หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 31-1 ชาติกำเนิดของอวิ๋นจู (1)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 31-1 ชาติกำเนิดของอวิ๋นจู (1)
ตอนที่ 31-1 ชาติกำเนิดของอวิ๋นจู (1)
เฉียวเวยประหลาดใจ เจ้าลัทธิแซ่อวิ๋น นามว่าอวิ๋นซู่หรือ เหตุใดจึงมีแซ่เดียวกับท่านยาย ท่านยายกับเจ้าสำนักมีความสัมพันธ์อย่างไรกันแน่
ราชันอสูรหันไปมองศิษย์ตัวน้อยที่ตะคอกใส่อวิ๋นจูคนนั้นแล้วคำรามเสียงเกรี้ยวกราด พลังแข็งกล้าสายหนึ่งกดอีกฝ่ายลงไปอย่างรุนแรง
รานีอสูรเห็นราชันอสูรลงมือก็เหินร่างออกมาอย่างว่องไว แล้วซัดฝ่ามือหนึ่งออกมาผ่านอากาศ
ลมปราณจากฝ่ามืออันทรงพลังปะทะกับกำลังภายในของราชันอสูร พลังสองสายปะทะกันแล้วระเบิดกลางพื้นราบกว้าง การต่อสู้ของยอดฝีมือระดับนี้เป็นฝันร้ายขนานแท้ หินอ่อนสีขาวใต้เท้าถูกระเบิดเป็นหลุมใหญ่หลุมหนึ่ง ก้อนหินปลิวกระเด็นไอสังหารดุจคมมีดพุ่งเข้าใส่ทุกคนที่อยู่สองฝั่ง
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับไห่สือซานขวางหน้าอวิ๋นจูกับเฉียวเวยเอาไว้ สองแขนยกขึ้นป้องกันใบหน้า แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังถูกบีบให้ถอยออกมาหลายก้าว
สถานการณ์ของอีกฝั่งหนึ่งก็ไม่ได้ดีไปถึงไหน กงซุนฉางหลีไม่ขยับ ทุกคนอาศัยเย่ว์หวาเพียงคนเดียวต้านแรงจู่โจมของไอสังหารสายนี้ไว้ แขนเสื้อกว้างอันงดงามของเย่ว์หวาขาดเป็นรูโหว่รูหนึ่ง
เย่ว์หวามองกงซุนฉางหลีที่ยืนตระหง่านไม่ขยับอย่างแค้นเคือง หากไม่ใช่ว่าเจ้าหมอนี่ไม่ยอมลงมือตนจะมีสภาพน่าอนาถเช่นนี้หรือ
กงซุนฉางหลีผงกศีรษะ “ขอบคุณประมุขเย่ว์หวายิ่งนัก”
เย่ว์หวาปล่อยแขนเสื้อลงอย่างเย็นชา!
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยปัดสะเก็ดหินที่ร่วงลงมาบนเส้นผมออก แล้วพึมพำเสียงเบา “รานีอสูรคนนี้พลังเพิ่มขึ้นอีกแล้วใช่หรือไม่”
ไห่สือซานถลึงตาใส่เขา “ไม่เพิ่มขึ้นได้หรือ ไม่เห็นหรือว่าผู้อื่นเอาอะไรเลี้ยง”
ยาพิษสำหรับนักรบมรณะอย่างไรเล่า
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถอนหายใจ “คนอย่างพวกเราจิตใจดีงามเกินไป แม้แต่ยาพิษของนักรบมรณะระดับธรรมดาก็ทำใจควักออกมาไม่ลง”
ไห่สือซานกลอกตาใส่เขา “พูดเสียเหมือนเจ้ามีปัญญาหามาควักได้”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ย “…”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถลึงตาใส่เขา “ไม่แหกหน้ากันจะไม่ได้เลยใช่หรือไม่”
ความจริงสิ่งที่ไห่สือซานพูดมาก็ไม่ผิด ยาพิษของนักรบมรณะไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาอยากจะควักก็ควักออกมาได้ ร่างพิษเหล่านั้นถูกลัทธิศักดิ์สิทธิ์เก็บไว้เป็นอย่างดี ภูตผีถึงจะรู้ว่าพวกเขาซ่อนพวกมันไว้ที่ไหน มนุษย์พิษที่พบก่อนหน้านี้ทั้งหมดล้วนยังไม่ก่อกำเนิดยาพิษ จับมาก็ไร้ประโยชน์
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยขยับเข้าไปใกล้อวิ๋นจูอย่างขัดเขิน “อวิ๋นฮูหยิน คือว่า…ท่านสร้างร่างพิษเป็นหรือไม่”
อวิ๋นจูกวาดสายตามองเขาอย่างเย็นชา
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถูจมูกอย่างแค้นใจ จากนั้นลากไห่สือซานเข้ามาขวางระหว่างตนเองกับอวิ๋นจูอย่างเงียบๆ
อวิ๋นจูเดินไปด้านหน้าสองสามก้าวอย่างเชื่องช้า นางมองผู้คนด้านบนบันไดแล้วเอ่ยว่า “เรียกอวิ๋นซู่ออกมาพบข้า”
หลังจากศิษย์น้อยที่ตะโกนโวยวายเมื่อครู่คนนั้นประจักษ์แล้วว่าอีกฝ่ายหาเรื่องด้วยไม่ง่ายเหมือนกับที่คิดไว้ เขาจึงไม่กล้าออกมาพูดจาอวดดีอีก ศิษย์คนที่ไม่รู้จักอวิ๋นจูที่เหลือพอได้ยินอวิ๋นจูเอ่ยชื่อแซ่ของเจ้าลัทธิออกมาตรงๆ ครั้งแล้วครั้งเล่าก็เริ่มหวาดกลัวตัวตนของอวิ๋นจูเพิ่มขึ้นมานิดหน่อยอย่างห้ามไม่ได้เช่นกัน
กงซุนฉางหลีกับท่านราชครูยังคงตั้งทัพนิ่งไม่เคลื่อนไหว มีเพียงโจรเฒ่าเย่ว์หวาที่ลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า ก้มลงมามองอวิ๋นจูแล้วพูดว่า “เจ้าลัทธิเก็บตัวฝึกวิชาอยู่ ขออภัยที่ไม่ต้อนรับแขก”
สีหน้าของเขาไม่เหมือนกำลังโกหก ไม่ว่าอย่างไรลัทธิศักดิ์สิทธิ์ก็มียอดฝีมือดุจเมฆา เจ้าลัทธิไม่จำเป็นต้องหดหัวอยู่ในสถานที่บางแห่งจนไม่กล้าออกมาพบอวิ๋นจูจริงๆ
อวิ๋นจูยอมรับคำอธิบายของเขา แต่ไม่ยอมรับท่าทางเมินเฉยของเขา “ถ้าเช่นนั้นก็หาใครสักคนที่คุยได้ออกมา”
เย่ว์หวายิ้ม “เจ้ามีสิ่งใดอยากพูดก็พูดเสียที่นี่เถิด”
อวิ๋นจูถามอย่างเย็นชา “เจ้าหมายความว่าเจ้าตัดสินใจเรื่องในลัทธิศักดิ์สิทธิ์ได้หรือ”
เย่ว์หวายิ้มน้อยๆ ไม่บอกว่าได้แล้วก็ไม่บอกว่าไม่ได้ แต่ท่อนขาเรียวยาวกลับขยับไปด้านข้าง หลีกเป็นทางเส้นหนึ่ง
โถงตำหนักที่หันหลังให้แสงดูมืดสลัวเล็กน้อย เงาร่างสูงใหญ่แข็งแรงร่างหนึ่งเยื้องย่างออกมา เขาสวมอาภรณ์ผ้าไหมสีดำดุจน้ำหมึก เส้นผมดำขลับมัดเป็นมวยเหนือศีรษะครอบทับด้วยกวาน ดวงหน้างดงามดุจหยก ใบหน้าเย่อหยิ่งเย็นชา สูงส่งจนผู้คนยากจะดูแคลน ริมฝีปากสีแดงเม้มแน่นจนเกิดเป็นเส้นโค้งอันเย็นชา
เขาเดินออกมาจากทางที่เย่ว์หวาหลีกให้
ประกายแสงเจิดจ้ากระทบบนใบหน้างามดุจหยกของเขา ยามพวกเฉียวเวยเห็นหน้าตาของเขาชัดเจน ทุกคนก็ตกตะลึงจนนิ่งอึ้ง
อวิ๋นจูตกตะลึงเพราะใบหน้านี้เหมือนอวิ๋นซินเกินไปแล้วจริงๆ
ส่วนพวกเฉียวเวยตกตะลึงเพราะว่านี่มันคือ…ยิ่นอ๋องชัดๆ!
ยิ่นอ๋องผู้หายตัวไปหลายเดือนกลับมาปรากฏตัวที่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ แล้วยังปรากฏตัวอย่างที่…พวกเขาก็ไม่อยากจะยอมรับหรอกนะ แต่การทำให้ประมุขเย่ว์หวาหลีกทางให้ได้เช่นนี้ดูยิ่งใหญ่อยู่บ้างจริงๆ
เฉียวเวยสาวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วมองเขาเขม็ง ถามอย่างยากจะปกปิดความประหลาดใจว่า “เหตุใดเจ้าอยู่ที่นี่ได้”
สิ้นเสียง ศิษย์รอบตัวยิ่นอ๋องก็เห็นเขาเช่นกัน พวกเขาหันกายกลับมาคำนับอย่างนอบน้อมพร้อมกัน “เจ้าลัทธิน้อย!”
ต่อให้เฉียวเวยไม่เข้าใจภาษาเยี่ยหลัวอีกเท่าใด นางก็ฟังสามพยางค์นี้ออก
เจ้าลัทธิน้อย…
พวกเขาเรียกเขาว่าเจ้าลัทธิน้อย…โ
เขาเป็น…เจ้าลัทธิน้อยของลัทธิศักดิ์สิทธิ์หรือ
บิดาบังเกิดเกล้าของเขาคืออวิ๋นซู่หรือไร
ข้อมูลนี้น่าตกตะลึงเกินไปแล้วจริงๆ มันไม่ต่างจากสายฟ้าฟาดยามฟ้าแจ้ง
เฉียวเวยทราบว่าราชาเยี่ยหลัวกับท่านน้าไม่เคยร่วมหอกัน แล้วก็ทราบว่าบิดาบังเกิดเกล้าของยิ่นอ๋องไม่มีทางเป็นมู่อ๋อง แต่นางก็คาดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิงว่าเขาจะเป็นเจ้าลัทธิของลัทธิศักดิ์สิทธิ์
หากบิดาบังเกิดเกล้าของเขาคือเจ้าลัทธิ ถ้าเช่นนั้นองค์ชายสามเล่า องค์ชายสามก็เป็นบุตรชายของอวิ๋นซู่ด้วยหรือ
เพราะเช่นนี้องค์ชายสามจึงถูกรั้งตัวไว้ในลัทธิศักดิ์สิทธิ์หรือ
ในที่สุดปริศนาที่เคยปิดบังดวงตาอยู่ก็เหมือนจะถูกคลี่คลายแล้ว ทว่าในใจเฉียวเวยกลับไม่รู้สึกสบายใจ ตรงกันข้ามนางกลับยิ่งสับสนมากขึ้นไปอีก
นางเข้าใจได้ว่าพระสนมอานเฟยอาจจะใช้ประโยชน์จากยิ่นอ๋องเพราะไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของยิ่นอ๋อง แล้วก็เข้าใจได้ว่าแม้เหยาจวิ้นจะชิงชังทายาทของอวิ๋นจู แต่ก็ยังพายิ่นอ๋องกลับมายังลัทธิศักดิ์สิทธิ์อย่างปลอดภัยเพราะหวั่นเกรงตัวตนของยิ่นอ๋อง แต่สิ่งที่นางไม่เข้าใจก็คือ ยิ่นอ๋องยอมรับทุกสิ่งเหล่านี้อย่างง่ายดายเช่นนี้เชียวหรือ
แววตาที่เขามองพวกนางเหมือนมองศัตรูที่ต้องฆ่าให้ตายไม่เช่นนั้นจะไม่ยอมเลิกรา
เฉียวเวยเดินเข้าไป
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตกใจ “เฮ้ย! ท่านจะทำอะไร”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยอยากจะคว้านางไว้แต่คว้าไว้ไม่ทัน
ศิษย์คนหนึ่งชักกระบี่ยาวออกมาขวางเฉียวเวยเอาไว้
ยิ่นอ๋องโบกมือ ศิษย์จึงถอยออกไปอย่างเย็นชา
เฉียวเวยเดินขึ้นบันไดมาได้ครึ่งหนึ่งก็หยุด
ยิ่นอ๋องเดินลงมาอย่างช้าๆ ก่อนจะหยุดตรงบันไดเบื้องหน้านาง
แววตาที่เขามองนางเคยมีความดูแคลน เคยมีความรู้สึกไม่ยินยอม เคยมีความฉุนเฉียว แม้กระทั่งเคยมีความเกลียดชัง ทว่ามันไม่เคยมีความเย็นชาเช่นตอนนี้
เฉียวเวยประจันหน้ากับแววตาเย็นชาของเขา “เพราะเหตุใด”
ยิ่นอ๋องมองนางอย่างเย็นชา “อะไรเพราะเหตุใด”
เฉียวเวยขมวดคิ้ว “อย่าบอกข้าว่าเจ้าไม่รู้ว่าลัทธิศักดิ์สิทธิ์แท้จริงแล้วเป็นกลุ่มคนเช่นไร แล้วก็อย่าบอกว่าเจ้าไม่รู้ว่าพวกเขาทำสิ่งใดกับเจ้าและมารดาของเจ้า”
สีหน้าของยิ่นอ๋องไม่หวั่นไหวสักนิด
เฉียวเวยชี้ไปยังอวิ๋นจูที่อยู่ด้านหลัง “นางคือท่านยายของเจ้า”
ยิ่นอ๋องเชิดคางเอ่ยว่า “ท่านยายที่ต้องการจะสังหารบิดาบังเกิดเกล้าของข้า”ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
มือเรียวของเฉียวเวยกำแน่น “หลี่ยิ่น! เจ้าบ้าไปแล้วใช่หรือไม่”
ยิ่นอ๋องตอบด้วยสีหน้าเย็นชา “ข้าไม่ได้บ้า คนที่บ้าคือพวกเจ้า อาศัยราชันอสูรเพียงหนึ่งคนกับศิษย์ทรยศของลัทธิศักดิ์สิทธิ์หนึ่งคนก็กล้าบุกมาที่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ เห็นแก่ที่เคยรู้จักกันมาก่อน วันนี้ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป แต่หากยังมีหนหน้า ข้าจะไม่คุยง่ายเช่นนี้อีกแล้ว”
เฉียวเวยถามอย่างอึ้งงัน “เจ้ากลายเป็นคนเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
ยิ่นอ๋องตอบว่า “ข้าก็เป็นเช่นนี้มาตลอด ข้าต้องการสิ่งใด เจ้าก็รู้ตั้งแต่เริ่มแรกแล้วไม่ใช่หรือ”
ใช่แล้ว บุรุษผู้นี้ต้องการอำนาจ เขาปรารถนามันจนแทบไม่เลือกวิธีการ ยามอยู่ต้าเหลียงเขาสู้จีหมิงซิวไม่ได้ ยามนี้เมื่อมีโอกาสไขว่คว้าใต้หล้ามาอยู่ตรงหน้า เขาจะปล่อยไปง่ายๆ ได้อย่างไรกัน
ทว่าเฉียวเวยไม่เคยเชื่อว่าเขาจะเป็นคนที่สมคบศัตรูทรยศบ้านเมืองเพื่ออำนาจเช่นนี้ บิดาบังเกิดเกล้าของเขาคือเจ้าลัทธิศักดิ์สิทธิ์แล้วอย่างไร เขาเติบใหญ่ที่ต้าเหลียง เขาเป็นองค์ชายของต้าเหลียง บิดาที่เลี้ยงเขามาคือฮ่องเต้แห่งต้าเหลียง!
ฮ่องเต้ดีต่อเขาไม่น้อย!
เขาทำความผิดที่ต้องโทษถึงขั้นประหารขนาดนั้น แต่ฮ่องเต้นอกจากดุด่าเขาเพียงไม่กี่ประโยค เคยทำสิ่งอื่นใดกับเขาหรือไม่
เขาทรยศเสด็จพ่อของเขาได้อย่างไรกัน!
แววตาของเฉียวเวยเย็นยะเยือก “องค์ชายยิ่นอ๋อง ท่านทำให้ข้าผิดหวังเหลือเกิน ไม่ทราบว่าท่านตามหาธิดาของท่านพบแล้วหรือยัง หากพวกนางทราบว่าอาปาของพวกนางกลายเป็นคนสารเลวเช่นนี้แล้ว จะเสียใจมากหรือไม่”
กำปั้นที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อกว้างของยิ่นอ๋องกำแน่น
เฉียวเวยหันหลังกลับไปอย่างผิดหวัง ก้าวเดินลงจากบันไดไปทีละก้าว
ศิษย์คนหนึ่งจับจ้องเฉียวเวยอยู่เนิ่นนานแล้ว ชั่วพริบตาที่เฉียวเวยหมุนตัวกลับนั่นเอง จู่ๆ เขาก็จำนางได้ “เจ้าลัทธิน้อย ปล่อยนางไปไม่ได้นะขอรับ! นางก็คือแม่ครัวที่มาหนก่อนคนนั้น! นางเป็นคนวางยาพวกเราทุกคน! นางเป็นคนทำลายยาของลัทธิศักดิ์สิทธิ์! นางเป็นคนทำร้ายปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์! นางเป็นคนช่วยราชันอสูรออกไป!”
ข้ออ้างที่ว่าราชครูถูกคนตระกูลจีตีจนสลบแล้วเอาฐานะไปปลอมตัวถูกคนในลัทธิศักดิ์สิทธิ์ยอมรับและแพร่กระจายไปทั่วลัทธิศักดิ์สิทธิ์แล้ว ทุกคนจึงคิดหนี้แค้นครั้งนี้บนหัว ‘แม่ครัว คนนั้น แน่นอนพวกเขาสังเกตเห็นว่าศิษย์ที่ลงเขาไปเชิญแม่ครัวสองคนนั้นหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย สองคนนั้นในวันนั้นก็คงจะเป็นตัวปลอมด้วย เพียงแต่ว่าเยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับไห่สือซานสวมหน้ากากหนังมนุษย์อยู่ คนกลุ่มนี้จึงจดจำพวกเขาไม่ได้ก็เท่านั้น
หัวหน้าพรรคเฉียวอยากตะโกนว่านางถูกใส่ร้าย นางไม่ได้ทำเรื่องพวกนั้นแม้แต่อย่างเดียว!
นางแค่ลักพาตัวสวินหลันไปอย่างเดียวเท่านั้น
คนที่ควรไปชำระแค้นด้วยไม่ไปชำระแค้น คนที่ไม่ควรจะคิดแค้นด้วยดันมาคิดแค้นส่งเดช!
เฉียวเวยคร้านจะเปลืองคำพูดกับศิษย์คนนี้ นางสาวเท้าเร็วรี่เดินลงมาด้านล่าง
ศิษย์โมโหโทโสจนลอบจู่โจมเฉียวเวยโดยไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น
ยิ่นอ๋องเผยแววตาดุดัน ชักกระบี่ยาวของศิษย์อีกคนหนึ่งออกมาฟันกระบี่ตัดศีรษะของศิษย์คนนี้ในหนึ่งกระบี่
ศีรษะกลิ้งหลุนๆ ลงมาหยุดแทบเท้าเฉียวเวยอย่างพอดิบพอดี เฉียวเวยมองมันด้วยแววตาเฉยชา แล้วเดินข้ามไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
เย่ว์หวามองยิ่นอ๋องอย่างสนอกสนใจ คล้ายกับชื่นชมการลงมือที่โหดเหี้ยมและบ้าเลือดเช่นนี้อย่างยิ่ง
ศิษย์ที่เหลือต่างมองยิ่นอ๋องอย่างตกตะลึงและหวาดกลัว
ยิ่นอ๋องเสียบกระบี่กลับเข้าไปในฝักกระบี่ของศิษย์คนนั้น “คำพูดของข้า ไม่เชื่อฟังได้อย่างนั้นหรือ”
ศิษย์ทุกคนก้มหน้าลงอย่างหวาดผวา
เย่ว์หวามองพวกอวิ๋นจูแล้วยกมือขึ้นปิดมุมปากที่คลี่ยิ้มงามดุจบุปผาอย่างสง่างาม “เจ้าลัทธิน้อยออกคำสั่งแล้ว ลัทธิศักดิ์สิทธิ์จะไม่สร้างความลำบากให้พวกเจ้า หากรู้จักสถานการณ์ก็จงรีบไสหัวไปเสีย”
ความรู้สึกสะอิดสะเอียนตีรื้นขึ้นมาในอกของเยี่ยนเฟยเจวี๋ย “ไอ้ผู้ชายตุ้งติ้งคนนี้!”
อวิ๋นจูมองยิ่นอ๋องบนบันไดด้วยสีหน้าซับซ้อน นี่คือหลานชายของนางเหมือนกับหมิงซิว แต่เขากลับกลายเป็นเขี้ยวเล็บของอวิ๋นซู่ไปแล้ว จะบอกว่าไม่ปวดใจก็คงโกหก “ส่งศพลูกสาวข้ามา แล้วข้าจะไป”
ยิ่นอ๋องตอบด้วยสีหน้าหยิ่งยโส “พวกเจ้าไม่มีสิทธิเรียกร้องสิ่งใด”
เย่ว์หวายิ้มปานประหนึ่งบุปผา “ถูกต้อง พวกเจ้าไปเสียเถิด หากไม่ไปอีก ต่อให้เจ้าลัทธิน้อยไม่ลงมือประมุขคนนี้อย่างข้าก็คงจะอดใจไม่ไหวแล้ว”
ดวงตาของอวิ๋นจูทอประกายเย็นยะเยือกวูบหนึ่ง ทันใดนั้นนางก็ถือธนูจันทร์โลหิตขึ้นมา ยิงธนูหนึ่งดอกใส่เย่ว์หวาเต็มแรง!