หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 31-2 ชาติกำเนิดของอวิ๋นจู (1)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 31-2 ชาติกำเนิดของอวิ๋นจู (1)
ตอนที่ 31-2 ชาติกำเนิดของอวิ๋นจู (1)
ผู้ใดจะคาดคิดว่าสตรีนางนี้จะกล้ายิงธนูกลางลัทธิศักดิ์สิทธิ์จริงๆ เย่ว์หวาหลุดสีหน้าตกใจออกมาในพริบตา แม้เขาจะถอยหลังด้วยความเร็วสูงสุดแล้ว แต่แขนเสื้อก็ยังถูกตัดขาดไปครึ่งหนึ่ง
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยผิวปาก “ตัดแขนเสื้อ[1]นี่…”
เย่ว์หวาหน้าแดงก่ำ “เจ้า…”
กงซุนฉางหลีเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “ในเมื่อเจ้าลัทธิตกลงปล่อยพวกเขาไปแล้ว ประมุขเย่ว์หวาก็อย่าชวนหาเรื่องทะเลาะให้เสียเปล่าเลย”
เย่ว์หวาว่าเสียดสี “วันนี้ฉางหลีเหมือนจะใส่ใจพวกเขาเสียจริงนะ”
กงซุนฉางหลีเอ่ยว่า “ข้าช่วยแบ่งเบาความกลุ้มใจของเจ้าลัทธิน้อยต่างหากเล่า”
อวิ๋นจูดึงดันอย่างไม่ถอยสักนิด “ไม่ส่งลูกสาวข้ามา ข้าไม่มีทางไป”
เย่ว์หวาหัวเราะหยัน “เจ้าคิดว่าเจ้าสู้ได้หรือ”
“พวกเจ้าไปเสียเถิด!”
เสียงแก่ชราที่เจือน้ำเสียงสะอื้นเล็กน้อยเสียงหนึ่งดังขึ้นไม่ไกล
เฉียวเวยมองตามเสียงไปก็เห็นแม่เฒ่าถือไม้เท้าคนหนึ่งสองตาแดงระเรื่อกำลังเดินมาหาพวกเขา พูดให้ชัดก็คือเดินมาหาอวิ๋นจู
นางยืนอยู่เบื้องหน้าอวิ๋นจู มองอวิ๋นจูพร้อมกับสะอื้นในลำคอ หลังจากนั้นจึงหันหลังกลับไปเอ่ยกับคนบนบันไดว่า “เจ้าลัทธิน้อย ที่นี่ยกให้ข้าจัดการเถิด ข้าจะกล่อมให้พวกเขาไปเอง”
ยิ่นอ๋องกวาดสายตามองทุกคนอย่างเย็นชารอบหนึ่งจากนั้นจึงสะบัดแขนเสื้อจากไป
เมื่อเขาจากไปแล้วกงซุนฉางหลีก็หมุนตัวจากไปด้วย ต่อจากนั้นราชครูก็เดินตามออกไป
หัวหน้าใหญ่ทั้งหลายเดินออกไปแล้ว ศิษย์ทั้งหลายจึงไม่สะดวกอยู่ต่อ พวกเขาสลายตัวไปกันหมด แม้แต่รานีอสูรก็เดินทอดน่องไปหาปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์แล้ว
เย่ว์หวาโกรธจนกัดฟันกรอด โอกาสดีขนาดนี้ในการกำจัดอวิ๋นจู…กลับต้องมาเสียไปเช่นนี้ เจ้าคนพวกนี้โง่หรืออย่างไร!
แม่เฒ่าไม่สนใจสายตาของเย่ว์หวา นางเดินตรงไปหาอวิ๋นจู แววตาสั่นไหว ริมฝีปากสั่นระริกคล้ายมีคำพูดนับพันหมื่นแต่กลับเอ่ยไม่ออกแม้แต่คำเดียว
เทียบกันแล้วสีหน้าของอวิ๋นจูค่อนข้างนิ่งสงบอยู่มาก
แม่เฒ่าวางไม้เท้าลงแล้วค้อมกายต่ำคำนับอวิ๋นจู
สีหน้าของอวิ๋นจูไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย นางผ่านคลื่นลมมามากมายถึงเพียงนั้น ไม่ว่าผู้ใดหรือเรื่องใดก็ไม่อาจทำให้นางเสียกิริยาได้ทั้งสิ้น
เฉียวเวย เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับไห่สือซานแลกสายตากัน แล้วถอยไปอยู่ด้านข้างอย่างรู้จักสถานการณ์ เว้นที่ว่างตรงนี้ไว้ให้ทั้งสองคน
เฉียวเวยส่งสายตาให้ราชันอสูร
ราชันอสูรขานอ้อ (คำราม) ตอบหนึ่งคำก็ขยับเข้าไปใกล้อวิ๋นจูมากขึ้นหนึ่งก้าว
เฉียวเวยกุมหน้าผาก ให้ขยับออกมาไม่ใช่ให้ขยับเข้าไป!
ราชันอสูรหยิบถั่วเคลือบน้ำตาเม็ดน้อยออกมาเคี้ยวกร้วมๆ
น้ำตาที่หลั่งรินออกมาจากเบ้าตาของแม่เฒ่าถูกเสียงเคี้ยวกร้วมๆ ดั่งลั่นหูบีบให้ย้อนกลับไปทั้งอย่างนั้น ไม่เคยเห็นคนที่ทำลายบรรยากาศเก่งเช่นนี้เลยจริงๆ!
แม่เฒ่าพยายามตั้งสติกลับมาร่ำไห้พลางมองอวิ๋นจูต่อ “คุณหนู…”
กร้วมๆ!
“ข้า…” น้ำตาจะไหลลงมาแล้วโ
กร้วมๆ!
“…”
ร้องไห้ไม่ออกแล้ว
แม่เฒ่าหน้าทะมึนดุจขี้เถ้าหันไปมองราชันอสูร
อวิ๋นจูเอ่ยว่า “หากเจ้าจะมาเกลี้ยกล่อมข้าให้กลับไป เจ้าก็เสียแรงเปล่าแล้ว“
แม่เฒ่าถอนหายใจ “คุณหนูจากไปนานจนลืมเลือนเรื่องในอดีตหมดสิ้นแล้วหรือ”
อวิ๋นจูตอบอย่างเฉยเมย “ในอดีตมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย เจ้าพูดถึงเรื่องไหนเล่า”
แม่เฒ่าเงยหน้าขึ้นตอบว่า “คนผู้นั้น”
อวิ๋นจูเงียบงัน
เฉียวเวยหูตั้งทันใด
แม่เฒ่าบอกด้วยน้ำเสียงจริงใจ “ไม่ใช่ข้าไม่อยากให้คุณหนูพาตัวเจาหมิงกลับไป แต่โลงศพหยกขยับไม่ได้ โลงศพหยกสะกดสิ่งใดไว้ คุณหนูรู้ดียิ่งกว่าข้า ยามใดคุณหนูมีพลังสังหารคนผู้นั้นได้แล้วค่อยมารับคุณหนูเล็กกลับบ้านเถิดเจ้าค่ะ”
…
ในที่สุดอวิ๋นจูก็ถือธนูจันทร์โลหิตจากไป
เฉียวเวยตามไปเงียบๆ
หลังจากขึ้นรถม้า สีหน้าของอวิ๋นจูก็เคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย
ทั้งสามคนยืนอยู่ไม่ไกล สิ่งที่อวิ๋นจูกับแม่เฒ่าคุยกัน ทั้งสามคนจึงได้ยินไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว แม้เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับเฉียวเวยจะไม่เข้าใจภาษาเยี่ยหลัวสักเท่าไร แต่นั่นไม่ใช่กับไห่สือซานผู้เป็นอัจฉริยะด้านภาษาคนนี้
ไห่สือซานแปลทั้งหมดให้ฟังแล้ว ดังนั้นเฉียวเวยจึงทราบว่าอวิ๋นจูเป็นคุณหนูของลัทธิศักดิ์สิทธิ์
ตลอดทางไม่มีผู้ใดพูดกันทั้งสิ้น มีเพียงเสียงกีบเท้าม้า เสียงล้อรถบดพื้นถนนที่เต็มไปด้วยหิมะ กับเสียงเคี้ยวถั่วเคลือบน้ำตาลดังกร้วมๆ ของราชันอสูรที่อยู่บนรถม้าคันด้านข้าง
เฉียวเวยเห็นอวิ๋นจูหน้าซีดจนน่ากลัว นางจึงรีบหยิบถุงน้ำร้อนถุงหนึ่งออกมาจากเตาอุ่น “ท่านยาย ดื่มน้ำสักหน่อยเจ้าค่ะ”
อวิ๋นจูรับถุงน้ำไปแต่กลับไม่ยกขึ้นดื่ม นางเพียงลูบจุกปิดปากถุงอย่างแผ่วเบา “เจ้าอยากถามสิ่งใดก็ถามมาเถิด”
เฉียวเวยถอนหายใจเบาๆ “ข้าอยากจะถามสิ่งใดไม่สำคัญ สิ่งสำคัญก็คือ…ถึงเวลาที่ข้าสมควรถามหรือยัง หากข้าถามไปแล้ว ท่านบอกว่าถึงเวลาที่ข้าสมควรรู้ ข้าย่อมรู้เองอีกหน ข้าคงผิดหวัง”
มุมปากของอวิ๋นจูบิดเป็นเส้นโค้งน้อยๆ “โกรธข้าหรือ”
“ไม่นี่เจ้าคะ” เฉียวเวยยิ้ม จากนั้นขยับเข้าไปใกล้อวิ๋นจูแล้วคล้องแขนนางไว้ “เมื่อครู่ข้าใช้กลยุทธ์ยั่วโมโหแม่ทัพ อยากจะยั่วให้ท่านบอกข้ามาต่างหาก”
อวิ๋นจูไม่ได้ผลักไสเฉียวเวยที่ขยับเข้ามาใกล้ “ก็ถึงเวลาสมควรบอกเจ้าแล้วเหมือนกัน ข้ากับเจ้าลัทธิของลัทธิศักดิ์สิทธิ์แซ่อวิ๋นเหมือนกัน เจ้าน่าจะได้ยินแล้ว”
เฉียวเวยพยักหน้า “ท่านกับเจ้าลัทธิของลัทธิศักดิ์สิทธิ์เป็นญาติกันหรือ”
สีหน้าของอวิ๋นจูเหมือนกำลังหวนคิดถึงบางสิ่ง “ใช่ แล้วก็ไม่ใช่”
เรื่องนี้ ต้องเริ่มเล่าจากตอนที่อวิ๋นจูยังเป็นเด็กน้อยคนหนึ่ง
อวิ๋นจูเป็นคุณหนูของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ นางเกิดที่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์แล้วก็โตที่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นสำหรับนางแล้วลัทธิศักดิ์สิทธิ์ก็คือบ้านของนาง คือสถานที่ที่ชั่วชีวิตนี้นางจะไม่จากไปไหนและไม่เคยคิดจะจากไป
หากไม่ใช่เพราะเกิดเรื่องนั้นขึ้น นางก็คงไม่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นทุกวันนี้
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ ท่านยาย”
“ตอนข้าอายุห้าขวบ ข้าติดตามบิดาขึ้นไปล่าสัตว์บนเขาแล้วบังเอิญเก็บเด็กน้อยได้คนหนึ่ง”
“คงไม่ใช่อวิ๋นซู่กระมัง”
บิดาของยิ่นอ๋องกับองค์ชายสามคงไม่แก่ขนาดนั้นกระมัง
“ไม่ใช่อวิ๋นซู่แต่เป็นอวิ๋นชิง”
ตอนนั้นอวิ๋นจูยังเล็ก นางจึงเหมือนกับเจ้าซาลาเปาน้อยผู้ใจอ่อนทั้งหลายในใต้หล้า เห็นคนน่าสงสารก็เกิดความสงสาร อวิ๋นจูจึงขอร้องบิดาของนางให้เก็บเขากลับมา ก็แค่เด็กชายเร่ร่อนคนหนึ่งเท่านั้น ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ย่อมเลี้ยงเด็กน้อยคนนี้ไหว
ในเมื่อบุตรสาวชอบ ถ้าเช่นนั้นก็เก็บกลับไปเถิด
อวิ๋นชิงในยามนั้นไม่ได้มีนามว่าอวิ๋นชิง เขาหกล้มจนกระทบกระเทือนสมอง แม้แต่นามของตนเองก็จดจำไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ามีชาติกำเนิดมาจากที่ใด บิดามารดายังแข็งแรงดีอยู่หรือไม่
เขาอายุใกล้เคียงกับอวิ๋นจู หัวไวและฉลาดเฉลียว อวิ๋นจูไม่มีพี่น้องจึงเกิดมิตรภาพกับเด็กน้อยที่เก็บมาคนนี้ได้อย่างง่ายดาย
เด็กน้อยคนนี้รู้จักประจบเอาใจผู้อื่นอย่างยิ่ง ไม่เพียงทำให้อวิ๋นจูชมชอบเขา แม้แต่บิดาของอวิ๋นจูก็ค่อยๆ ชมเด็กคนนี้ไม่ขาดปาก
เริ่มแรกบิดาของอวิ๋นจูมองเขาเป็นลูกหมาลูกแมวที่คอยสร้างความสำราญใจให้บุตรสาวของเขาเท่านั้น ต่อมาเขาก็ค่อยๆ ค้นพบพรสวรรค์ของเด็กน้อยคนนี้ เขาไม่เพียงชำนาญทั้งกาพย์กลอนบทกวีสารพัดชนิด แม้แต่ฝีมือในด้านวิชายุทธ์ก็ยอดเยี่ยมกว่าลูกศิษย์ของลัทธิศักดิ์สิทธิ์มากอีกด้วย
ในปีที่เขาอายุสิบสองปี บิดาของอวิ๋นจูก็รับเขาเป็นลูกชายบุญธรรมและตั้งชื่อเขาว่าอวิ๋นชิง
เจตนาเดิมของบิดาอวิ๋นจูคือต้องการให้อวิ๋นชิงเป็นลูกเขยของตนเอง แต่จนปัญญาที่อวิ๋นจูไม่มีความรักฉันท์หนุ่มสาวให้กับเขา บิดาของอวิ๋นจูชมชอบเด็กน้อยคนนี้มากเหลือเกินจริงๆ ชอบจนถึงขนาดที่ในเมื่อเป็นลูกเขยไม่ได้ ก็รับเขาเป็นบุตรบุญธรรมเสียเลยก็แล้วกัน
ผู้คนบนโลกมักจะมีโชคดีแตกต่างกันไป ทว่าพวกเขาส่วนใหญ่มักจะมีโชคร้ายสักอย่าง ตัวอย่างเช่นเด็กน้อยที่ไม่มีที่มาที่ไปคนนี้ แปดเก้าในสิบส่วนคงโตมาเป็นหมาป่าตาขาว[2]
อวิ๋นชิงไม่ปล่อยให้พล๊อตน้ำเน่าเช่นนี้ผิดหวัง
ปีที่อวิ๋นชิงอายุสิบเจ็ดปี ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ก็เกิดเหตุการณ์ใหญ่ขึ้น บิดาของอวิ๋นจูพลาดท่าระหว่างฝึกวิชาจนธาตุไฟเข้าแทรก สังหารหมู่ศิษย์ของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ไปหลายร้อยคน ลัทธิศักดิ์สิทธิ์โลหิตนองเป็นสายน้ำ ประมุขกับผู้พิทักษ์ทั้งหลายสุญเสียเรี่ยวแรงไปมากมายอักโขกว่าจะจับตัวบิดาของอวิ๋นจูไว้ได้อย่างหวุดหวิด
บิดาของอวิ๋นจูสูญเสียสติสัมปชัญญะอย่างสิ้นเชิง เขาครองตำแหน่งเจ้าลัทธิต่อไม่ได้แล้ว เวลานี้สมควรให้อวิ๋นจูก้าวออกมารับช่วงจัดการลัทธิศักดิ์สิทธิ์ต่อจากบิดาของตน
ทว่าตอนนี้เองดันเกิดเรื่องที่ทำให้คนคิดไม่ถึงขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่ง…นั่นก็คืออวิ๋นจูกลับมาช่วยปล่อยบิดาให้หนีไป ไม่เพียงเท่านั้น เพื่อช่วยให้บิดาแอบหนีไป อวิ๋นจูยังเข่นฆ่าศิษย์ของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ไปมากมาย
การเข่นฆ่าหนนี้มีคนบาดเจ็บล้มตายไปอีกหลายร้อยคน
หลังจากเกิดการบาดเจ็บล้มตายหนนี้ ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่มีที่ให้สองพ่อลูกอีกต่อไป
สุดท้ายบิดาของอวิ๋นจูก็ถูกปราบเอาไว้ได้ แต่สิ่งที่จ่ายเพื่อปราบเขาหนักหนาสาหัสยิ่งนัก ประมุขแทบทุกคนเสียชีวิตจนหมด แม้อวิ๋นชิงจะรักษาชีวิตไว้ได้ แต่ก็ได้รับบาดเจ็บภายในสาหัสอย่างยิ่ง วรยุทธ์ทั้งหมดสูญสลาย
สุดท้ายของสุดท้ายอวิ๋นชิงก็ได้ขึ้นไปนั่งบนตำแหน่งเจ้าลัทธิด้วยการยอมรับจากทุคน
อวิ๋นจูถูกเนรเทศ
แต่เดิมนางต้องโทษประหาร แต่อวิ๋นชิงเห็นแก่สายสัมพันธ์พี่น้องจึงให้นางออกไปจากลัทธิศักดิ์สิทธิ์เพียงลำพังคนเดียว
ตอนนางออกไปจากลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีสิ่งใดทั้งสิ้น มีเพียงธนูจันทร์โลหิตคันเดียว
ยามนั้นนางเป็นเพียงแม่นางน้อยอายุสิบห้าสิบหกปีคนหนึ่ง จู่ๆ เกิดเรื่องราวผลิกผันเช่นนี้ จะบอกว่าไม่กลัวก็คงโกหก นางเคยแอบไปหลบในสถานที่ที่ไม่มีคนเพื่อซุกหน้าร่ำไห้ แต่ลำพังกำลังของนางเพียงคนเดียวจะต่อสู้กับลัทธิศักดิ์สิทธิ์ทั้งลัทธิย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิง
นางยอมแพ้แล้ว
นางคิดว่าจะใช้ชีวิตที่เหลืออย่างสงบสุข แต่คาดไม่ถึงว่านางจะหนีไม่พ้นกรงเล็บมารของลัทธิศักดิ์สิทธิ์
หากบอกว่าการสูญเสียบิดากับลัทธิศักดิ์สิทธิ์ยังไม่ทันทำให้นางแข็งแกร่ง ถ้าเช่นนั้นการสูญเสียบุตรสาวก็ทำให้นางมีหัวใจดุจหินผาอย่างสมบูรณ์
เฉียวเวยกอดแขนของอวิ๋นจูแน่นด้วยความปวดใจ
อวิ๋นจูเอ่ยอย่างเฉยชา “อวิ๋นชิงก็คือบิดาของอวิ๋นซู่ อวิ๋นชิงตายไปแล้ว อวิ๋นซู่จึงรับตำแหน่งเจ้าลัทธิต่อมา”
อวิ๋นจูพยายามตัดสายสัมพันธ์กับลัทธิศักดิ์สิทธิ์อย่างสุดกำลังมาชั่วชีวิต ทว่าอวิ๋นซู่ลงจากเขามาฝึกวิชาเพียงหนึ่งหนก็จับพลัดจับผลูมาต้องตาเจาหมิงเข้า
นี่เป็นโชคชะตาเลวร้ายอะไรกัน
เฉียวเวยไม่รู้ว่าสมควรจะพูดอะไรดี
อวิ๋นจูมองเฉียวเวยผู้โศกเศร้ายิ่งกว่าตนเองแล้วยกมุมปากยิ้ม “เจ้าไม่ต้องปลอบข้าหรอก ข้าไม่เศร้าอีกแล้ว”
นางอดทนผ่านช่วงเวลาที่ทุกข์ระทมที่สุดมาได้หมดแล้ว
ยามที่นางนั่งอยู่เพียงลำพังในทะเลทรายร่ำไห้เหมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง กู่เฉียนพานางกลับไป
นางคิดว่าบุรุษคนนี้จะเป็นที่พึ่งในชีวิตนี้ของนาง ทว่าสุดท้าย…เขากลับผลักนางลงสู่ขุมนรกที่ลึกยิ่งกว่าเดิม
นางคลานขึ้นมาจากขุมนรกได้แล้ว ดังนั้นไม่มีสิ่งใดทำให้นางทุกข์ระทมได้อีกต่อไป
เฉียวเวยไม่กล้าถามคำถามที่ทิ่มแทงหัวใจของท่านยายอีก เท่านี้นางก็เกลียดตนเองแทบแย่อยู่แล้ว นางรีบเบี่ยงประเด็น “จริงสิท่านยาย ยอดฝีมือที่ถูกสะกดไว้ที่เกาะอิ๋นหูคนนั้นคือผู้ใดหรือ”
อวิ๋นจูเงียบไปชั่วครู่ ในดวงตาฉายแววเศร้าเสียใจอันยากจะสังเกตเห็นแวบหนึ่ง “ท่านพ่อของข้าเอง”
เพียงแต่ว่าเขาไม่ใช่ท่านพ่ออีกต่อไปแล้ว เขาฝึกฝนตนเองจนกลายเป็น…จักรพรรดิอสูรเสียแล้ว
[1]ตัดแขนเสื้อ มีความหมายแฝงหมายถึงบุรุษที่ชอบบุรุษด้วยกัน
[2]หมาป่าตาขาว หมายถึงคนเนรคุณ