หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 28-1 ช่วยราชันอสูร (2)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 28-1 ช่วยราชันอสูร (2)
ตอนที่ 28-1 ช่วยราชันอสูร (2)
หลังจากเยี่ยนเฟยเจวี๋ยอุ้มจิ่งอวิ๋นขึ้นมาบนเรือได้ ไห่สือซานก็วาดใบพายทันที กำลังภายในและลมปราณที่เกือบจะฟาดฟันพวกเขาเป็นชิ้นๆ เมื่อครู่น่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว เขาไม่อยากรั้งรออยู่ตรงนี้ต่อสักนิดเดียว
“จิ่งอวิ๋นไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” องค์ชายสามหันไปมองเยี่ยนเฟยเจวี๋ย
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก้มหน้ามองจิ่งอวิ๋นที่อยู่ในอ้อมแขนแล้วพบว่าจิ่งอวิ๋นหลับตาหลับไปแล้ว ใบหน้าน้อยซีดเผือดประหนึ่งถูกสูบพละกำลังทั้งหมดออกไป แต่เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรเล่า เด็กน้อยคนนี้ยังไม่ได้ทำสิ่งใดสักหน่อย
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยยื่นมือไปอังลมหายใจของจิ่งอวิ๋นก็พบว่าไม่มีปัญหา จากนั้นเขาก็ได้กลิ่นกลิ่นสุรานมม้าจางๆ บนร่างเด็กน้อย เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเข้าใจแล้ว จิ่งอวิ๋นคงจะเมามายจึงหลับไป เขาจึงบอกองค์ชายสามว่า “เขาเมา”
องค์ชายสามตกตะลึง “เขาอายุน้อยขนาดนี้ก็ดื่มสุราแล้วหรือ”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตอบว่า “สุรานมม้าน่ะ”
สุรานมม้าดูสภาพภายนอกไม่เหมือนเหล้า มันสีขาวเหมือนน้ำนม ทั้งหวานทั้งหอม เด็กน้อยจะเข้าใจผิดจนเผลอดื่มลงไปก็เป็นเรื่องปกติ
ไห่สือซานว่าอย่างหงุดหงิด “ข้าว่า ยามนี้พวกเราควรกังวลว่าเขามาโผล่มาที่นี่ได้อย่างไรมากกว่ากระมัง” จะสนใจเรื่องสุรานมม้าทำอะไร
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “พวกลัทธิศักดิ์สิทธิ์ต้องไปลักพาตัวคนมาจากจวนมู่อ๋องแน่!”
นี่ดูเหมือนสิ่งที่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์จะทำยิ่งนัก เหยาจวิ้นเคยลักพาตัวเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสอง ส่วนโจรเฒ่าเย่ว์หวาก็เคยลักพาตัวเฉียวเวย มีประวัติศาสตร์ดำมืดที่ลบเลือนไม่ได้เป็นหลักฐานอยู่หนแล้วหนเล่าจะให้คนเชื่อว่าลัทธิศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์คงยาก
องค์ชายสามใช้ปลายนิ้วขาวนุ่มนิ่มจิ้มๆ ใบหน้าของจิ่งอวิ๋น
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยยัดเด็กน้อยใส่อ้อมแขนของเขาแล้วบอกว่า “รบกวนองค์ชายสามอุ้มจิ่งอวิ๋นไว้หน่อย ข้าจะไปพายเรือ”
องค์ชายสามอุ้มจิ่งอวิ๋นไป
แต่เดิมเยี่ยนเฟยเจวี๋ยกังวลว่าองค์ชายผู้ถูกเลี้ยงดูมาอย่างประคบประหงมจะอุ้มเด็กน้อยไม่ค่อยเป็น คิดไม่ถึงว่าพอได้เห็นท่าทางการอุ้มเด็กน้อยขององค์ชายสาม เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกลับได้ตระหนักว่าฝีมือการอุ้มเด็กของเขากับไห่สือซานช่างย่ำแย่เหลือเกิน แม้แต่ใต้เท้าเจ้าสำนักที่เพิ่งจะเป็นพ่อคนหมาดๆ ก็ชำนาญสู้องค์ชายสามไม่ได้
องค์ชายสามมองหลานชายตัวน้อยในอ้อมแขน ใบหน้าฉายแววอ่อนโยน ยามลมทะเลสาบอันหนาวเย็นพัดมา เขาก็ถอดเสื้อคลุมตัวนอกมาห่อจิ่งอวิ๋นไว้ทั้งตัว
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกัดลิ้น เด็กน้อยคนนี้ถูกเลี้ยงดูมาอย่างไรกันแน่ เหตุไฉนจึงนิสัยน่ารัก ทำให้คนขื่นชอบเขาได้ขนาดนี้กัน
ยอดฝีมือแห่งยุทธภพทั้งสองคนพายเรือเก่งอย่างแท้จริง ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อก็มาถึงชายฝั่ง พวกเขาลงจากเรือแล้วหลบเลี่ยงศิษย์ที่คอยลาดตระเวน หาทางเส้นน้อยค่อนข้างเปลี่ยวเส้นหนึ่งกลับไปยังห้องบรรทมขององค์ชายสาม
สือชีอยู่ภายในห้องเพียงลำพัง เขาจับจ้องตู้เสื้อผ้าขององค์ชายสามด้วยแววตาดุร้าย ราวกับว่าด้านในมีสัตว์ร้ายอะไรสักตัวคลานออกมาได้ตลอดเวลา
พวกเขาไม่เข้าใจว่าเขากำลังทำสิ่งใดจึงมองไปรอบๆ เมื่อไม่เห็นเฉียวเวยจึงเดาว่านางน่าจะไปตามหาราชันอสูร เยี่ยนเฟยเจวี๋ยให้พวกไห่สือซานคอยอยู่ที่นี่ ส่วนตนเองออกไปตามหาเฉียวเวยเพียงลำพัง
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยย่อมมีหนทางติดต่อกับเฉียวเวย ไม่นานเขาจึงตามมาจนถึงห้องใต้ตินห้องน้อยที่อยู่ใกล้กับหอตำราลับ
“ท่านมาทำอะไรที่นี่” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยจับแขนของนางแล้วลากนางเข้าไปในซอกหินของภูเขาจำลองลูกหนึ่ง
“ข้ามาตามหาราชันอสูร แต่ราชันอสูรไม่อยู่ที่ตำหนักนักเวทศักดิ์สิทธิ์” เฉียวเวยเหลือบมองเขา “ฝั่งพวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง หาตำราพบหรือไม่”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตอบเสียงเบา “ยังไม่พบ ในหอตำราลับไม่มี พวกเราจึงไปที่เกาะอิ๋นหู แต่น่าเสียดายที่นั่นคุ้มกันแน่นหนาจึงถูกคนจับได้แล้วถูกไล่ออกมา…เฮ้ย ไม่ใช่สิ เรื่องที่ข้าจะบอกท่านไม่ใช่เรื่องนี้! ข้ามาหาท่านเพราะมีเรื่องสำคัญ!”
เฉียวเวยเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ “เรื่องสำคัญอะไร”
ครึ่งเค่อหลังจากนั้นเฉียวเวยก็มาปรากฏตัวที่ห้องขององค์ชายสาม ยามที่นางเห็นจิ่งอวิ๋นนอนหลับสบายอุราอยู่บนเตียงนุ่มนิ่ม เฉียวเวยก็แทบจะไม่กล้าเชื่อสายตาของตนเอง “นี่…นี่มันเรื่องอะไรกัน”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเล่าเรื่องที่พบจิ่งอวิ๋นบนเกาะอิ๋นหูให้ฟัง “…ไม่รู้ว่าเจ้าสารเลวคนไหนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ลักพาจิ่งอวิ๋นมาที่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์หรือเปล่า”
“ฮัดเช้ย!” ไห่สือซานจามออกมาทันควัน
ความสนใจของทุกคนรวมอยู่ที่ตัวจิ่งอวิ๋น ไม่มีผู้ใดสนใจกำลังภายในกับลมปราณที่เกือบจะสังหารยอดฝีมืออย่างพวกเขาตายยกลำบนเกาะอิ๋นหูแม้แต่คนเดียว
เฉียวเวยตรวจร่างกายให้บุตรชาย นางพบว่าไม่มีปัญหาตรงที่ใด เขาเพียงอ่อนแรงเล็กน้อยเท่านั้น แต่อาการอ่อนแรงนี้มาจากสาเหตุใดนางก็บอกไม่ได้ บางทีอาจเป็นเพราะ…นั่งรถม้านานเกินไปจึงเหน็ดเหนื่อยกระมัง
ไม่นานเฉียวเวยก็นึกอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ หากจิ่งอวิ๋นถูกจับมา ถ้าเช่นนั้นวั่งซูเล่า นางจะถูกคนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์จับตัวมาด้วยหรือไม่
“เจ้าเสร็จหรือยัง รีบออกมาสักทีสิ!”
เสียงโหวกเหวกของศิษย์ทั้งหลายที่กำลังแย่งชิงห้องส้วมดังมาจากฝั่งห้องสุขา
เฉียวเวยเพิ่งได้ข่าวจากฝั่งตำหนักนักเวทศักดิ์สิทธิ์ว่าคนที่นั่นกินอะไรเข้าไปจนท้องเสีย แล้วเหตุไฉนฝั่งห้องบรรทมขององค์ชายสามก็เป็นเหมือนกันเล่า
เฉียวเวย เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับไห่สือซานสามคนสบตากัน ทั้งสามคนผู้เคยถูกฉี่ลูกเพียงพอนของเพียงพอนบางตัวทำร้ายมาก่อน มีชื่อหนึ่งผุดขึ้นมาในสมองปานสายฟ้าแลบอย่างพร้อมเพรียงกัน…เสี่ยวไป๋
เฉียวเวยไปที่ห้องครัวของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ทันที
ในฉากหน้านางเป็นแม่ครัวที่องค์ชายสามเชิญมา นางจึงเข้าออกสถานที่ทำนองนี้ได้อย่างอิสระยิ่ง ทุกคนเห็นนางมาก็ไม่พูดอะไรทั้งสิ้น หรือบางที…พวกเขาอาจไม่มีแรงพูดแล้ว เพราะแม้แต่ห้องครัวก็ถูกฉี่ลูกเพียงพอนของเสี่ยวไป๋วางยาเหมือนกัน
ทุกคนต่างพุ่งไปทางห้องส้วม ระหว่างที่วิ่งผ่านตัวเฉียวเวยไป พวกเขาไม่เหลือบแลสายตามาสักหน
เฉียวเวยเข้าไปในห้องครัว ภายในห้องครัวว่างเปล่า ไม่มีเงาคนสักครึ่งคน อาหารที่หั่นได้ครึ่งหนึ่งวางอยู่บนเขียงกับบนโต๊ะ ภายในหม้อใบใหญ่สีดำสนิทบนเตาไฟมีซึ้งนึ่งขนาดใหญ่หลายชั้นวางซ้อนกันอยู่
ภายในซึ้งมีกลิ่นหอมของเป็ดแดดเดียว กุนเชียงกับเมนูนึ่งบางชนิดลอยออกมา แต่มันไม่ได้มีเพียงกลิ่นหอมเท่านั้น แต่ยังมีเสียงเคี้ยวแจ็บๆ ดังออกมาเบาๆ ด้วย
เฉียวเวยหรี่ตาลง นางเปิดฝาซึ้งนึ่งออกมาก็เห็นก้อนกลมสีขาวตุ๊ต๊ะก้อนน้อยนอนกางแขนกางขาอยู่ในเข่ง มือข้างหนึ่งถือน่องเป็ดหนึ่งน่อง มืออีกข้างหนึ่งถือกุนเชียงหนึ่งเส้น แทะจนน้ำมันเยิ้มเต็มปาก
เฉียวเวยสูดหายใจเฮือกด้วยความตกใจ!
นี่มันในซึ้งนึ่งนะ
“เสี่ยววว ป๋ายยย”
เสียงตวาดดั่งราชสีห์ของหัวหน้าพรรคเฉียวดังขึ้น พร้อมกับที่เสี่ยวไป๋ถูกอัดน่วมจนหน้าบวมตาเขียว
เสี่ยวไป๋ร้องไห้กระซิกๆ เดินกะเผลกๆ เข้าไปซุกในอ้อมแขนของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยที่เดินตามหลังมา
เสี่ยวเวยแย่มาก แย่มากๆ
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยอุ้มมันขึ้นมา จากนั้นหยิบน่องเป็ดขึ้นมาน่องหนึ่ง “กินอีกหรือไม่”
เสี่ยวไป๋รับน่องเป็ดไปแทะพลางน้ำตาไหลอย่างน่าสงสาร
เจ้าตัวเล็กตัวนี้อยู่ในห้องครัว อีกสามตัวก็คงไม่ไปอยู่ไหนไกลโ
เฉียวเวยหน้าดำทะมึนเดินไปห้องด้านหลังของห้องครัวแล้วก็พบจูเอ๋อร์ ต้าไป๋กับอินทรีทองจริงๆ เจ้าสามตัวนี้ไม่ได้สภาพดีกว่าเสี่ยวไป๋ไปถึงไหน เรือนดีๆ หลังหนึ่งถูกเจ้าสามตัวนี้ทำให้กลายเป็นคณะละครสัตว์ไปแล้ว
ต้าไป๋ไม่รู้ไปหาวงล้อเหล็กอันใหญ่มาจากที่ใด มันเข้าไปอยู่ในวงล้อเหล็ก ขาสี่ข้างกางออกมาใช้กรงเล็บจับขอบวงล้อเหล็กเอาไว้แน่น แล้วปล่อยให้วงล้อเหล็กพามันกลิ้งไปมาบนพื้น จูเอ๋อร์เตะไหสุราใบน้อยใบหนึ่งให้ล้มนอนกับพื้น จากนั้นใช้มันเป็นเหมือนล้อกลิ้งไปกลิ้งมาในเรือน ส่วนอินทรีทองใช้ขาที่มีอยู่ข้างเดียวขยุ้มสบู่ก่อนหนึ่งลื่นไถลไปบนพื้นเรียบลื่น ออกท่าทางประหนึ่งกำลังเล่นสเก็ตน้ำแข็ง
บนพื้นที่พวกมันเหยียบย่ำจนเละมีวัตถุดิบล้ำค่าที่ต้องนำไปปรุงเป็นอาหารให้ท่านผู้สูงส่งและผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายกระจายเละเทะ พ่อครัวหลายคนนอนกองระเกะระกะอยู่ด้านข้าง ไม่รู้ว่าตกใจจนเป็นลมหรือถูกเจ้าพวกนี้ตีจนสลบ
เจ้าสัตว์ทั้งหลายพวกนี้สนุกสนานเหลือจะกล่าว ไม่รู้ตัวสักนิดว่าเฉียวเวยเข้ามาแล้ว
เฉียวเวยถูกเจ้าพวกนี้ทำให้โมโหแทบอกแตกตาย แต่ละตัวรังเกียจว่าตนเองมีชีวิตยืนยาวเกินไปใช่หรือไม่ รู้หรือไม่ว่าที่นี่คือที่ใด กล้ามาพังเรือนของผู้อื่นเช่นนี้! ไม่เอาแตรมาป่าวประกาศให้คนทั้งลัทธิศักดิ์สิทธิ์รู้ไปเลยเล่า!
เฉียวเวยไม่รู้เลยว่าตนเองจับเจ้าตัวจ้อยทั้งหลายกลับมาที่ห้องขององค์ชายสามได้อย่างไร สรุปก็คือเมื่อองค์ชายสามเห็นสัตว์น้อยทั้งสี่ตัว หัวของอินทรีทองก็ขนแหว่งไปครึ่งหนึ่ง ต้าไป๋กับเสี่ยวไป๋หน้าปูดตาเขียว ส่วนจูเอ๋อร์ก็ก้นแดงก่ำ
สัตวตัวน้อยทั้งสี่นั่งจ๋องอยู่ที่มุมห้องอย่างน่าสงสาร พวกหันหน้าเข้ามุมสำนึกผิดเรียงลำดับตั้งแต่ตัวใหญ่ไปจนถึงตัวเล็ก
องค์ชายสามสงสารยิ่งนัก เขาอยากจะขอความเห็นใจแทนเจ้าตัวน้อยทั้งสี่สักหน่อย แต่พี่สะใภ้ดุเกินไป!
ไห่สือซานส่งแววตาเห็นใจให้สัตว์ทั้งสี่ แล้วถามว่า “วั่งซูเล่า”
เจ้าสี่ตัวนี้กับจิ่งอวิ๋นอยู่ที่นี่กันหมด วั่งซูย่อมไม่มีทางไม่อยู่ที่นี่
นี่เป็นสิ่งที่เฉียวเวยกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยสงสัยเช่นกัน ตามหลักแล้ววั่งซูน่าจะอยู่กับพวกมัน แต่พวกเขาตามหาจนทั่วแล้วก็ยังไม่พบร่องรอยของวั่งซู
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยสูดลมหายใจเบาๆ แล้วขมวดคิ้วบอกว่า “จิ่งอวิ๋นอยู่ที่เกาะอิ๋นหู พวกเสี่ยวไป๋อยู่ที่ห้องครัว ทุกคน…ปลอดภัยไร้อันตราย เหตุไฉนข้าจึงรู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้ถูกจับตัวมานะ”
หากมีรานีอสูรอยู่ การเฝ้าเจ้าตัวน้อยพวกนี้ย่อมไม่เป็นปัญหา นางไหนเลยจะปล่อยให้จิ่งอวิ๋นหนีมาได้ แล้วยังปล่อยให้พวกมันสี่ตัวพังห้องครัวจนเละอีก
นอกเสียจากว่ารานีอสูรไม่รู้ว่าพวกเขามา!ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
เฉียวเวยสงบใจครุ่นคิดก็รู้สึกว่าการคาดเดานี้ใช่ว่าจะไร้เหตุผล หากถูกจับตัวมาก็น่าจะถูกขังอยู่ในสถานที่เดียวกันแล้วมีคนเฝ้าเอาไว้ ไม่น่าจะปล่อยให้พวกเขาเดินเตร่ไปทั่ว แต่หากไม่ได้ถูกจับมา ถ้าอย่างนั้นพวกเขาตามมากันเองอย่างนั้นหรือ
เฉียวเวยหันขวับไปทางไห่สือซาน!
ไห่สือซาน ข้าก็ว่าแล้วเหตุใดรถม้าถึงแล่นแปลกๆ!
“ตามหาวั่งซูให้พบก่อนเถิด” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยพูดขึ้นมา “สือชี…”
เขาคิดจะให้สือชีลองออกไปตามหาดู แต่พูดยังไม่ทันจบสือชีก็ออกไปแล้ว
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถอนหายใจ เวลาพูดอะไรกับเขา เขาไม่เคยฟังเข้าหู แต่พอเป็นเรื่องของสาวน้อยวั่งซู ดูเหมือนเขาจะมีหูสองข้างงอกออกมาแล้วสินะ!
…
เล่าถึงราชครู หลังจากเขาพาราชันอสูรกับวั่งซูกลับมายังที่พักของตนเอง เขาก็ไม่รู้ว่าเฉียวเวยเดินทางมาที่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ด้วย ในขณะที่เจ้าตุ้ยนุ้ยคนนี้ก็บอกไม่ถูกว่าตนเองมาได้อย่างไร เขาจึงตัดสินใจพาทั้งสองคนลงจากภูเขา เขาจะไม่มีวันยอมรับหรอกว่าส่วนหนึ่งที่ทำเช่นนี้เป็นเพราะตนเองถูกเสียงเคี้ยวกร้วมๆ ดังลั่นห้องนั่นทำเอาประสาทเสีย
ดังที่กล่าวกันว่าเดินหมากผิดเม็ดเดียวล่มทั้งกระดาน
ความจริงแล้วราชครูใช่ว่าจะเอ็นดูสงสารวั่งซูมากมายนัก ถึงอย่างนั้นคนเราก็ต้องชดใช้ให้กับอารมณ์ชั่ววูบของตนเอง ตั้งแต่ตอนที่เขาพาปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์กับวั่งซูไปซ่อนในห้องศิลาอย่างไม่ใช้สมอง เขาก็ฝังเมล็ดพันธุ์แห่งการชดใช้นี้ลงไปแล้ว
จวบจนยามนี้ราชครูก็ไม่เข้าใจสักนิดว่าตอนนั้นตนเองเป็นบ้าอะไรขึ้นมา เหตุไฉนจึงพาเจ้าตุ้ยนุ้ยคนนี้กับราชันอสูรกลับมาด้วย ตอนนี้จะพากลับไปคืนที่เดิมก็คงตัดความเกี่ยวข้องไม่ได้แล้ว มีแต่ต้องตัดสินใจพาคนลงไปจากภูเขา แล้วทำเป็นว่าคนตระกูลจีมาช่วยราชันอสูรจากไป
ราชครูไม่ทราบว่าแผนการของตนเองดันเหมือนกับแผนการของเฉียวเวยอย่างไม่ตั้งใจพอดี
ราชันอสูรถูกโซ่หาดมังกรสะกดไว้สองวัน ลมปราณในร่างจึงยังไม่ฟื้นคืนมาทำให้ตอนนี้กลับกลายเป็นประโยชน์ในการซ่อนตัวเขา
ท่านราชครูหารถม้าคันหนึ่งมาบรรทุกยาและอาวุธแล้วพาราชันอสูรกับวั่งซูขึ้นไปนั่ง
วั่งซูอุ้มกล่องใบใหญ่กล่องหนึ่งไว้ในอ้อมแขน มันก็คือตะปูสะกดวิญญาณที่ราชครูดึงออกมาจากร่างของปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ ในเมื่อคนตระกูลจีช่วยราชันอสูรออกไป ถ้าเช่นนั้นหลักฐานอยู่ในมือของคนตระกูลจีด้วยย่อมดีที่สุด
รถม้าวิ่งช้าๆ ออกไปจากลัทธิศักดิ์สิทธิ์ผ่านทางเส้นทางที่ฝังอยู่ในตัวภูเขา
รถม้าแล่นโคลงเคลงรู้สึกสบายยิ่งนัก วั่งซูจึงนั่งหลับอยู่ในอ้อมแขนของราชันอสูร ราชันอสูรไม่ได้หลับตามาหนึ่งคืนเต็มแล้ว เขากอดลูกสาวตัวน้อยของตนเองแล้วศีรษะห้อยพับหลับไปเช่นเดียวกัน สภาพตอนนอนของทั้งสองคนดูน่าเวทนาจนไม่อาจทนมองได้ ท่านราชครูได้แต่ส่ายหัว ขยับไปนั่งริมหน้าต่างให้สายลมเย็นพัดใส่
ด้วยฐานะของท่านราชครูในลัทธิศักดิ์สิทธิ์และในเมืองเยี่ยเหลียง การที่เขาจะขนยากับอาวุธหนึ่งคันรถลงไปจากภูเขาย่อมไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ศิษย์ที่เฝ้าประตูลัทธิอยู่ไม่กล้าตรวจค้นหรือขัดขวางเขา เพียงแต่จังหวะไม่ดีนัก ระหว่างที่ศิษย์เฝ้าประตูปล่อยให้รถม้าแล่นผ่านไปนั่นเอง เสียงคล้ายขบขันของประมุขเย่ว์หวาก็ดังขึ้นด้านหลัง
ประมุขเย่ว์หวาถามขึ้นว่า “ผู้ใดต้องการจะลงจากเขาหรือ”
ศิษย์สองคนที่เฝ้าประตูหันกลับมาคำนับเย่ว์หวา “ประมุขเย่ว์หวา”
ราชันอสูรลืมตาขึ้นอย่างเย็นชา ชั่วพริบตานั้นไอสังหารก็อัดแน่นทั่วทั้งตัวรถ ม้าที่ลากรถอยู่ตกใจจนทำท่าจะหนีอยู่สองสามครั้ง
ท่านราชครูรีบส่งสัญญาณมือบอกให้ราชันอสูรเงียบ จากนั้นปลอบโยนราชันอสูรเบาๆ พยายามบอกให้ท่านผู้เฒ่าอย่าปล่อยลมปราณออกมา ขืนราชันอสูรปล่อยลมปราณออกมา ผู้ใดก็ไม่ต้องคิดจะจากไปทั้งนั้น
ท่านราชครูเปิดผ้าม่าน ก้าวลงมาจากรถม้าอย่างเชื่องช้า เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็หันไปมองเย่ว์หวาแล้วค้อมกายคำนับเล็กน้อย “ท่านประมุขเย่ว์หวานี่เอง”