เขาก็เห็นปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์นอนไม่ได้สติอยู่บนพื้นกับเจ้าตุ้ยนุ้ยที่มือข้างหนึ่งถือกระดาษหนึ่งแผ่น มืออีกข้างหนึ่งถือตะปูหนึ่งตัว ปักไปปักมาบนร่างของปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์
เจ้าตุ้ยนุ้ยพึมพำว่า “ก็ตรงนี้นี่นา…ไม่ได้ฝังผิดสักหน่อย…”
ขมับของท่านราชครูปูดนูนขึ้นมาทันที เขาเกือบจะขว้างกล่องอาหารในมือออกไป!
เขาไม่มีทางยอมรับหรอกว่าตนเองถูกเจ้าตุ้ยนุ้ยคนนี้ยิงธนูใส่สองหนจนเขากลายเป็นโรคหวาดกลัวเจ้าตุ้ยนุ้ยคนนี้ไปเรียบร้อยแล้ว
ทั้งที่โรคนี้ใกล้จะหายดีแล้วแท้ๆ แต่หลังจากวันนี้ เกรงว่าคงจะเป็นหนักยิ่งกว่าเดิม…
เจ้าตุ้ยนุ้ยคนนี้ใช้ตะปูสะกดวิญญาณตอกร่างปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์
ท่านราชครูรู้สึกเหมือนทั้งร่างไร้เรี่ยวแรง
“เห็นปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์บ้างหรือไม่” ตอนนั้นเองอีกฝั่งของทางเดินก็มีเสียงศิษย์คนหนึ่งดังขึ้น
ศิษย์อีกคนหนึ่งตอบว่า “ข้าก็กำลังหาเขาอยู่เช่นกัน ร่างพิษร่างนั้นหายไปแล้ว ตอนนี้ตำหนักนักเวทศักดิ์สิทธิ์โกลาหลไปหมดแล้ว!”
ทั้งสองคนคุยกันพลางก็เดินมาทางห้องศิลา
ท่านราชครูมองเจ้าตุ้ยนุ้ยบนพื้น คิ้วขมวดมุ่น ดวงตาฉายแววสับสน ครู่หนึ่งหลังจากนั้นเขาก็ตัดสินใจอุ้มเจ้าตุ้ยนุ้ยบนพื้นขึ้นมาแล้วพานางไปยังห้องศิลาอีกห้องหนึ่ง
วั่งซูเอี้ยวตัวมามองเขา แล้วยิ้มอย่างดีใจ “เอ๋ ท่านลุงผู้เฒ่า ท่านเองหรือ”
ท่านราชครูทำมือบอกให้นางเงียบ “ชู่ววว์”
วั่งซูไม่เข้าใจว่าท่านราชครูกำลังทำอะไร แต่นางเป็นเด็กดีเชื่อฟังผู้ใหญ่!
นางปิดปากน้อยของตนเองเอาไว้ แล้วพยักหน้าดวงตาเป็นประกาย
ท่านราชครูเดินออกไปอีกหน แล้วลาก…ร่างของปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์เข้ามาด้วย ความจริงเขาอยากเรียกว่าศพ เพราะถูกตะปูสะกดวิญญาณตอกเสียเป็นสภาพเช่นนี้ไม่ตายก็คงพิการ จากนั้นเขาก็ใช้อาหารในกล่องอาหารกลบคราบเลือดเลอะเทอะบนพื้น
ตอนที่ศิษย์ทั้งสองคนเข้ามาในห้องจึงเห็นท่านราชครูนั่งยองๆ เก็บกวาดอาหารที่หกเละเทะอยู่บนพื้น ทั้งสองคนมองราชันอสูรที่นอนออยู่บนพื้นอย่างไม่ทันคิดอะไรและไม่สังเกตเห็นสภาพผิดปกติอันใด ศิษย์คนหนึ่งในนั้นถามขึ้นมาว่า “นักเวทศักดิ์สิทธิ์ฉิน เจ้าเห็นปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์หรือไม่”
ท่านราชครูตอบว่า “ไม่เห็น”
ศิษย์สองคนจึงหมุนตัวเดินจากไป
ราชครูปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผากแล้วเดินเข้าไปในห้องศิลาพาวั่งซูออกมา แต่วั่งซูกลับวิ่งไปหาราชันอสูรที่นอนอยู่บนพื้นแล้วเอาโซ่หาดมังกรบนร่างของเขาออก นางคุกเข่าอยู่บนพื้น ก้นน้อยๆ ลอยโด่ง ดวงตากลมโตกะพริบปริบๆ มองเขา “ท่านพ่อราชันอสูร”
ราชันอสูรเผยอเปลือกตาอันหนักอึ้งขึ้นมา สิ่งที่สะท้อนเข้ามาในดวงตาคือนัยน์ตาที่สุกสกาวยิ่งกว่าดวงดาราบนฟากฟ้าคู่หนึ่ง หัวใจของเขาพลันอบอุ่น ครางออกมาอย่างน่าสงสารยิ่งนัก “โฮ่งงง”
วั่งซูเฮ่าตอบ “โฮ่งงง”
วั่งซูล้วงถั่วเคลือบน้ำตาลเม็ดน้อยออกมาจากกระเป๋าของตนเองแล้วป้อนเข้าไปในปากของราชันอสูร
สูตรอันคุ้นเคย รสชาติอันคุ้นเคย
ราชันอสูรเกือบจะร้องไห้แล้ว แต่เหตุใดถั่วเคลือบน้ำตาลจึงไม่หวานเล่า
วั่งซู ก็เลียไปแล้วนี่นา!
…