หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 29-2 ช่วยราชันอสูร (3)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 29-2 ช่วยราชันอสูร (3)
ตอนที่ 29-2 ช่วยราชันอสูร (3)
อวิ๋นจูมองท้องฟ้ายามรัตติกาลอันไร้ที่สิ้นสุดแล้วพูดว่า “สรุปก็คือเขาจะไม่เป็นอะไร” กล่าวจบก็หันกลับมา มองท้องของเฉียวเวย “เจ้าเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ไปพักผ่อนเถิด”
เฉียวเวยลุกขึ้นกลับไปที่ห้อง แต่เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ นางจะหลับแต่หัวค่ำลงได้อย่างไรกัน หากหมิงซิวอยู่ก็ดี เขาจะต้องเดาออกแน่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“ท่านแม่ๆ!”
วั่งซูวิ่งเข้ามาพร้อมกับหน้าผากที่เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ มือน้อยสองข้างถูกหิมะกัดจนแดงก่ำ
เฉียวเวยยกแขนขึ้นกอดนาง นางถือโอกาสปีนขึ้นมาบนตักของเฉียวเวย มือน้อยอวบอ้วนกอดคอของเฉียวเวย จากนั้นถูไถศีรษะกับอกของเฉียวเวย
แต่เดิมเฉียวเวยคิดจะดุเจ้าตุ้ยนุ้ยคนนี้ให้ดีๆ สักยก แต่พอถูกนางถูไถทีสองทีเช่นนี้ ใจก็อ่อนยวบ นางหยิกใบหน้าอ้วนกลมของเจ้าตัวจ้อย แล้วสั่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “หลังจากนี้ห้ามปีนขึ้นรถม้าของใครส่งเดชอีก รู้หรือไม่”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ!”
วั่งซูตอบรับอย่างเชื่อฟังอย่างยิ่ง
เฉียวเวยทั้งฉิวทั้งขัน เจ้าตุ้ยนุ้ยคนนี้คงจะฟังไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าตนเองกำลังเตือนนางเรื่องอะไร ไม่ว่าพูดอะไรนางก็รับปากไว้ก่อน กลับไปก็คงลืมหมดเกลี้ยงแล้ว
“เจ้านี่นะ!”
เฉียวเวยหยิกแก้มของนาง
วั่งซูอ้าปากหาววอดนั่งโงนเงนอยู่ในอ้อมกอดของมารดาผู้มีเนื้อตัวนุ่มนิ่มหอมกรุ่น เพียงไม่นานก็หลับไป
เฉียวเวยก้มหน้ามองใบหน้าน้อยสีชมพูของนาง จากนั้นจึงนวดมือน้อยที่หนาวจนแดงก่ำของนางเบาๆ อยากจะพานางไปซุกตัวในผ้าห่ม
ผ่านไปอีกไม่กี่เดือน ตนก็คงจะอุ้มนางไม่ไหวแล้ว พอคิดเช่นนี้เฉียวเวยก็อุ้มคนขึ้นมาอีกหน
ภายในห้องเงียบสงบเหลือเพียงเสียงลมหายใจ เมื่อคืนวานเฉียวเวยไม่ได้หลับตาสักนิด พออุ้มไปอุ้มมา ตนเองก็เริ่มง่วงบ้างแล้ว นางอยากจะงีบหลับสักครู่ แต่ยังไม่ทันได้หลับตา เสียงกรีดร้องของบรรดาสาวใช้ในเรือนก็ดังขึ้น
ต่อจากนั้นเสียงร้อนใจดั่งไฟลนของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็ดังขึ้น “เกิดเรื่องอะไรขึ้น เกิดเรื่องอะไรขึ้น”โ
เสียงระเบิดดังสนั่น ราวกับว่ามีสิ่งของหนักอึ้งบางสิ่งกระแทกกับเสา
เฉียวเวยหันไปมองจิ่งอวิ๋นตามสัญชาตญาณเพราะกังวลว่าเขาจะถูกเหตุการณ์ผิดปกติทำให้ตกใจกลัวจนตื่น แต่เขากลับไม่มีปฏิกิริยาสักนิด เฉียวเวยกังวลอีกว่าเขาจะป่วยเป็นอะไรหรือไม่ จึงจับหน้าผากและจับชีพจรให้เขา แต่ทุกอย่างปกติดี “เจ้าไปทำอะไรมาหืม คงไม่ใช่ว่าน้องสาวเจ้านั่งรถไป แต่เจ้าเดินเท้าไปใช่หรือไม่ เหตุไฉนจึงเหน็ดเหนื่อยจนมีสภาพเช่นนี้”
เฉียวเวยหอมหน้าผากเขาอย่างปวดใจ จากนั้นจึงเหน็บชายผ้าห่มให้ลูกน้อยทั้งสองจนเรียบร้อยก่อนจะเดินออกไปจากห้อง
เมื่อนางเดินไปถึงลานกว้าง ตัวการร้ายที่ทำให้สาวใช้ทั้งหลายกรีดร้องเสียงหลงก็ถูกสือชีเหยียบอยู่กับพื้นแล้ว
สือชีสองแขนกอดกระบี่มองนางอย่างดุร้าย
สาวใช้หลายนางหน้าซีดกอดกันกลมอยู่ด้านข้าง
เฉียวเวยมองสถานการณ์แวบหนึ่งก็เข้าใจคร่าวๆ แล้วว่าร่างพิษคงอาการกำเริบจนทำให้สาวใช้ทั้งหลายนางนี้ตกใจกลัว
นางมองพวกสาวใช้ “พวกเจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ ได้รับบาดเจ็บหรือไม่”
พวกนางส่ายหน้า
พวกนางต้มน้ำเสร็จก็กำลังจะเข้าไปช่วยเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้แม่นางผู้นี้ คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ แม่นางผู้นี้จะลืมตาดิ้นหลุดจากเชือกบนเตียง แล้วแยกเขี้ยวกางกรงเล็บ ดวงตาดุร้ายพุ่งตรงมาหาพวกนางราวกับคลุ้มคลั่ง โชคดีที่สือชีรีบมาถีบแม่นางผู้นี้ออกไปได้ทันเวลา ไม่เช่นนั้นพวกนางคง…
เฉียวเวยมองอ่างน้ำที่คว่ำอยู่บนพื้น จากนั้นบอกกับพวกนางว่า “ที่นี่ไม่ต้องให้พวกเจ้าคอยรับใช้แล้ว ออกไปเถิด”
พวกนางจากไปพร้อมกับหัวใจที่ยังหวาดผวาไม่หาย
เฉียวเวยไล่บ่าวรับใช้ที่มาชมเรื่องสนุกกลับไปที่ห้องของตนเอง หลังจากนั้นจึงให้สือชีหิ้วสตรีนางนั้นกลับไปในห้อง
ไม่รู้ว่าสตรีนางนี้ไม่ได้อาบน้ำมานานเท่าใดแล้ว เนื้อตัวนางเต็มไปด้วยคราบสกปรก เส้นผมรุงรังหน้าตามอมแมม หน้าตาเป็นอย่างไรก็มองไม่ชัด แล้วยังมีกลิ่นประหลาดโชยออกมาอีกด้วย มิน่าสาวใช้พวกนั้นจึงทนดูไม่ได้ตักน้ำมาจะเช็ดตัวให้นาง
เฉียวเวยไม่มีความอดทนพอจะเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้นาง แต่หากให้จับนางโยนลงไปในถังน้ำก็พอไหวอยู่
ห้องครัวมีน้ำร้อนอยู่แล้ว สือชีไปตักมาให้หลายถัง
เฉียวเวยมองสือชีอย่างประหลาดใจ รู้สึกเหมือนว่าเจ้าเด็กคนนี้จะขยันขันแข็งกว่าก่อนหน้านี้นะ!
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยปักหลักแอบหัวเราะอยู่ที่ประตู ในเมื่อแย่งคนสู้ราชันอสูรไม่ได้ก็เลยได้แต่มาประจบแม่ยายก่อนสินะ
สือชีตักน้ำมาเสร็จก็เดินออกไปอย่างรู้หน้าที่
เฉียวเวยคว้าตัวสตรีนางนั้นโยนเข้าไปในอ่างอาบน้ำ
สตรีนางนั้นเหมือนจะรู้สึกตัว นางดิ้นรนในอ่างอาบน้ำอยู่สองสามหน ศีรษะก็โผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำ พร้อมกับยกมือปาดน้ำบนใบหน้าของตนเองออก ทว่าการยกมือขึ้นปาดครั้งนี้กลับทำให้เฉียวเวยตะลึงจนตาค้าง
สตรีนางนั้นสังเกตเห็นแล้วว่านอกอ่างอาบน้ำมีคนเป็นๆ อยู่ ดวงตาแดงก่ำสองข้างจึงหันมาจับจ้องเฉียวเวย มือที่ผอมจนเห็นกระดูกปูดนูนยื่นมาจะบีบคอเฉียวเวยดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
เฉียวเวยสาดฉี่เด็กผู้ชายถุงหนึ่งออกไปทันที ร่างกายของสตรีนางนั้นมีควันจางๆ ลอยออกมา นางตัวสั่นสะท้านอยู่สองทีก็หมดสติทรุดกลับลงไปในอ่างอาบน้ำ
สามคนด้านนอกได้ยินเสียงเอะอะจึงพุ่งเข้ามาอย่างฉับไว
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถามขึ้นว่า “”นางอาการกำเริบอีกแล้วหรือ นาง…”
พูดได้ครึ่งหนึ่ง เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็มองเห็นใบหน้าของฝั่งตรงข้ามชัด เขาจึงอึ้งตาค้างไปเหมือนกัน
หลังจากนั้นก็เป็นไห่สือซาน ไห่สือซานตาโตอ้าปากค้าง เขาขยี้ตาตนเอง แล้วสงสัยว่าตนเองอาจจะมองผิด ทว่าถึงเขาจะขยี้ตาจนลูกตาแทบแหลกเละ คนผู้นี้ก็ยังหน้าตาเหมือนเดิม!
“คงไม่บังเอิญเช่นนี้กระมัง…เป็นนางไปได้อย่างไรกัน” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก้าวมาข้างหน้าแล้วดึงใบหน้าของนาง ไม่ได้แปลงโฉม ใช่นางจริงๆ แต่นี่แปลกประหลาดมากไม่ใช่หรือ
ไห่สือซานได้สติกลับมาแล้ว เขาพึมพำอย่างไม่อยากจะเชื่อ “คิดไม่ถึงเลยว่าสวินซื่อก็เป็นร่างหยินบริสุทธิ์เหมือนกัน”
เฉียวเวยวางถุงฉี่ของจิ่งอวิ๋นลงอย่างเงียบๆ “โลกช่างเล็กจริงๆ”
เล็กจนถึงขนาดที่กั้นขวางด้วยพันภูผาหมื่นธาราก็ยังมาบรรจบพบกันได้
คนที่ชาตินี้เฉียวเวยไม่ต้องการพบหน้ามากที่สุด นอกจากบิดามารดาที่ทอดทิ้งนางในชาติก่อนก็คือสตรีตรงหน้าคนนี้ แต่เดิมคิดว่านางจากไปไกลโพ้นแล้ว ชีวิตนี้คงไม่ได้พบเจอกันอีก แต่คิดไม่ถึงเลยว่านางจะถูกตนเอง ‘ช่วย’ กลับมา
“นี่เป็นเรื่องดี” ไห่สือซานเอ่ย
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยขานอืมตอบ “ถูกต้อง ควักยาพิษในร่างนางออกมาให้ราชันอสูรเลื่อนระดับกำลังภายในเถิด”
เฉียวเวยชะงักไปครู่หนึ่งก็ตอบว่า “มีเหตุผลมาก!”
ทั้งสามคนเบิกบานใจไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว!
หากนี่เป็นชาวบ้านบริสุทธิ์คนหนึ่ง พวกเขาไหนเลยจะทำลง แต่นี่ดันเป็นสวินหลัน สตรีนางนี้ทำชั่วมามากมาย ไม่ต้องพูดถึงยาพิษเม็ดหนึ่ง ต่อให้ต้องควักหัวใจของนางออกมา พวกเขาก็ทำได้โดยไม่กะพริบตาสักนิด!
ไห่สือซานชักมีดสั้นออกมาอย่างฉับไว “จะควักออกมาตอนนี้เลยหรือไม่”
เฉียวเวยตอบว่า “ยังไม่ได้ ร่างนางเพิ่งเริ่มก่อกำเนิดยาพิษ ต้องรอจนกระทั่งยาพิษก่อตัวสำเร็จจึงจะมีฤทธิ์ยามากพอ”
ไห่สือซานเก็บมีดสั้นไป “ถ้าเช่นนั้นก็ต้องเลี้ยงนางไว้อีกระยะหนึ่งสินะ เลี้ยงให้ตัวอวบอ้วน”
เมื่อพวกเยี่ยนเฟยเจวี๋ยสามคนออกไปแล้ว เฉียวเวยก็เปลี่ยนเสื้อผ้าแห้งสะอาดให้สวินหลัน จากนั้นให้นางนอนบนฟูกเตียงนุ่มนิ่ม ขณะที่กำลังจะคลุมผ้าห่มให้นางนั่นเอง จู่ๆ นางก็ได้สติ เฉียวเวยกลัวว่านางจะอาการกำเริบอีกจึงฟันฝ่ามือใส่นางอย่างรวดเร็วจนนางสลบเหมือด!
เฉียวเวยยังไม่วางใจอยู่บ้างจึงไปที่ห้องของอวิ๋นจู
“ร่างหยินบริสุทธิ์อีกร่างหนึ่งหรือ” อวิ๋นจูฉงน
เฉียวเวยพยักหน้า “ถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ ข้าพบนางที่ตำหนักนักเวทศักดิ์สิทธิ์ ตอนนั้นคิดเพียงว่าไม่ต้องการให้รานีอสูรเพิ่มกำลังภายในได้อีก แต่คิดไม่ถึงเลยว่านางกลับเป็น ‘คนรู้จัก’ คนหนึ่ง”
อวิ๋นจูมองเฉียวเวย “คนรู้จักที่ไม่ดีหรือ”
เฉียวเวยพยักหน้าแล้วเลือกเล่าประเด็นสำคัญเรื่องหนึ่งออกมา “เจ้าค่ะ นางทำให้พี่หว่านแท้งสองครั้ง จนนางไม่มีลูกมาสิบปี”
อวิ๋นจูเอ่ยเสียงเย็นชา “ถ้าเช่นนั้นก็สมควรตายแล้ว”
เมื่อนึกสิ่งใดขึ้นมาได้ เฉียวเวยก็ถามอีกว่า “ท่านยาย หากพวกเราหาตำราวิชานั้นพบ จะยังมีหนทางช่วยนางอยู่หรือไม่”
อวิ๋นจูขมวดคิ้ว “เจ้ายังอยากช่วยนางอีกหรือ”
เฉียวเวยรีบส่ายหน้า “แน่นอนว่าไม่ใช่! ข้ากลัวว่านางจะช่วยตัวนางได้ต่างหาก”
อวิ๋นจูตอบเสียงเยาะหยัน “จะเป็นไปได้อย่างไร เจ้าคิดว่าใครๆ ก็แปรสภาพยาพิษของนักรบมรณะได้หรือ แม่นางตระกูลมู่คนนั้นเป็นยอดฝีมือแห่งยุทธภพคนหนึ่ง กำลังภายในของนางล้ำลึกจึงมีโอกาสลองดู ส่วนจะสำเร็จหรือไม่ก็ต้องดูโชคชะตาของตัวนางเอง แต่สตรีที่เจ้าพากลับมาวันนี้แม้แต่โอกาสจะลองเสี่ยงโชคก็ยังไม่มี เมื่อยาพิษก่อกำเนิดสมบูรณ์ จะเอาออกมาหรือไม่นางก็มีแต่ตายสถานเดียวเท่านั้น”
เฉียวเวยเข้าใจแล้ว “หากเป็นเช่นนี้ ข้าก็วางใจแล้ว”
อวิ๋นจูเอ่ยเตือน “ข้าขอเตือนเอาไว้หน่อย อย่าปล่อยให้นางทำลายยาพิษเสียเล่า”
ยาพิษของร่างหยินบริสุทธิ์หนึ่งเม็ดล้ำค่ามากเหลือเกินจริงๆ…
หากให้ราชันอสูรกินเข้าไป ไม่ต้องพูดถึงรานีอสูรขั้นเจ็ดคนหนึ่ง เขาอาจจะเลื่อนขั้นทะลุไปถึงขั้นแปด ขั้นเก้าเลยก็เป็นได้ หากโชคดีมากพอ บางที…เขาอาจจะเป็นเหมือนคนผู้นั้น แข็งแกร่งจนผู้คนไม่อาจจินตนาการ
เพื่อปกป้องร่างหยินบริสุทธิ์ที่ร้อยปีอยากจะพบสักหน เฉียวเวยจึงให้ผู้ดูแลปี้หาเรือนแยกอันเงียบสงบและเร้นลับแห่งหนึ่งแล้วย้ายสวินหลันไปไว้ที่นั่น ก่อนจะให้สือชีกับอาต๋าเอ่อร์ผลัดกันไปเฝ้าเอาไว้ ฉี่เด็กผู้ชายของจิ่งอวิ๋นไม่เสียเปล่าเลยสักหยด มันถูกส่งไปยังเรือนแยกอย่างไม่ขาดสาย แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องที่จะว่ากันภายหลัง
ยามนี้จิ่งอวิ๋นยังนอนหลับอยู่ เขาหลับไปสามวันเต็มแล้ว ตอนที่เฉียวเวยเริ่มสงสัยแล้วว่าเขาถูกลัทธิศักดิ์สิทธิ์ทำอะไรชั่วร้ายใส่หรือไม่ ในที่สุดเขาก็ได้สติขึ้นมาอย่างเงียบๆ
เขาลืมตาขึ้นก็พบว่าตนเองอยู่ในอ้อมแขนของมารดา อ้อมแขนของมารดาอบอุ่น หอมกรุ่นและนุ่มนิ่ม เขาซุกศีรษะลงไปสูดกลิ่นของมารดาจากนั้นก็หลับตาลงอย่างพึงพอใจอีกครั้ง
ทว่าเฉียวเวยก็ยังสัมผัสความเคลื่อนไหวของเขาได้ นางลูบศีรษะเขาแล้วถามเสียงเบา “ตื่นแล้วหรือ รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง มีตรงไหนไม่สบายหรือไม่”
จิ่งอวิ๋นส่ายศีรษะ
เฉียวเวยถอนหายใจยาว “เจ้าทำให้แม่กลัวแทบตาย เจ้าหลับไปสามวันแล้ว”
“ข้าดื่มสุรานมม้าเข้าไป” จิ่งอวิ๋นตอบ
เฉียวเวยยิ้ม “ช่างเหมือนกับบิดาของเจ้า คออ่อนนัก หลังจากนี้อย่าดื่มอีก เข้าใจหรือไม่”
จิ่งอวิ๋นพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
เรื่องที่เขารับปากย่อมหมายถึงรับปากจริงๆ ไม่เหมือนเจ้าตุ้ยนุ้ยที่หันหลังกลับไปก็ลืมแล้ว
เฉียวเวยวางใจแล้ว นางหยิบเสื้อผ้ามาสวมให้เขา
เขาสีหน้าแดงระเรื่อเล็กน้อย “ข้า…”
เฉียวเวยถามอย่างขบขัน “เจ้าอะไร โตแล้ว แม่สวมเสื้อผ้าให้เจ้าไม่ได้แล้วหรือ”
จิ่งอวิ๋นลืมตาอย่างร้อนใจ “ไม่ใช่นะ…ข้า…”
ระหว่างที่พูด เฉียวเวยก็สวมเสื้อกับกางเกงให้เขาอย่างรวดเร็วจนเสร็จ จากนั้นจึงคว้าเท้าน้อยๆ สีขาวนุ่มนิ่มของเขามาสวมถุงเท้านุ่มๆ ให้ พร้อมกับรองเท้าหนังแพะคู่น้อยอันอบอุ่นคู่หนึ่ง “เสร็จแล้ว”
จิ่งอวิ๋นหน้าแดงกระโดดลงมาจากเตียง กำลังจะไปล้างหน้าล้างตา แต่แล้วพอเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็วกกลับมาอย่างกะทันหัน
เฉียวเวยอมยิ้มมองเขา
เขาเขย่งปลายเท้าหอมแก้มเฉียวเวยอย่างรวดเร็วหนึ่งหนแล้ววิ่งหนีไป
เฉียวเวยลูบพวงแก้มที่ถูกบุตรชายหอมแล้วหัวเราะออกมาอย่างห้ามตนเองไม่ได้