หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 27-2 ช่วยราชันอสูร
ตอนที่ 27-2 ช่วยราชันอสูร
หลังจากศิษย์สองคนเดินออกมาจากคฤหาสน์น้อยก็คิดไม่ออกจริงๆ ว่าปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์จะไปอยู่ที่ใด ทั้งที่เพิ่งเห็นรานีอสูรวิ่งออกไปจากคฤหาสน์น้อยแท้ๆ ปกติแล้วรานีอสูรจะตามติดปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์เป็นเงาไม่ห่างตัว…
“เดี๋ยวก่อน เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่ามีบางอย่างไม่ปกติ” ศิษย์คนหนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นมา
สหายถามว่า “เจ้าหมายถึงตรงไหนไม่ปกติเล่า”
ศิษย์คนนั้นตอบว่า “เมื่อครู่ในห้องลับ ข้าเหมือนจะได้กลิ่นคาวเลือด”
“มีหรือ” สหายได้กลิ่นหอมของอาหารเพียงอย่างเดียว
ศิษย์บอกอย่างรอบคอบ “ข้าจะไปดูอีกหน”
ศิษย์ทั้งสองคนวกกลับมาที่ห้องลับในคฤหาสน์น้อย สิ่งที่ทำให้ทั้งสองคนประหลาดใจก็คือประตูหินของห้องศิลาติดแหงก เปิดอย่างไรก็เปิดไม่ออก
“มีคนอยู่หรือไม่”
“ผู้ใดอยู่ด้านใน”
“เปิดประตูหินหน่อย!”ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
“เปิดประตู! เปิดประตูสิ!”
ขณะที่ศิษย์ทั้งสองคนตะโกนคอแทบแตกอยู่ในห้องศิลา ภายในหอศิลาอันเงียบสงบอีกแห่งหนึ่งก็มีเสียงกร้วมๆ ดังลั่นห้อง
คนตัวโตกับคนตัวเล็กนั่งอยู่บนเก้าอี้ แม้แต่ท่าแกว่งขาแหงนหน้ากรอกถั่วเข้าปากก็เหมือนกันทุกประการ
กร้วมๆ! กร้วมๆ!ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
จังหวะการเคี้ยวถั่วก็ยังตรงกันพอดี!
ท่านราชครูที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามใบหน้ากลายเป็นสีขี้เถ้า ใช้สำลีก้อนโตสองก้อนอุดหูอยู่เงียบๆ
จะบ้าตาย…น่าหงุดหงิดชะมัดเลยโว้ย!
…
กล่าวถึงอีกด้านหนึ่ง เฉียวเวยขโมยสตรีผู้มีร่างหยินบริสุทธิ์คนนั้นออกมาจากตำหนักนักเวทศักดิ์สิทธิ์ได้ไม่นานก็มีคนรู้ตัว แน่นอนว่าพวกเขารู้แต่ว่าร่างหยินบริสุทธิ์ไม่อยู่แล้ว แต่ไม่รู้ว่าคนถูกเฉียวเวยขโมยไป พวกเขาคิดว่าเป็นเหมือนศิษย์พี่รอง นั่นคือนางหนีไปเอง
ตำหนักนักเวทศักดิ์สิทธิ์แตกตื่นโกลาหล
เฉียวเวยส่งนางให้สือชี ให้เขาพาอีกฝ่ายไปซ่อนตัวที่ห้องขององค์ชายสาม
เมื่อครู่ตระเวนจนทั่วตำหนักนักเวทศักดิ์สิทธิ์แล้วรอบหนึ่ง นางจึงแน่ใจว่าราชันอสูรไม่อยู่ที่ตำหนักนักเวทศักดิ์สิทธิ์ ตอนนี้นางต้องไปเสี่ยงโชคที่อื่นดู
วิชาตัวเบาของสือชีล้ำเลิศนัก เขาพาสตรีนางหนึ่งหลบเลี่ยงศิษย์ของลัทธิศักดิ์สิทธิ์รวมถึงนักรบมรณะทั้งหลายแล้วแอบเข้าไปในห้องขององค์ชายสามได้อย่างไม่กดดันสักนิด
เขาลอบเข้าไปในห้องอย่างง่ายดายแล้วยัดนางไว้ในตู้ขององค์ชายสาม หลังจากนั้นเขาก็กอดกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง จ้องประตูตู้เขม็ง
ผ่านไปไม่นาน ประตูตู้ก็ขยับ สตรีนางนั้นคลานออกมาจากตู้
สือชีถีบโครมเดียวก็ส่งนางกลับเข้าไป!
สตรีนางนั้นถูกถีบจนสลบ แต่ไม่นานก็ได้สติกลับมาใหม่
นางคลานออกมาอีกหน
สือชีก็ถีบนางกลับเข้าไปอีกครั้ง
เวลาค่อยๆ เคลื่อนคล้อยผ่านไปโดยที่ฝั่งหนึ่งพยายามคลานออกมาฝ่ายหนึ่งคอยถีบกลับเข้าไปเช่นนี้…
…
วันนี้องค์ชายสามมีภารกิจ ความรู้สึกที่ถูกฝากฝังภารกิจสำคัญให้ความรู้สึกแปลกใหม่และยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง มิน่าพี่รองมักจะตามพี่สะใภ้ออกไปข้างนอกตลอด นับจากวันนี้เป็นต้นไป เขาตัดสินใจแล้วว่าจะตามพี่สะใภ้ไปด้วย!
องค์ชายสามพาเยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับไห่สือซานมาถึงหอตำราลับของลัทธิศักดิ์สิทธิ์โ
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับไห่สือซานแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าของศิษย์ตำหนักนักเวทศักดิ์สิทธิ์ ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์มีตำแหน่งสูงส่งในลัทธิศักดิ์สิทธิ์ อาหารการกินที่พักหลับนอนขององคชายสามล้วนอยู่ในความดูแลของเขา ดังนั้นการที่ด้านหลังขององค์ชายสามมีศิษย์ของตำหนักนักเวทศักดิ์สิทธิ์ตามมาสองคนจึงไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดอันใด
เวรยามที่เฝ้าหอตำราลับปล่อยทั้งสามคนเข้าไปอย่างมีมารยาท
หอตำราลับของลัทธิศักดิ์สิทธิ์กว้างใหญ่มาก มันใหญ่กว่าหอตำราลับของผู้อาวุโสใหญ่ที่ชนเผ่าลึกลับเท่าหนึ่ง
องค์ชายสามบอกว่า “ชั้นแรกไม่ต้องหา ข้าเปิดดูหมดแล้ว มีแต่หนังสือตำราประวัติศาสตร์ เคล็ดวิชาฝึกยุทธ์อยู่ชั้นบน”
ทั้งสามขึ้นไปชั้นบน
หลังจากไห่สือซานได้รับภารกิจให้เดินทางมาเยี่ยหลัว เขาก็ตั้งอกตั้งใจฝึกฝนภาษาเยี่ยหลัวจนวันนี้เรียนสำเร็จบางส่วน พออ่านออกประมาณหนึ่ง
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยไม่เข้าใจภาษาเยี่ยหลัวจึงอยู่กับองค์ชายสาม ให้องค์ชายสามอ่านให้เขาฟังว่าด้านในเขียนอะไรไว้บ้าง
ทั้งสามคนแยกทัพเป็นสองทาง พลิกดูเคล็ดวิชาฝึกยุทธ์ทั้งหมดจนครบ แต่ก็หาเคล็ดวิชาสลายยาพิษของนักรบมรณะไม่พบแต่อย่างใด
“หรือว่าพวกเจ้าจำผิด” องค์ชายสามถาม “มีเคล็ดวิชาเช่นนี้อยู่จริงหรือ”
ไห่สือซานบอกว่า “ท่านยายของท่านบอกว่ามี ก็น่าจะมีจริงๆ”
องค์ชายสามอุทานออกมาคำหนึ่ง “เจ้าพูดเสียข้าอยากพบท่านยายของข้าขึ้นมาเลย! ท่านยายของข้าหน้าตาเป็นอย่างไร เหมือนท่านแม่ของข้ามากหรือไม่”
ไห่สือซานคลี่ยิ้ม “ท่านแม่ของท่าน…น่าจะหน้าตาเหมือนท่านตาของท่านมากกว่า”
“อ้อ” องค์ชายสามผิดหวัง เขาไม่ชอบท่านตาที่ทำให้ท่านยายของเขาต้องถูกไล่ออกจากตระกูลคนนั้นสักนิด!
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยขมวดคิ้วถามขึ้นว่า “องค์ชายสาม ลัทธิศักดิ์สิทธิ์มีหอตำราลับแห่งนี้เพียงแห่งเดียวหรือ มีสถานที่อื่นที่เก็บเคล็ดวิชาฝึกยุทธ์อีกหรือไม่”
องค์ชายสามตอบว่า “แน่นอนว่าต้องมีสิ ในมือพวกประมุขมีเคล็ดวิชายุทธ์ที่ไม่ถ่ายทอดให้ผู้อื่นอยู่”
ไห่สือซานส่ายหน้า “ฟังจากคำพูดของอวิ๋นฮูหยิน เคล็ดวิชาสลายยาพิษน่าจะอยู่ในหอตำราลับของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ไม่ได้อยู่ในมือของพวกประมุข”
“หากเป็นหอตำราลับล่ะก็…อ้อ!” ในชั่วสะเก็ดไฟแลบนั่นเององค์ชายสามก็นึกบางอย่างออก เขาเบิกตาบอกว่า “ถ้าเช่นนั้นก็เหลือแต่ที่นั่นแล้ว!”
“ที่ใดหรือ” ไห่สือซานกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยถามเป็นเสียงเดียวกัน
องค์ชายสามตอบว่า “เกาะอิ๋นหู”
ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ครอบครองพื้นที่กว้างขวางอย่างที่สุด มีภูเขา มีแม่น้ำ แล้วก็มีทะเลสาบด้วย ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในนั้นก็คือทะเลสาบอิ๋นหู องค์ชายสามมาอยู่ที่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์นานถึงเพียงนี้แล้ว ไม่ว่าที่ใดเขาก็ไปเยือนมาแล้วแทบทุกที่ มีเพียงทะเลสาบอิ๋นหูเท่านั้นที่ยังไม่เคยไป
ในทะเลสาบอิ๋นหูมีเกาะน้อยอยู่แห่งหนึ่ง บนเกาะที่อยู่อีกฟากฝั่งของทะเลสาบอิ๋นหูดูเหมือนจะมีบางสิ่งอยู่ แต่แท้จริงแล้วมีอะไรอยู่ องค์ชายสามก็ไม่รู้เช่นกัน
บนฝั่งของทะเลสาบอิ๋นหูมีบ้านไม้น้อยอยู่หลังหนึ่ง ห่างจากบ้านไม้น้อยไปทางตะวันออกสามสิบก้าวคือท่าเรือขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กแห่งหนึ่ง ตรงท่าเรือมีเรือท้องแบนมุงหลังคาไม้ไผ่สีดำลำหนึ่งจอดอยู่
แต่ละวันเรือท้องแบนลำนี้จะไปกลับเกาะอิ๋นหูหนึ่งรอบ งานหลักก็คือขนส่งอาหารสดใหม่ วันนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น สิ่งที่แตกต่างมีเพียงคนเรือในบ้านไม้หลังน้อยกินเห็ดหูหนูขาวต้มพุทราที่ห้องครัวส่งมาให้ไปหนึ่งถ้วย แล้วไม่รู้เกิดอะไรขึ้นจึงท้องเสีย
ท้องเสียหนนี้ทำให้เวลาออกเรือเลื่อนช้าขึ้น
จิ่งอวิ๋นปีนขึ้นไปบนลำเรือก่อนเวลาออกเรือหนึ่งเค่อ ก่อนหน้านี้เขากินแพะหันในรถม้ามากเกินไป จึงกระหายน้ำ แต่ไม่มีน้ำให้ดื่ม เขาจึงได้แต่ดื่มสุรานมม้าเป็นน้ำ
ดื่มเสร็จก็เมามาย นอนหลับใต้ปีกอันอบอุ่นของอินทรีทองไปหนึ่งตื่น หลังจากนั้นก็ถูกปัสสาวะปลุกให้ตื่นเดินสะลึมสะลือลงมาจากรถม้า
หากเป็นก่อนหน้านี้เขาคงจดจำทางกลับได้ แต่หนนี้เขาเมามายจนสติเลอะเลือน ไหนเลยจะรู้ทิศออกตกเหนือใต้อีก
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองปีนขึ้นมาบนเรือได้อย่างไร
เขามุดเข้าไปใต้ผ้าใบที่คลุมอาหารเอาไว้ แล้วอ้าปากหาวสะลึมสะลือหลับไป
ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ไม่มีเด็กน้อย
คนเรือจึงคิดไม่ถึงว่าบนเรือจะมีจิ่งอวิ๋นเพิ่มมาคนหนึ่ง เขาลากร่างอันอ่อนระโหยโรยแรง พายเรือท้องแบนออกจากฝั่งอย่างเชื่องช้า
เมื่อพวกองค์ชายสามมาถึงท่าเรือ เรือท้องแบนก็แล่นออกไปกลางทะเลสาบแล้ว
องค์ชายสามมองเรือท้องแบนที่ใกล้จะหายลับตาแล้วกระทืบเท้า “มาช้าไปเสียแล้ว!”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยมองผิวทะเลสาบสีครามที่ไหวกระเพื่อม แล้วนั่งยองลงไปใช้ปลายนิ้วทดสอบอุณหภูมิของน้ำ “พอไหว น้ำไม่เย็นมากนัก ไม่อย่างนั้นว่ายข้ามไปดีหรือไม่”
เขาเพิ่งจะพูดจบปลากินคนตัวหนึ่งก็กระโดดขึ้นมาจากใต้น้ำ พุ่งเข้ามากัดนิ้วของเขา!
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตกใจจนลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้ากับพื้น!
ปลากินคนกระโจนพลาดเป้าก็เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันร่วงกลับลงไปในน้ำอีกหน
…