หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 27-3 ช่วยราชันอสูร
ตอนที่ 27-3 ช่วยราชันอสูร
เรือท้องแบนแล่นเข้าเทียบชายฝั่ง แต่เดิมควรมีคนรอขนของอยู่ฝั่งนี้ แต่คนเรือมาสาย คนที่รอเขาจึงไปกินข้าวแล้ว
คนเรือได้แต่ใช้แรงของตนเอง ทว่าน่าเสียดายที่เพิ่งขนได้เพียงลังเดียวก็รู้สึกว่าท้องไส้ปั่นป่วนขึ้นมาอีกหน
เขาสาบานว่าชีวิตนี้ไม่เคยเจ็บปวดเท่านี้มาก่อน เขากินอะไรลงไปกันแน่!
คนเรือโยนลังในมือลงกับดาดฟ้าเรือดังโครม เสียงดังสนั่นปลุกจิ่งอวิ๋นให้ตื่น
จิ่งอวิ๋นเปิดผ้าใบตรงหน้า ลมทะเลสาบอันเย็นเฉียบปลุกจิ่งอวิ๋นให้สร่างเมาไปครึ่งหนึ่ง!
ที่นี่ที่ใด
เขาขึ้นมาอยู่บนเรือได้อย่างไรกัน!
จิ่งอวิ๋นขยี้ตา ทิวทัศน์เบื้องหน้าก็ยังไม่เปลี่ยน เขามองสภาพแวดล้อมที่แปลกตาอย่างสิ้นเชิงแล้วยืนนิ่งงันอยู่กับที่ เขาก้าวลงจากเรือขึ้นมาบนฝั่ง
ทุกสิ่งบนเกาะล้วนแปลกตา ทางเส้นน้อยอันไม่คุ้นเคย สวนดอกไม้อันไม่คุ้นเคย รวมไปถึงบ้านอันไม่คุ้นเคย…
จิ่งอวิ๋นหาบ้านไม้หลังน้อยพบหลายหลัง แต่พวกมันเหมือนจะไม่มีเจ้าของ
เขาเดินไปข้างหน้าต่อ
ในที่สุดเขาก็พบเงาคนแล้ว!
พวกนางคือแม่นางสองคนที่หิ้วตะกร้ากำลังคุยเล่นหัวเราะเดินมุ่งหน้าไปอีกทางหนึ่ง
จิ่งอวิ๋นก้าวขาเล็กๆ ไล่ตามไป แต่เมื่อเขาเลี้ยวผ่านบ้านไม้น้อยหลังสุดท้าย แล้วคิดว่าจะมองเห็นร่างของทั้งสองคนนั้น กลับกลายเป็นว่ามองไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น
“จิ่งอวิ๋น…”
เสียงอ่อนโยนเสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลังของจิ่งอวิ๋น เสียงนั้นฟังเลือนรางและแผ่วเบาคล้ายไม่มีอยู่จริง ฟังดูเหมือนอยู่ในความฝัน
จิ่งอวิ๋นหันหลังกลับไปอย่างมึนงง แต่ไม่เห็นใครสักคน
“จิ่งอวิ๋น…”
เสียงอ่อนโยนอันเลือนรางดังขึ้นขาดๆ หายๆ อีกหน
จิ่งอวิ๋นชะเง้อคอมองไปด้านหน้า
“จิ่งอวิ๋น…”
จิ่งอวิ๋นเดินตามเสียงไปทางด้านหน้าฝั่งขวา
ไม่รู้เดินมานานเท่าใด ในที่สุดเขาก็เห็นตำหนักผลึกแก้วทอประกายหลากสีหลังหนึ่ง ตำหนักงามเลิศล้ำดุจดั่งตำหนักเซียนในภาพวาด
“จิ่งอวิ๋น…”
เสียงนั้นดังขึ้นอีกหน
จิ่งอวิ๋นกะพริบตาปริบๆ แล้วชะเง้อมองด้านในตำหนัก ไม่เห็นเงาใครสักคน เขาหยุดครู่หนึ่งก็ก้าวเท้าเดินเข้าไป
“จิ่งอวิ๋น…”
เขาเดินตามเสียงเข้าไปด้านในจนมาถึงห้องอันสว่างไสวแต่เย็นเฉียบแห่งหนึ่งดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
ภายในห้องมีผลึกแก้วแวววาวฝังอยู่เต็มไปหมด เขาเหยียบลงบนผลึกแก้วอันวาววับจับตา แล้วก้มลงมองหน้าตาของตนเองที่สะท้อนอยู่บนผลึกแก้ว มองอยู่ครู่หนึ่งก็ยังมองไม่ชัดนักจึงเลิกมอง
สายตาของเขาเลื่อนไปจับบนโลงศพที่สร้างจากหยกเหมันต์ตรงกลางห้อง
เขาก้าวเท้าเข้าไปดูก็พบว่ามีสตรีนางหนึ่งนอนอยู่ด้านใน นางสวมอาภรณ์สีแดงสด เหมือนชุดที่มารดาของเขาสวมตอนแต่งงานเกือบทุกประการ
ต่อให้จิ่งอวิ๋นไม่รู้จักมงกุฎหงส์เสื้อคลุมเมฆา แต่ก็มองออกว่าสตรีนางนี้เป็นเจ้าสาวคนหนึ่ง
เจ้าสาวนอนอยู่ในโลงหยก สองมือประสานวางอยู่บนหน้าท้อง นิ้วของนางเรียวยาว ขาวผ่องประหนึ่งหยก เมื่อได้อาภรณ์เจ้าสาวสีแดงสดขับเน้นก็ยิ่งงามสะกดตา
“เมื่อครู่ท่านกำลังเรียกข้าหรือ” จิ่งอวิ๋นเกาะขอบโลงหยกถามนาง
นางไม่ตอบ
ใบหน้าของนางมีกระดาษสีแดงเหมือนหน้ากระดาษในตำราแผ่นหนึ่งปิดเอาไว้
จิ่งอวิ๋นเอื้อมมือน้อยๆ ออกไปตั้งใจจะดึงกระดาษแผ่นนี้ออก
แต่โลงหยกสูงเกินไป เขาเอื้อมไปแตะไม่ถึง
เขาปีนขึ้นไปบนโลงหยก เอื้อมมือน้อยๆ พยายามจะไปเกี่ยวกระดาษสีแดงบนบหน้าของนาง ทว่าตอนที่กำลังจะเกี่ยวได้แล้วนั่นเอง จู่ๆ ด้านนอกก็มีเสียงตวาดอันน่าเกรงขามดังขึ้น “นั่นผู้ใด!”
จิ่งอวิ๋นตกใจรีบกระโดดลงมาที่พื้นแล้วแผ่นแน่บอย่างว่องไว!
นอกห้องหญิงชราผมขาวที่ปิดบังใบหน้าครึ่งหนึ่งกำลังถือไม้เท้าขวางทางของใครบางคนเอาไว้ “องค์ชายสาม! ท่านก่อเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรกัน เกาะอิ๋นหูเป็นเขตต้องห้ามของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีผู้ใดบอกท่านหรือว่าห้ามบุกรุก”
องค์ชายสามที่ถูกจับตัวไว้กระแอมแล้วบอกด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “ข้าก็เพียงมาดูเท่านั้นนี่นา ไม่ได้ทำสิ่งใดเสียหน่อย”
หญิงชรามองไห่สือซานกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยอย่างวางอำนาจ “พวกเจ้าคนของตำหนักนักเวทศักดิ์สิทธิ์อีกแล้ว! ตำหนักนักเวทศักดิ์สิทธิ์ของพวกเจ้าว่างไม่มีงานมีการทำหรือไร ถึงยุให้องค์ชายสามบุกรุกเขตต้องห้าม ข้าดูท่าตำหนักนักเวทศักดิ์สิทธิ์ของพวกเจ้าคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วสินะ!”
ไห่สือซานกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยนับว่าเป็นผู้ที่เคยพบพานคนมานับไม่ถ้วน ยอดฝีมือที่ร้ายกาจปานใดก็เคยพบเห็นมาหมดแล้ว แต่พอพวกเขาถูกหญิงชราที่ก้าวขาข้างหนึ่งลงหลุมไปแล้วคนนี้ถลึงตาใส่ทีเดียว พวกเขากลับรู้สึกถูกข่มขวัญ
ทั้งสองคนไม่กล้าส่งเสียงสักแอะ ก้มหน้าทำท่าเหมือนแม่นางน้อยทันที
หญิงชราตะเบ็งเสียงดังขึ้นกว่าเดิม “คนของตำหนักนักเวทศักดิ์สิทธิ์ของพวกเจ้าน่าจะรู้กฎของเกาอิ๋นหูดีอยู่แล้ว ผู้บุกรุก ฆ่าไม่ละเว้น!”
องค์ชายสามหน้าถอดสีทันใด “อะไรนะ เจ้าจะฆ่าพวกเราหรือ พวกเรา…พวกเราไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย! พวกเราเพียงไม่ทันระวังพายเรือพลัดหลงมาก็เท่านั้นเอง!”
หญิงชราเอ่ยเสียงเย็นชา “องค์ชายสามไม่จำเป็นต้องตาย แต่สองคนนี้เก็บไว้ไม่ได้”โ
ไห่สือซานกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยตกตะลึงพร้อมกัน!
องค์ชายสามรีบขวางหน้าทั้งสองคนไว้ “ไม่ได้ๆ เจ้าสังหารพวกเขาไม่ได้นะ! ข้าให้พวกเขามาเอง! หากเจ้าจะสังหาร เจ้าก็ต้องสังหารข้าไปด้วย!”
หญิงชราเอ่ยอย่างโมโหและจนปัญญา “ข้าจะสังหารองค์ชายสามได้อย่างไรเล่าเพคะ”
“เจ้าสังหารข้าไม่ได้…ก็…ก็อย่าสังหารพวกเขาเลยนะ! พวกเขาถูกข้าสั่งให้มาจริงๆ ข้าข่มขู่พวกเขา บอกว่าหากไม่พายเรือให้ข้า ข้าก็จะ…จะจับพวกเขาโยนลงไปเลี้ยงปลา พวกเขาถึงฝืนใจมา! ท่านแม่เฒ่าท่านเมตตาสักหน อย่าสังหารพวกเขาเลย ไม่เช่นนั้นหัวใจของข้าคงรู้สึกผิด ท่านแม่เฒ่า ท่านแม่เฒ่า! ท่านแม่เฒ่า!”
องค์ชายสามพูดพลางกอดแขนหญิงชรา ศีรษะน้อยกลมดิกถูไถไปมาในอ้อมแขนของผู้อื่น ใช้มหาวิชาโปรยความน่ารักเข้าสู้เต็มสิบส่วน ในที่สุดก็ถูไถจนอีกฝ่ายคลายโทสะ
หญิงชราถลึงตามองพวกเยี่ยนเฟยเจวี๋ยอย่างเย็นชาแล้วบอกว่า “หนนี้เห็นแก่หน้าองค์ชายสามข้าจะละเว้นพวกเจ้าสองคน แต่หากมีครั้งหน้า อย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้าปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ของพวกเจ้า!”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับไห่สือซานพยักหน้าประหนึ่งตำกระเทียม!
แม้แต่ตอนอยู่ต่อหน้าอวิ๋นจูพวกเขายังไม่เคยเชื่อฟังเท่านี้!
หญิงชราบอกเสียงเย็นชา “พวกเจ้าไปเถิด อย่าให้ข้าเห็นพวกเจ้าอีก องค์ชายสามท่านก็เหมือนกัน ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่ท่านสมควรมา”
พูดถึงขนาดนี้ หากไม่รู้สถานการณ์อีกย่อมเป็นไปไม่ได้แล้ว
องค์ชายสามคอตกกลับไปขึ้นเรือท้องแบนอีกลำหนึ่งที่ขโมยมาพร้อมกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยและไห่สือซาน
ทั้งสามคนเพิ่งจะนั่งลงก็รู้สึกว่าตัวเรือสั่นไหว กล่าวให้ถูกต้องก็คือผิวทะเลสาบสั่นไหว
ทั้งสามคนมองหน้ากันอย่างประหลาดใจ จากนั้นจู่ๆ ก็หนาวสันหลังวาบ รู้สึกถึงกลิ่นอายที่ทำให้คนสะพรึง
ทั้งสามคนหน้าถอดสีในพริบตา พวกเขาจับหลังคาเรืออย่างพร้อมเพรียง แม้แต่ลมหายใจก็กลั้นไว้อย่างไม่รู้ตัว
“บนเกาะมีสิ่งใดอยู่กันแน่ คงไม่ใช่ราชันอสูรอีกคนหนึ่งกระมัง” ไห่สือซานถามอย่างหวาดหวั่นขวัญผวา
ราชันอสูรหรือ ไม่หรอก กลิ่นอายเช่นนี้อันตรายยิ่งกว่าราชันอสูรมากนัก มันเหมือนกับสัตว์ร้ายที่หลับใหลมาเนิ่นนานปี ในที่สุดก็ทนไม่ไหวลืมตาตื่นขึ้นมา
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยรวบรวมความกล้าหันหลังกลับไปมอง คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นจิ่งอวิ๋นยืนนิ่งอึ้งอยู่ “พวกเจ้ารีบดูเร็วเข้า นั่นไม่ใช่จิ่งอวิ๋นหรือ”
ทั้งสองคนรีบหันกลับไป นั่นมันจิ่งอวิ๋นไม่ใช่หรือไร
สวรรค์ เขามาที่นี่ได้อย่างไรกัน!
คงไม่ใช่ว่าพวกเขาเพิ่งออกจากจวนมา คนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ก็บุกเข้าไปที่จวนมู่อ๋องจับตัวจิ่งอวิ๋นมาหรอกนะ!
ตอนนี้เยี่ยนเฟยเจวี๋ยไม่มีเวลาหวาดกลัวกลิ่นอายอันตรายอันใดอีกแล้ว เขาถีบเท้าทะยานออกจากเรือแล้วใช้วิชาตัวเบาโฉบเข้าไปเอาตัวจิ่งอวิ๋น
จิ่งอวิ๋นยืนอยู่หน้าเสาหินน้อยต้นหนึ่ง เสาหินสูงราวสามฉื่อ เป็นรูปแปดเหลี่ยม ตัวเสางดงามยิ่งนัก สลักภาพสลับซับซ้อนเอาไว้
จิ่งอวิ๋นเอื้อมมือออกไปแตะเสา เมื่อฝ่ามือของเขาสัมผัสยอดเสา แรงดูดมหาศาลสายหนึ่งก็ดูดเขาเอาไว้ เขารู้สึกเหมือนมีบางสิ่งทะลักออกไปจากร่าง ใบหน้าน้อยของจิ่งอวิ๋นซีดขาว เขาอยากดึงมือกลับแต่ไม่ว่าอย่างไรก็ดึงไม่ออก
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยใช้วิชาตัวเบาเหินเข้ามา เขาอยากจะเข้าไปอุ้มจิ่งอวิ๋น แต่ยังไม่ทันเข้าใกล้ก็สัมผัสได้ถึงกำลังภายในกับลมปราณสายหนึ่งที่เกือบจะสังหารเขาแล้ว
เขายังโดนขนาดนี้ แล้วเด็กน้อยจิ่งอวิ๋นคนนั้นจะทนได้อย่างไรกัน
“จิ่งอวิ๋น!”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ ร่างกายเริ่มโซเซ
ในที่สุดจิ่งอวิ๋นก็ดึงมือออกมาได้
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยรู้สึกว่าตัวเบาโหวงขึ้นมาอย่างฉับพลัน เมื่อขยับตัวได้แล้ว เขาจึงรีบเหินเข้าไปอุ้มจิ่งอวิ๋นกลับมาที่เรือท้องแบน
หญิงชรากับศิษย์หญิงหลายคนรีบมุ่งหน้าไปที่เสาหิน พวกนางถือกระบี่และดาบอยู่ในมือ ทว่าทุกสิ่งนั้นกลับไม่ได้ใช้ นึกว่าจะต้องต่อสู้อย่างดุเดือดสักหนเสียอีก…
ทุกคนมองไปทางเสาหิน แล้วก็เห็นอักขระบนยอดเสาหินที่สีซีดจางมาตั้งหลายปีแล้วตัวนั้น มีสีทองจางๆ ปรากฏขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ทุกคนตกตะลึงอย่างยิ่ง
ดวงตาทรงเมล็ดซิ่งของศิษย์หญิงคนหนึ่งเบิกโตจนกลมดิก “ท่านแม่เฒ่า นี่มัน…”
หญิงชรามองเรือท้องแบนที่ค่อยๆ ลอยออกไปไกล “โหราจารย์มาเยือนแล้ว”