หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 30-2 ช่วยราชันอสูร (4)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 30-2 ช่วยราชันอสูร (4)
ตอนที่ 30-2 ช่วยราชันอสูร (4)
เฉียวเวยเดินไปที่ห้องของอวิ๋นจูทันที จากนั้นเล่าเรื่องเจ้าสาวที่จิ่งอวิ๋นเห็นให้อวิ๋นจูฟัง
อวิ๋นจูฟังจบก็สีหน้าเปลี่ยนไปทันที ทว่าไม่ใช่เพราะความกลัวแต่เป็นความตื่นเต้นยินดี เฉียวเวยสัมผัสได้ว่าร่างกายของนางสั่นเทานิดๆ ดวงตามีระลอกคลื่นวูบไหว มือขยำผ้าปูโต๊ะแต่เพราะออกแรงมากเกินไป แม้แต่ข้อนิ้วก็กลายเป็นสีขาว
เฉียวเวยตกใจถามว่า “ท่านยาย ท่านยายท่านเป็นอันใดไป”
อวิ๋นจูน้ำตาร้อนผ่าวเอ่อคลอเบ้าตา “นานเหลือเกิน…นานเหลือเกิน…ในที่สุดก็หาพบแล้ว…”
“หาพบแล้วหมายความว่าอะ…” เฉียวเวยกะพริบตาปริบหนึ่ง ทันใดนั้นในสมองก็มีคำตอบผุดขึ้นมา “เจ้าสาวคนนั้นคงไม่ใช่องค์หญิงหรอกนะ!”
อวิ๋นจูลุกขึ้นยืนอย่างตื่นเต้น เผลอเตะม้านั่งล้มอย่างไม่ทันระวัง “จิ่งอวิ๋นเล่า”
เฉียวเวยจับม้านั่งขึ้นมาตั้งแล้วบอกนางว่า “ท่านนั่งลงก่อน ข้าจะไปเรียกเขา”
เฉียวเวยไปเรียกจิ่งอวิ๋นที่ด้านหลังเรือน อวิ๋นจูไม่อยากทำให้เด็กน้อยตกใจกลัว ก่อนจิ่งอวิ๋นจะมานางจึงสงบสติอารมณ์ให้เรียบร้อย ทว่าพอถามถึงตัวตนของคนคนนั้น นางก็ยังควบคุมแรงได้ไม่ดี บีบแขนของจิ่งอวิ๋นจนเจ็บ
ดวงตาไร้เดียงสาของจิ่งอวิ๋นเบิกโต เขามองอวิ๋นจูที่ดวงตาแดงระเรื่ออย่างอึ้งงันดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
อวิ๋นจูรู้สึกตัวว่าตนเองเผลอคุมแรงไม่ได้จึงรีบปล่อยมือ แล้วบอกด้วยความรู้สึกผิด “ขอโทษนะ ยายทวดทำเจ้าเจ็บเสียแล้ว”
จิ่งอวิ๋นส่ายหน้าอย่างรู้ความแล้วตอบว่า “ไม่เจ็บขอรับ”
เฉียวเวย ข้าปวดใจจริงเชียว!
อวิ๋นจูสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ข่มอารมณ์อันปั่นป่วนลงไป จากนั้นจึงถามจิ่งอวิ๋นอย่างช้าๆ “จิ่งอวิ๋น เจ้าสาวคนนั้นหน้าตาเป็นเช่นไร”
“งดงามมากขอรับ” จิ่งอวิ๋นตอบ
อวิ๋นจูดวงตาเป็นประกาย “เจ้าเห็นหรือ”
จิ่งอวิ๋นส่ายหน้า “เปล่าขอรับ ใบหน้าของนางมีกระดาษสีแดงแผ่นหนึ่งปิดอยู่”
แต่จิ่งอวิ๋นรู้สึกว่านางงดงาม จิ่งอวิ๋นก็บอกไม่ถูกว่าเพราะเหตุใด
เฉียวเวยตบไหล่ของจิ่งอวิ๋นเบาๆ “เอาล่ะ เย็นแล้ว ไปเรียกน้องสาวมาอาบน้ำเถอะ”
จิ่งอวิ๋นขานตอบคำหนึ่งแล้วจากไปอย่างเชื่อฟัง
เฉียวเวยหันไปมองอวิ๋นจู แล้วถามอย่างสุขุม “ท่านยาย ใช่องค์หญิงหรือไม่”
อวิ๋นจูหลับตาลง น้ำตาร้อนผ่าวหยดหนึ่งไหลลงมา “…ใช่นาง”
พวกเขาตามหาร่องรอยขององค์หญิงเจาหมิงอย่างยากลำบากมาตลอด คิดไม่ถึงว่าเดินหาจนรองเท้าเหล็กทะลุกลับหาไม่พบ แต่ยามหาพบไม่ต้องลงแรงแม้แต่นิดเดียว ในเมื่อทราบที่อยู่ของบุตรสาวแล้ว อวิ๋นจูย่อมไม่อาจรอต่อไปได้
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น อวิ๋นจูคว้าธนูจันทร์โลหิตออกเดินทางไปยังลัทธิศักดิ์สิทธิ์
หนนี้นางตั้งใจจะไม่บอกกล่าวผู้ใดทั้งสิ้น
เพียงแต่ว่าตอนที่นางเดินมาถึงประตูก็เห็นพวกเฉียวเวยรวมตัวกันพร้อมแล้ว แต่ละคนยิ้มๆ มองนาง ประหนึ่งคาดไว้ก่อนแล้วว่านางต้องมาไม้นี้อย่างแน่นอน
อวิ๋นจูอ้าปากเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่พูดสิ่งใดทั้งสิ้น นางขึ้นไปนั่งบนรถม้าอย่างเงียบๆ
ราชันอสูรนั่งคนเดียวในรถคันหนึ่ง เฉียวเวยกับอวิ๋นจูนั่งอีกคันหนึ่ง สารถีคือเยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับไห่สือซาน คนที่เหลือต่างอยู่รอที่เรือนฟางชุ่ยหยวน ไม่ใช่ว่าเฉียวเวยไม่อยากพาทุกคนไปให้หมด แต่หมิงซิวยังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญของการผ่านด่านฝึกวิชา หลังบ้านจะไม่มีคนเฝ้าไม่ได้
ความจริงพิสูจน์แล้วว่าการตัดสินใจของเฉียวเวยถูกต้อง
แน่นอนว่านั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ กลับมาเล่าถึงปัจจุบัน ทั้งสองคนนั่งอยู่บนรถม้า เฉียวเวยคล้องแขนอวิ๋นจูอย่างแผ่วเบา พลางมองใบหน้าที่ถูกกาลเวลาประทับร่องรอยนับไม่ถ้วนไว้บนนั้นแต่ยังคงยากจะกลบความสง่างามของนาง ก่อนจะถามเสียงเบาว่า “ท่านยาย อาการบาดเจ็บของท่านไม่เป็นอะไรแล้วหรือ”
อวิ๋นจูกุมหน้าอกที่เจ็บแปลบเลือนรางแล้วบอกว่า “ไม่เป็นอันใดมากแล้ว”
เฉียวเวยตอบอย่างโล่งอก “ท่านยาย ลัทธิศักดิ์สิทธิ์มีคนของพวกเราอยู่ รอประเดี๋ยวไม่ต้องวิวาทก็ใช้วิธีอื่นพาองค์หญิงออกมาได้”
อวิ๋นจูไม่คาดหวัง
ความจริงเฉียวเวยก็พูดไปอย่างนั้นเอง แค่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ก็บุกเข้าไปยากมากพอแล้ว เขตต้องห้ามเป็นสถานที่อันใด ใช่ว่าพวกเขาอยากเข้าก็เข้าไปได้ อยากออกก็ออกมาได้สักหน่อย
แต่ท่านยายไม่ใช่คนบุ่มบ่าม นางกล้ามาขอตัวคนจากลัทธิศักดิ์สิทธิ์ย่อมต้องมีไพ่เด็ดของตนเอง
รถม้าแล่นมาถึงลัทธิศักดิ์สิทธิ์อย่างรวดเร็วยิ่งนัก
พวกเขาลงจากรถม้า หนนี้ราชันอสูรไม่ปิดบังกลิ่นอายของตนเอง เขาปล่อยลมปราณของตนเองออกมาอย่างสง่าผ่าเผย ทั่วทั้งภูเขาถูกพลังอันแข็งแกร่งสายหนึ่งห้อมล้อมภายในชั่วอึดใจเดียว บรรดาศิษย์กับนักรบมรณะที่เฝ้าประตูอยู่ต้านกำลังภายในของราชันอสูรไม่ได้ พากันกระอักโลหิตออกมาหนึ่งคำ
ในตอนนี้เอง กำลังภายในมหาศาลอีกสายหนึ่งก็ซัดเข้ามาใส่หน้าของราชันอสูรโ
ศิษย์กับนักรบมรณะที่ถูกบดขยี้จนแทบหมอบราบกับพื้นเหล่านั้นในที่สุดก็ลุกขึ้นมาได้อย่างช้าๆ
“รานีอสูรสินะ” อวิ๋นจูพูดขึ้นมา “กำลังภายในของนางก้าวหน้าขึ้นอีกแล้ว”
นางได้รับยาพิษของนักรบมรณะวันละหนึ่งเม็ด พลังย่อมก้าวหน้าขึ้นอย่างที่ราชันอสูรผู้กินถั่วเคลือบน้ำตาลทุกวันเทียบไม่ติด
แต่ราชันอสูรไม่กลัวนาง เขาคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว กำลังภายในที่รุนแรงยิ่งกว่าแผ่พุ่งออกไป!
นักรบมรณะกับศิษย์ที่ลุกขึ้นมายืนได้อย่างยากลำบากเหล่านั้นคุกเข่าลงไปดังตุ้บอีกหน หนนี้ แม้แต่กระดูกก็หักไปด้วย
ทว่ารานีอสูรไม่ได้รับบาดเจ็บ ลมปราณของนางยังคงมีมากมายเหลือเฟือ
นางเหมือนจะ…หยอกราชันอสูรเล่นเท่านั้น
ราชันอสูรโกรธจัด เขาคิดจะบดขยี้นางคนหน้าไม่อายคนนี้คืน
ทว่าอวิ๋นจูกลับยกมือขึ้น “เก็บแรงเอาไว้หน่อย อีกเดี๋ยวค่อยสู้กัน”
ราชันอสูรแค่นเสียงหยันแล้วสะบัดหน้าหนี ไม่สนใจอวิ๋นจูอีก
อวิ๋นจูพาทุกคนเดินผ่านประตูลัทธิ เดินไปตามทางเดินจนมาถึงลัทธิศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งตระหง่านอย่างน่าเกรงขาม
ประตูใหญ่ของลัทธิศักดิ์สิทธิ์เปิดกว้าง ชั่วพริบตาที่เดินเข้ามาในประตูใหญ่ กลิ่นอายของความเก่าแก่โบราณยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ก็ซัดสาดเข้ามาใส่ใบหน้าประหนึ่งเกลียวคลื่น
ฝีเท้าของทุกคนหยุดชะงัก
เฉียวเวยมองออกไปไกลๆ สุดปลายเส้นทางทอดยาวที่ปูด้วยหินอ่อนสีขาว เหนือบันไดหลายสิบขั้น มีตำหนักหลังใหญ่หน้าตาน่าเกรงขามหลังหนึ่งตั้งอยู่ ประมุขเย่ว์หวาผู้สวมอาภรณ์ยาวสีขาวนวลทั้งตัวกับกงซุนฉางหลีผู้สวมอาภรณ์สีแดงดุจเปลวเพลิงและถือร่มกระดาษน้ำมันแยกกันยืนอยู่ด้ายซ้ายและด้านขวาของประตูของตำหนักใหญ่
รานีอสูรที่สวมเกราะสีแดงกับราชครูผู้สวมอาภรณ์ตัวยาวสีเทายืนอยู่ข้างกายพวกเขา
แน่นอนว่ายังมีคนอีกหลายคนอยู่ด้วย แต่เฉียวเวยไม่รู้จักพวกเขา
ทว่าเฉียวเวยสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าอวิ๋นจูรู้จักพวกเขา…ส่วนใหญ่ และพวกเขาส่วนใหญ่…ก็รู้จักอวิ๋นจูเช่นเดียวกัน
เย่ว์หวายกมุมปากขึ้นอย่างเย็นชา “ข้าก็คิดว่าผู้ใดใจกล้าถึงเพียงนี้ ถึงกับกล้าบุกเข้ามาในลัทธิศักดิ์สิทธิ์กลางวันแสกๆ ที่แท้ก็ศิษย์ทรยศอย่างเจ้านี่เอง”
ศิษย์ทรยศหรือ
เฉียวเวยงุนงงเล็กน้อย ท่านยายนาง…เป็นคนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์หรือ
อวิ๋นจูมองเขาอย่างเฉยเมย “เจ้าไม่มีสิทธิพูดกับข้า เรียกอวิ๋นซู่ออกมา!”
ลูกศิษย์ระดับต่ำที่ไม่เคยพบหน้าอวิ๋นจูคนหนึ่งปากไวเอ่ยขึ้นมาว่า “บังอาจ! นามของเจ้าลัทธิเจ้าเรียกได้หรือ”