หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 28-2 ช่วยราชันอสูร (2)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 28-2 ช่วยราชันอสูร (2)
ตอนที่ 28-2 ช่วยราชันอสูร (2)
เย่ว์หวายังคงสวมอาภรณ์ตัวยาวสีขาวนวล ผิวเนียนละเอียดดูอ่อนเยาว์และสง่างาม มือเรียวยาวสองข้างประหนึ่งสลักจากหยก เสียงของเขาไม่มีเค้าของความแก่ชราสักนิด มันทั้งนุ่มนวล ใสกระจ่าง ไพเราะน่าฟังอย่างเหลือจะกล่าว
เขาอมยิ้มมองท่านราชครูแล้วถามว่า “นักเวทฉิน นี่เจ้ากำลังจะไปที่ใดหรือ”
ท่านราชครูตอบว่า “ข้าจะกลับเมืองเยี่ยเหลียง ข้าไม่ได้ไปเยือนตำหนักราชครูมานานแล้ว หากไม่ปรากฏตัวอีก ราชาเยี่ยหลัวจะเกิดความสงสัย”
“เช่นนั้นหรือ” เย่ว์หวายิ้มน้อยๆ สายตาจับบนรถม้าที่หน้าต่างปิดแน่นสนิทแล้วถามว่า “ในรถบรรทุกสิ่งใดไว้เล่า”
ท่านราชครูตอบอย่างไม่แสดงสีหน้าผิดปกติสักนิด “ท่านประมุข…กำลังจะตรวจค้นรถม้าของข้าหรือ”
เย่ว์หวายิ้มกดลึกกว่าเดิม “เจ้าเป็นคนของตำหนักนักเวทศักดิ์สิทธิ์ ข้าจะสอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องของตำหนักนักเวทศักดิ์สิทธิ์ของพวกเจ้าได้เช่นไร นักเวทฉินคิดมากเกินไปแล้ว”
ท่านราชครูสีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิดยามตอบว่า “ภายในรถม้าล้วนเป็นยาและอาวุธสำหรับนักรบมรณะของตำหนักราชครู ข้าจะหยิบมาให้ประมุขเย่ว์หวาตรวจดู”
กล่าวจบท่านราชครูก็เดินไปด้านหน้ารถม้า หยิบกระบี่ยาวสองเล่ม ดาบยาวหนึ่งเล่มกับยาที่ช่วยเพิ่มกำลังภายในให้นักรบมรณะกล่องหนึ่งออกมาจากด้านใน
“ในรถมีแต่ยากับอาวุธ ไม่มีผู้ใดแล้วหรือ” ประมุขเย่ว์หวาเอ่ยถาม
“ท่านประมุขเหตุใดจึงถามเช่นนี้” ท่านราชครูย้อนถาม
ประมุขเย่ว์หวายิ้มจางๆ “นักเวทฉินไม่ทราบหรือว่าตำหนักนักเวทศักดิ์สิทธิ์เกิดเรื่องแล้ว”
ท่านราชครูถามด้วยน้ำเสียงเฉกเช่นปกติ “เกิดเรื่องใดขึ้นหรือ”
ประมุขเย่ว์หวาหันไปมองเขาแล้วบอกว่า “ผู้หญิงที่จับมาจากจงหยวนคนนั้นหายตัวไปแล้ว ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยด้วย”
ท่านราชครูไม่รู้เรื่องที่ร่างพิษหายไปจริงๆ ชั่วครู่นั้นความตกตะลึงจึงกลบทับความรู้สึกมีชนักติดหลังของเขาไปจนหมด “นี่เกี่ยวอันใดกับที่ข้าจะลงจากภูเขาเล่า”
เย่ว์หวามองเขาตาไม่กะพริบ ไม่ปล่อยสีหน้าใดบนใบหน้าของเขาผ่านไปทั้งสิ้น “เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ นักเวทฉินไม่รู้เลยหรือ ข้าคิดว่านักเวทฉินคือตัวเลือกเพียงหนึ่งเดียวของตำแหน่งปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์รุ่นต่อไปมาตลอด เรื่องสำคัญเช่นนี้น่าจะมีคนมาหารือกับเจ้าแล้วถึงจะถูก”
ท่านราชครูตอบว่า “ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ยังแข็งแรงดี พูดถึงเรื่องเหล่านี้ตอนนี้ยังเร็วเกินไป ข้าไม่เคยยุ่งกับงานจิปาถะในตำหนักนักเวทศักดิ์สิทธิ์ ข้าทำแต่หน้าที่ของตนเองให้ดีเท่านั้น”
เย่ว์หวายิ้มกว้างถามว่า “ถ้าเช่นนั้นเจ้าคิดว่าสตรีนางนั้นหนีไปที่ใด”
ท่านราชครูตอบว่า “ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางอยู่บนรถม้าของข้าแน่ เรื่องนี้ประมุขเย่ว์หวาวางใจได้”
เย่ว์หวาใบหน้าฉีกยิ้มแต่ในใจซ่อนมีด “ไม่ใช่ว่าข้าไม่ไว้ใจเจ้า แต่ข้าไม่ไว้ใจสตรีนางนั้น พอนึกถึงตอนที่ร่างหยินบริสุทธิ์คนแรกซ่อนตัวในรถม้าสำหรับซื้อของจนหนีไปสำเร็จ ใครจะรับประกันได้ว่าคนที่สองจะไม่ใช้วิธีการเดียวกันเล่า”
ท่านราชครูตอบอย่างไม่หลบเลี่ยงแม้แต่น้อย “ข้านั่งอยู่ในรถม้าตลอด ข้าจะไม่รู้หรือว่ามีคนมาซ่อนตัวหรือไม่”
เย่ว์หวายิ้มกดลึกกว่าเดิม “บางทีอาจซ่อนตัวได้ดีมากจนต้องค้นกันสักหน่อย อะไรกัน นักเวทฉินจะไม่ยอมให้ค้นหรือ”
ท่านราชครูตอบด้วสีหน้าเช่นปกติ “ข้าจำได้ว่าท่านประมุขบอกว่าจะไม่สอดมือเข้ามายุ่งเรื่องของตำหนักนักเวทศักดิ์สิทธิ์ ตรวจค้นรถม้าคันหนึ่งไม่เป็นอะไร แต่หากเรื่องนี้ถูกเล่าออกไป ท่านประมุขจะให้ตำหนักนักเวทศักดิ์สิทธิ์เอาหน้าไปไว้ที่ใด”
เย่ว์หวาเดินเข้ามาหาเขาทีละก้าว “นักเวทฉิน เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าเจ้าดูหวั่นใจ”โ
ท่านราชครูซ่อนมือที่กำหมัดแน่นไว้ใต้แขนเสื้อกว้าง
รอยยิ้มของเย่ว์หวาเย็นชาขึ้นกว่าเดิม “เจ้าสู้ข้าไม่ได้หรอก รู้จักดูสถานการณ์หน่อย หลีกไปเสีย!”
“ประมุขเย่ว์หวา!”
จู่ๆ เสียงของกงซุนฉางหลีก็ดังขึ้นไม่ไกล
เย่ว์หวาหันหน้าไป บนใบหน้ามีรอยยิ้มอ่อนโยนผุดขึ้นมาจางๆ “ฉางหลีนี่เอง ฉางหลีมาได้อย่างไร เจ้าจะลงเขาหรือ”
กงซุนฉางหลีไม่มองท่านราชครูสักนิด เขาเดินตรงหน้าของเย่ว์หวาแล้วบอกด้วยสีหน้าจริงจัง “พบปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์กับร่างพิษคนนั้นแล้ว”
เย่ว์หวาเลิกคิ้ว “อ้อ พบตัวแล้วหรือ”
กงซุนฉางหลีตอบว่า “ได้ยินว่าอย่างนั้น”
เย่ว์หวากวาดสายตามองท่านราชครูนิ่งๆ แล้วแค่นเสียงดังเหอะก่อนจะจากไปด้วยกันกับกงซุนฉางหลีดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
ท่านราชครูพรูลมหายใจยาวเฮือกหนึ่งแล้วเช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก จากนั้นจึงขึ้นไปนั่งบนรถม้าลงไปจากภูเขาไปอย่างรวดเร็ว
ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ถูกพบตัวในห้องลับที่ใช้ขังราชันอสูร หลังจากศิษย์สองคนที่เคยถามหาคนกับท่านราชครูรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล พวกเขาก็วกกลับมาทันที พวกเขาเสียเวลาอยู่เนิ่นนานในที่สุดก็เปิดประตูหินของห้องลับได้ เมื่อเดินเข้ามาด้านในก็เห็นปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์นอนหายใจรวยรินอยู่บนแผ่นหินเย็นเฉียบ ทั่วร่างเต็มไปด้วยบาดแผล
แต่ราชันอสูรที่สมควรถูกล่ามไว้ด้วยโซ่หาดมังกรกลับไม่รู้หนีไปที่ใดแล้ว
“ราชันอสูรเล่า ร่างพิษเล่า” เย่ว์หวาขมวดคิ้วถาม
กงซุนฉางหลีถอนหายใจเบาๆ “เจ้าสังเกตหรือไม่ว่าปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ถูกสิ่งใดทำร้าย”
“สิ่งใด“ เย่ว์หวาถาม
เวลานี้ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ถูกศิษย์ทั้งหลายหามออกไปแล้ว เขาถูกตะปูสะกดวิญญาณทำร้ายหลายครั้งถึงเพียงนั้น ไม่รู้ว่าจะเก็บชีวิตนี้กลับมาได้หรือไม่ ถึงจะโชคดีเก็บชีวิตกลับมาได้ กำลังภายในทั้งชีวิตก็คงสลายไปหมดสิ้นแล้ว
กงซุนฉางหลีตอบว่า “ตะปูสะกดวิญญาณ”
“ตะปูสะกดวิญญาณหรือ” เย่ว์หวาตะลึง เขาเคยได้ยินชื่อเสียงของสิ่งร้ายกาจชิ้นนี้มาก่อน แม้แต่บุคคลในตำนานผู้นั้นก็ยังไม่กล้าเฉียดกรายเขาใกล้คมของมัน ราชันอสูรผู้นี้ร้ายกาจเช่นนี้เชียวหรือ เขาถึงกับใช้ตะปูสะกดวิญญาณกับปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์!
กงซุนฉางหลีพยักหน้า “ถูกต้องแล้ว จากที่รานีอสูรให้การ ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ถือตะปูสะกดวิญญาณไปหาราชันอสูร เขาคงอยากจะฝึกราชันอสูรให้เชื่อง ส่วนเหตุใดราชันอสูรจึงหนีไปได้ ส่วนตะปูสะกดวิญญาณกลับถูกใช้บนตัวเขาเอง ข้าสันนิษฐานว่าสตรีนางนั้นอาจฟื้นขึ้นมาแล้วหนีมาถึงคฤหาสน์ของปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ ก่อนจะใช้ตะปูสะกดวิญญาณทำร้ายเขาแล้วปล่อยราชันอสูรหนีไป”
“เรียนประมุขว์หวา ปี้เซิงมีเรื่องสำคัญต้องรายงานขอรับ”
ศิษย์คนหนึ่งเดินออกมาข้างหน้าช้าๆ แล้วค้อมกายคำนับเย่ว์หวา
ศิษย์คนนี้มิใช่ใครอื่น เขาก็คือศิษย์อายุน้อยที่ก่อนหน้านี้เคยถามคำถามท่านราชครู หลังจากนั้นฉุกใจคิดได้ว่าในห้องมีกลิ่นคาวเลือดนั่นเอง
ประมุขเย่ว์หวาถามเสียงเย็นชา “ข้ากำลังยุ่งมาก หวังว่าเรื่องที่เจ้ารายงานจะเป็นเรื่องใหญ่”
ศิษย์ตอบอย่างนอบน้อม “ก่อนที่ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์จะเกิดเรื่อง เขาเคยพบนักเวทฉินขอรับ”
เย่ว์หวาเลิกคิ้ว “เจ้าว่าอะไรนะ”
ศิษย์ฝืนทำใจกล้าตอบว่า “ราวช่วงเวลาอาหารกลางวัน ข้าน้อยกับศิษย์น้องเคยมาที่ห้องลับหนหนึ่งแล้ว แต่เดิมคิดจะรายงานเรื่องที่ร่างพิษหายไปกับปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ ผลปรากฏว่า…กลับพบนักเวทฉิน ยามนั้นราชันอสูรยังอยู่ นักเวทฉินทำอาหารหกเกลื่อนบนพื้น ภายในห้องมีกลิ่นคาวเลือด แต่ถูกกลิ่นหอมของอาหารกลบเอาไว้ รอจนกระทั่งข้าน้อยฉุกใจคิดได้ หวนกลับมาสำรวจที่ห้องลับอีกหน นักเวทฉินก็ไม่อยู่แล้ว บนพื้นถูกเก็บกวาดจนสะอาดเกลี้ยง ประตูหินของห้องลับปิดอยู่ รอจนข้าน้อยกับศิษย์น้องเปิดประตูหินได้ ราชันอสูรด้านในก็หายไปแล้ว ส่วนท่านปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์…ก็…ก็บาดเจ็บแล้ว”
กงซุนฉางหลีหลุบตาลงอย่างไม่แสดงอาการใดๆ ทั้งสิ้น
แววตาของเย่ว์หวาเย็นชาลงวูบหนึ่ง “เป็นฝีมือของนักเวทฉินจริงๆ! ข้ารู้อยู่แล้วเชียวว่าในรถม้าของเขาต้องมีอะไรอยู่! ราชันอสูรจะต้องอยู่บนรถม้าของเขาแน่! รอข้าก่อนเถอะ คอยดูว่าหากข้าจับเจ้ากลับมาได้แล้วจะจัดการเจ้าอย่างไร!”
เย่ว์หวากล่าวจบก็เดินออกไปอย่างไม่เหลียวหลังกลับมา
ศิษย์ผู้นั้นมองเย่ว์หวาเดินจากไปอย่างอึ้งๆ ไม่รู้ว่าตนเองพูดถูกหรือว่าพูดผิด เขาหันไปมองกงซุนฉางหลีอย่างงงงวย “คุณชายฉางหลี…”
กงซุนฉางหลียกมุมปากยิ้มจางๆ อาภรณ์สีแดงเจิดจ้าขับเน้นรอยยิ้มเลือนรางนี้ให้งดงามเย้ายวนดุจดอกเหมยแดง
กงซุนฉางหลียิ้มงดงามยิ่งนัก แต่ไม่รู้เหตุใด ศิษย์ผู้นี้กลับกลัวจนแข้งขาอ่อน…
ร่างพิษหนีไป จากนั้นราชันอสูรก็หายตัวไปด้วย แม้แต่ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์ก็ถูกทำร้ายบาดเจ็บสาหัส ทั้งลัทธิศักดิ์สิทธิ์วุ่นวายจนเละเป็นโจ๊ก สิ่งที่โกลาหลยิ่งกว่าก็คือศิษย์แทบทุกคนต่างวิ่งหาห้องส้วม จะเรียกหาคนสักกลุ่มไปสกัดรถม้าของราชครูก็หาไม่ได้
สถานการณ์เช่นนี้เป็นประโยชน์ต่อพวกเฉียวเวยที่กำลังจะหนีออกไปอย่างยิ่ง แต่น่าเสียดายที่เฉียวเวยไม่รู้ว่าลูกสาวของตนเองออกไปจากที่นี่แล้ว นางยังคงตระเวนตามหาทั่วทุกหนแห่ง
“เลิกหาได้แล้ว นางไปแล้ว”
ตอนที่เฉียวเวยคิดจะปีนกำแพงเข้าไปยังหอศิลาอีกหลังหนึ่ง กงซุนฉางหลีก็โผล่มาอยู่ด้านหลังแล้วเรียกนางเอาไว้
เฉียวเวยหันหลังกลับมาอย่างตกตะลึง เมื่อเห็นกงซุนฉางหลีผู้สวมอาภรณ์สีแดงกำลังถือร่มกระดาษน้ำมันคันหนึ่งอยู่ ก็เอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าเองหรือ”
หลังจากยอมรับตัวตนในลัทธิศักดิ์สิทธิ์ของเขาได้ ยามพบหน้าเขาอีกครั้งก็ไม่มีสิ่งใดให้ตกใจอีกแล้ว
“เมื่อครู่เจ้าบอกว่าอะไร ใครไปแล้ว” เฉียวเวยถาม
กงซุนฉางหลีตอบว่า “วั่งซูกับราชันอสูร พวกเขาลงจากภูเขาไปแล้ว”
เฉียวเวยดวงตาเป็นประกาย “เจ้าพบพวกเขาหรือ”
กงซุนฉางหลีมองนักรบมรณะกับศิษย์ทั้งหลายที่กุมท้องวิ่งหาห้องส้วมอยู่ไม่ไกล “ไม่ต้องถามแล้ว รีบออกไปเสีย”
เฉียวเวยจ้องลึกลงไปในดวงตาของเขา “เจ้าปล่อยพวกข้าไปเช่นนี้ หากถูกจับได้ขึ้นมา…”
“ไม่มีทางหรอก” กงซุนฉางหลีเอ่ยขัดนาง
เฉียวเวยอ้าปากอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่แล้วก็เงียบไป เฉียวเวยสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วรวบรวมความกล้าก้าวไปกอดเขาเบาๆ “ขอบคุณเจ้าที่ทำเพื่อข้ามากมายถึงเพียงนี้ แต่ขออภัยอย่างยิ่งจริงๆ ข้ามีหมิงซิวแล้ว ข้าได้แต่ผิดต่อเจ้า ชาติหน้า…ชาติหน้าเจ้ามาพบข้าเร็วกว่านี้ก็แล้วกัน”
ร่างกายของกงซุนฉางหลีแข็งทื่ออย่างฉับพลัน “!”
ร่างกายของเขาแข็งทื่ออย่างยิ่ง เห็นก็ทราบทันทีว่าประหม่ายิ่งนัก เขาคงชอบข้ามากจริงๆ!
เฉียวเวยปล่อยเขาแล้วมองเขาด้วยแววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “ขออภัยด้วย ฉางหลี”
กงซุนฉางหลี “!”
ดูสีหน้าน่ารักที่เหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็ไม่พูดนั่นสิ ข้าคงทำให้เขาเศร้าเสียใจมากแน่ๆ!
ทว่าเจ็บยาวไม่สู้เจ็บสั้น บางเรื่องตัดใจเสียตั้งแต่เนิ่นๆ….ย่อมดีกว่า!
สักวันหนึ่งเขาก็จะพบว่าความจริงแล้วข้าทำเพื่อเขา!
เฉียวเวยตบหัวไหล่ของเขาแล้วบอกกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ “ข้าไปแล้วนะ ฉางหลี วันหน้าค่อยพบกันใหม่”
กงซุนฉางหลี “…”
หลังจากเฉียวเวยเดินจากไปแล้ว กงซุนฉางหลีก็กระชากอาภรณ์ตัวนอกของตนออกแล้วโยนทิ้งลงในสระน้ำอย่างรังเกียจเดียดฉันท์!
หลังจากเฉียวเวยกลับมาถึงห้องขององค์ชายสาม นางก็ให้อินทรีทองไปเรียกเยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับไห่สือซานกลับมาทันที แต่เดิมคิดจะเรียกสือชีด้วย แต่สือชีไม่อยู่ในลัทธิศักดิ์สิทธิ์แล้วเพราะเขาวิ่งโร่ตามวั่งซูตัวน้อยไปเรียบร้อย
เฉียวเวยเปิดประตูตู้แล้วอุ้มสตรีที่ถูกมัดอย่างแน่นหนาด้านในออกมา “องค์ชายสาม เจ้ามีสิ่งใดต้องเก็บหรือไม่ หากไม่มี ตอนนี้ก็ไปกับพวกเราได้แล้ว”
“จะไปแล้วหรือ ไม่ตามหาวั่งซูกับราชันอสูรแล้วหรือ” องค์ชายสามถามอย่างฉงน
“ข้าทำเอง” ไห่สือซานเอื้อมมือไปรับตัวสตรีนางนั้นจากมือของเฉียวเวย
เฉียวเวยพยักหน้าแล้วมัดคนไว้บนหลังของเขา จากนั้นบอกองค์ชายสามว่า “พวกเขาออกไปแล้ว พวกเราก็ต้องรีบไปเช่นกัน หากช้ากว่านี้คงหนีไม่ได้แล้ว”
องค์ชายสามยกสองมือเท้าคาง “ข้าก็ต้องหนีด้วยหรือ”
เฉียวเวยถามว่า “เจ้าไม่อยากไปหรือ”
องค์ชายสามขมวดคิ้ว “ข้ารู้สึกว่า…ข้าไม่ไปจะดีกว่า”
เฉียวเวยเข้าใจความคิดของเขา เขาอาจจะไม่ฉลาดเท่าทันแผนการเท่าใดนัก แต่เขาก็รู้ว่าลัทธิศักดิ์สิทธิ์ต้องการให้เขาอยู่ที่นี่ การหายตัวไปของเขาสำคัญยิ่งกว่าราชันอสูรกับร่างหยินบริสุทธิ์รวมกันเสียอีก ดังนั้นหากพวกเขาไม่พาเขาไปด้วยย่อมหนีออกไปง่ายกว่า
เฉียวเวยลอบถอนหายใจ เด็กคนนี้นี่นะ ทั้งที่ถูกตามใจมาจนโตแท้ๆ แต่กลับไม่นิสัยเสียสักนิด รู้ความจนทำให้คนปวดใจจริงเชียว
เฉียวเวยลูบใบหน้าของเขา “ไม่ต้องกลัว ต้องหนีได้แน่”
องค์ชายสามพยักหน้าเงียบๆ “ถ้าเช่นนั้นก็ได้ ข้าไม่มีอะไรต้องเก็บ ไปกันเถิด”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยอุ้มจิ่งอวิ๋นผู้หลับใหลขึ้นมาพร้อมกับผ้าห่ม
เฉียวเวยเดินไปเปิดประตู ทว่าเมื่อดึงประตูเปิดออกกลับเห็นแม่เฒ่าถือไม้เท้าคนหนึ่งยืนสีหน้าเคร่งขรึมอยู่หน้าประตู