หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 30-1 ช่วยราชันอสูร (4)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 30-1 ช่วยราชันอสูร (4)
ตอนที่ 30-1 ช่วยราชันอสูร (4)
หลายวันต่อจากนั้น เฉียวเจิงหมกตัวอยู่ใน ‘ห้องยา’ เล็กๆ ของตนเองเพื่อวิจัยยาที่จะสะกดยาพิษของนักรบมรณะและยาที่จะเร่งพัฒนาการของยาพิษพวกนั้น ยาที่ระงับยาพิษมอบให้ศิษย์พี่รอง ก่อนที่จะตามหาวิชาแปรสภาพยาพิษพบ นางจำเป็นต้องระงับพิษภายในร่างเอาไว้ มิเช่นนั้นหากยาพิษก่อตัวขึ้นมาจนสมบูรณ์ นางก็จะสิ้นลมหายใจ
ส่วนยาที่จะเร่งพัฒนาการของยาพิษย่อมมอบให้สวินหลัน
ตั้งแต่เฉียวเวยโยนสวินหลันไปที่เรือนแยกก็ถือว่าไม่เห็นคนจิตใจย่อมสงบ ไม่เคยไปเยี่ยมเยือนสักครั้ง กลับเป็นราชันอสูรที่คอย ‘ป้อน’ ยาให้สวินหลันกินวันละสามมื้ออย่างแน่วแน่ ‘ป้อน’ เสร็จก็น้ำลายไหลยืดจากไปอย่างอาลัยอาวรณ์
เฉียวเวยคิดดูแล้วราชันอสูรของบ้านตนก็น่าสงสารจริงๆ นับตั้งแต่เลื่อนขั้น ยาพิษสักเม็ดก็ไม่ได้กิน ไหนเลยจะเหมือนรานีอสูร ทุกวันได้กินวันละเม็ดเหมือนกินถั่วเคลือบน้ำตาล จะให้กำลังภายในไม่ก้าวหน้าก็คงยาก
ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ยังไม่รู้ว่าร่างหยินบริสุทธิ์ถูกพวกเขาลักพาตัวมาแล้ว จึงส่งคนมาสืบหาร่องรอยของราชันอสูรที่จวนมู่อ๋องอยู่หลายครั้ง แต่ทั้งหมดถูกราชันอสูรไล่กระเจิงกลับไป
จีหมิงซิวยังคงเก็บตัวอยู่ในห้องลับ วันแรกๆ อวิ๋นจูยังไปเยี่ยมอยู่ทุกวัน แต่หลังจากนั้นอวิ๋นจูก็ไม่ไปแล้ว
เขาเลื่อนขั้นเข้าสู่ขั้นแปดแล้ว หลังจากกินบัวหิมะของลัทธิศักดิ์สิทธิ์เพื่อซ่อมแซมเส้นลมปราณก็กำลังฮึดทะลวงสู่ขั้นเก้าในอึดใจเดียวอยู่ พิษฝ่ามือในร่างเขากำลังแผ่ขยายอย่างไร้ความหวั่นเกรง หากเขาฝึกสำเร็จก็จะรักษาชีวิตนี้ไว้ได้ แต่หากฝึกไม่สำเร็จ…
เฉียวเวยส่ายศีรษะ เขาจะฝึกไม่สำเร็จได้อย่างไรเล่า
แม้แต่ความยากลำบากเนิ่นนานหลายปียังทนผ่านมาได้ ตอนนี้อยู่ห่างจากประตูเพียงก้าวเดียว ไม่ว่าอย่างไรก็ล้มเหลวไม่ได้
เฉียวเวยยืนนิ่งเงียบอยู่นอกห้องลับ สองตาลุกโชนจับจ้องหน้าต่างบานน้อยบนบานประตูที่ถูกจีหมิงซิวปิดเอาไว้ ทางเดินด้านหลังมีสายลมหนาวพัดซู่บาดผิวเนียนนุ่มของนางดุจใบมีด
นางมองไม่เห็น แต่อยากได้ยินเสียงก็ยังดี ทว่าแม้แต่เสียงก็ไม่ได้ยิน
ฟู่เสวี่ยเยียนกางร่มเดินมาตามทางเดินอย่างช้าๆ ครั้นเดินมาถึงข้างกายนางก็มองนางอย่างอ่อนโยนแล้วบอกว่า “เจ้ายืนมานานแล้ว กลับกันเถิด”
เฉียวเวยหันไปมองฟู่เสวี่ยเยียนแล้วถามว่า “เจ้ามาได้อย่างไร มู่เหยียนน้อยเล่า”
ฟู่เสวี่ยเยียนยกมุมปากยิ้มนิดๆ ตอบว่า “นางหลับไปแล้ว ข้ามาตามเจ้า เจ้ายืนอยู่ตรงนี้หนึ่งชั่วยามแล้ว ไม่เหนื่อยบ้างหรือ”
เฉียวเวยส่ายหน้าพลางจ้องมองหน้าต่างที่ปิดสนิทต่อ “ข้าไม่เหนื่อย”
ฟู่เสวี่ยเยียนมองท้องของเฉียวเวย “เจ้าไม่เหนื่อย แล้วเขาไม่เหนื่อยด้วยหรือ”
เฉียวเวยลูบหน้าท้องของตน
ฟู่เสวี่ยเยียนเอ่ยต่อว่า “เขากำลังอดทนอย่างยากลำบากอยู่ด้านใน หากเขารู้ว่าเจ้ารอคอยเขาไม่ยอมหลับยอมนอนอยู่ด้านนอก เกิดปวดใจจนเสียสมาธิขึ้นมาอาจจะธาตุไฟเข้าแทรกก็ได้”
เฉียวเวยหันไปมองนางอีกครั้ง “ร้ายแรงถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”
ฟู่เสวี่ยเยียนตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าไม่ฝึกยุทธ์คงไม่รู้ความสำคัญของการเก็บตัวฝึกฝน มันก็เหมือนกับเหยียบเท้าข้างหนึ่งเข้าสู่วังยมบาล ประมาทไม่ได้แม้แต่น้อย”
เฉียวเวยพูดขึ้นมาด้วยท่าทางครุ่นคิด “มารดาของข้าก็เคยเก็บตัวฝึกฝน ยามนั้นสถานการณ์ของพวกเรายากลำบากอย่างยิ่ง แต่ไซน่าฮูหยินกลับห้ามข้าไม่ให้ไปหานาง ข้าคิดว่าคงเป็นเหมือนที่เจ้าพูดจริงๆ การเก็บตัวฝึกฝนไม่อาจถูกผู้อื่นรบกวนได้”
ฟู่เสวี่ยเยียนหัวเราะเบาๆ “แน่นอนอยู่แล้ว ข้าจะหลอกเจ้าได้อย่างไร แทนที่เจ้าจะมาอยู่ที่นี่ให้เขาเสียสมาธิ ไม่สู้กลับไปพักผ่อนดีๆ รอเขาออกมาแล้วเห็นเจ้าตัวอวบอ้วนขาวจ้ำม่ำไม่ดีกว่าหรือ”
เฉียวเวยยังไม่ค่อยวางใจนัก “เขาจะ…ไม่เป็นอะไรจริงๆ ใช่หรือไม่”
ฟู่เสวี่ยเยียนจับมือนางแล้วบอกเสียงอ่อนโยน “จะเป็นอะไรได้เล่า เจ้าฟังอยู่นานถึงเพียงนี้ ได้ยินเสียงเขาเกิดเรื่องแล้วหรือไร”
เฉียวเวยส่ายหน้า
ฟู่เสวี่ยเยียนยิ้ม “นั่นปะไร ฟังข้าเถิด กลับไปนอนสักตื่น บางทีวันพรุ่งนี้เขาอาจจะออกมาแล้วก็ได้”
เฉียวเวยรู้ว่าฟู่เสวี่ยเยียนกำลังปลอบตนเอง แม้นางไม่คิดว่าวันพรุ่งนี้เขาจะออกมาจริงๆ แต่ก็ไม่อยากทำให้ฟู่เสวี่ยเยียนเสียความตั้งใจอันดี นางหันกลับไปมองห้องศิลาอีกหนึ่งหน จากนั้นก็ปล่อยให้ฟู่เสวี่ยเยียนจูงตนเองจากไป
ในจังหวะที่นางมองไม่เห็น ฟู่เสวี่ยเยียนลอบปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก
ฝ่ามือเก้าสุริยัน ไฉนจะฝึกฝนสำเร็จง่ายดายเพียงนั้น
เขาคงเจ็บปวดราวกับลิ่มตอกเข้าไปในหัวใจและกระดูกอยู่แต่ไม่อยากให้นางรู้ก็เท่านั้น
ทั้งสองคนค่อยๆ เดินออกไปไกลจนพ้นทางเดินโ
ชั่วพริบตาที่ประตูใหญ่ปิดลง ภายในห้องศิลาอันมืดสนิทก็มีเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดดังออกมาในที่สุด
ฟู่เสวี่ยเยียนพาเฉียวเวยกลับไปที่เรือน แต่เดิมนางอยากจะกล่อมให้เฉียวเวยกลับไปนอนที่ห้องสักตื่น แต่เฉียวเวยนอนไม่หลับ
เฉียวเวยจึงไปที่ด้านหลังเรือน วั่งซูกับราชันอสูรกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นหิมะ จิ่งอวิ๋นนั่งยองๆ อยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ เขาหักกิ่งไม้กิ่งหนึ่งมาวาดอะไรลงบนพื้นทีละน้อย
เฉียวเวยเดินฝีเท้าแผ่วเบาเข้าไปหา “วาดสิ่งใดอยู่หรือ”
“ท่านแม่” จิ่งอวิ๋นขยับไปด้านข้างให้ที่ว่างกับเฉียวเวย
ตอนนี้เฉียวเวยนั่งยองลงไปไม่สะดวกแล้วจึงก้มตัวลงไปเพ่งมองภาพวาดของเขา ฝีมือการวาดภาพของเขาเทียบกับฝีมือการเขียนพู่กันไม่ได้ แต่ก็พอมองออกอยู่บ้าง ทว่าภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้านี่…เฉียวเวยมองอยู่เนิ่นนานก็มองไม่ออก “เจ้าวาดสิ่งใดหรือ จิ่งอวิ๋น”
จิ่งอวิ๋นเติมเส้นหลายขีดลงในกล่องสี่เหลี่ยมใบใหญ่ จากนั้นก็เก็บกลีบดอกเหมยบนพื้นหลายกลีบมาวางไว้ด้านใน กองจนกลายเป็นชุดแต่งงานสีแดงสดตัวหนึ่ง
“นี่มัน…” เฉียวเวยอ้าปากอย่างประหลาดใจ
จิ่งอวิ๋นตอบว่า “เจ้าสาวขอรับ”
จิ่งอวิ๋นหยิบกลีบดอกไม้ขึ้นมาอีกหน จากนั้นวางทับบนใบหน้าของเจ้าสาว
เฉียวเวยมองกล่องใบใหญ่ที่จิ่งอวิ๋นวาดแล้วถามอย่างประหลาดใจ “เตียงของนาง…เล็กขนาดนี้เชียวหรือ”
เด็กน้อยคนนี้เคยเห็นเจ้าสาวเพียงคนเดียวนั่นก็ก็คือนาง คนที่เขาวาดก็สมควรจะเป็นนางใช่หรือไม่ แต่เตียงป๋าปู้ในบ้านของพวกเขาใหญ่กว่านี้มากเลยนะ!
จิ่งอวิ๋นครุ่นคิดแล้วบอกว่า “นี่เป็นตู้ขอรับ”
เฉียวเวยหัวเราะดังพรืด “เหตุไฉนเจ้าสาวจึงไปหลับอยู่ในตู้เล่า”
แต่เดิมนางอยากจะพูดว่านอนอยู่ในโลงศพ เพราะไม่ว่าอย่างไรภาพวาดนี้ก็เหมือนโลงศพหยกมากจริงๆ แต่ไม่ต้องพูดถึงโลงศพหยก แม้แต่โลงศพไม้จิ่งอวิ๋นก็ไม่เคยเห็นมาก่อน เขาจะวาดออกมาได้อย่างไรเล่า
“จริงๆ นะขอรับ” เด็กชายตัวน้อยเห็นมารดาทำหน้าไม่เชื่อก็วางกิ่งไม้ลงแล้วลุกขึ้นยืนวาดมือวาดไม้อธิบายทันที “ข้าเห็นเองกับตา ในบ้านที่งดงามมากหลังหนึ่ง นางนอนอยู่ในตู้เล็กๆ เท่านี้”
คำพูดเพ้อเจ้อทำนองนี้เจ้าตุ้ยนุ้ยพูดวันละสิบกว่ารอบได้ แถมยังไม่ซ้ำกันด้วย แต่จิ่งอวิ๋นไม่ทำเช่นนั้น สิ่งที่เขาเอ่ยปากพูดล้วนเคยเห็นมาแล้วจริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้นมีโอกาสแปดเก้าในสิบส่วนที่นั่นจะไม่ใช่ตู้ แต่เป็นโลงศพหยกโลงหนึ่งจริงๆ
เฉียวเวยสีหน้าจริงจังถามว่า “เจ้าไปเห็นมาที่ไหนหรือ”ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
“ที่ๆ ไปเมื่อหนก่อนขอรับ” จิ่งอวิ๋นตอบ
เฉียวเวยอึ้ง “ที่ไหน ลัทธิศักดิ์สิทธิ์หรือ”
“หืม” จิ่งอวิ๋นไม่เคยได้ยินชื่อลัทธิศักดิ์สิทธิ์
เฉียวเวยเปลี่ยนคำพูดใหม่ “เห็นวันที่เจ้าดื่มสุรานมม้าเข้าไปวันนั้นใช่หรือไม่”
จิ่งอวิ๋นพยักหน้า
จิ่งอวิ๋นตื่นขึ้นมาบนเรือ หลังจากตื่นก็ขึ้นไปบนเกาะอิ๋นหูแล้ว หลังออกมาจากเกาะไม่นานก็หลับไปอีก หากจิ่งอวิ๋นเคยเห็น ‘เจ้าสาวในตู้’ คนหนึ่งจริง ถ้าเช่นนั้นก็ต้องอยู่บนเกาะอิ๋นหูแน่
เกาะอิ๋นหูเป็นเขตต้องห้ามของลัทธิศักดิ์สิทธิ์
เขตต้องห้ามจะมีเจ้าสาวคนหนึ่งนอนอยู่ในโลงศพหยกได้อย่างไรกัน