หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 32-1 ชาติกำเนิดของอวิ๋นจู (2)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 32-1 ชาติกำเนิดของอวิ๋นจู (2)
ตอนที่ 32-1 ชาติกำเนิดของอวิ๋นจู (2)
วิชาที่ร้ายกาจที่สุดในหมู่สามวิชาต้องห้ามของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ย่อมหนีไม่พ้นการฝึกนักรบมรณะ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่มันเป็นวิชามาร แค่ความโหดร้ายที่ต้องใช้ร่างกายของผู้อื่นมาฝึกก็น่ากลัวมากพอแล้ว หากใช้ร่างกายของตนเอง…ผลลัพธ์สุดท้ายนั่นไม่อยากจะนึกถึงเลยจริงๆ
สือชีเป็นนักรบมรณะ แต่นั่นไม่ใช่ความปรารถนาของตัวเขาเอง
ราชันอสูรก็เป็นนักรบมรณะ แต่เขาก็ดูไม่เหมือนปรารถนาจะเป็นเช่นนั้นด้วยตนเอง
ท่านตาทวดคนนั้นของหมิงซิวสมองส่วนไหนผิดปกติหรืออย่างไรจึงใช้วิชานี้กับร่างกายของตนเอง
หรือว่า…เพื่อบรรลุขอบขั้นสูงส่งของวิชายุทธ์ที่เขาเล่าลือกัน
เฉียวเวยส่ายหน้า ท่านตาทวดคนนี้คงไม่ได้เสียสติไปแล้วใช่หรือไม่
หลังจากนั้นเฉียวเวยก็ไม่กล้าถามอะไรอวิ๋นจูต่อ เพราะเกรงว่าตนเองไม่ทันระวังจะไปแตะถูกเรื่องที่ไม่ควรแตะเข้าจนทำให้อวิ๋นจูอารมณ์เสียเปล่าๆ
ตอนที่อวิ๋นจูเล่าเรื่อง นางไม่ตั้งใจลดเสียงให้เบาลงเลยสักนิด ไห่สือซานกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยจึงได้ยินด้วย ทว่าทั้งสองคนรู้จักดูสถานการณ์อยู่จึงไม่พูดอะไร พวกเขาแล่นรถม้ากลับมาถึงจวนอ๋องก่อนตะวันพลบอย่างราบรื่น
บรรยากาศในเรือนฟางชุ่ยหยวนไม่ค่อยปกตินัก สาวใช้ทั้งหลายต่างตัวสั่นระริก ก้มหน้าปัดกวาดเศษซากอันเละเทะในลานเรือน ฟู่เสวี่ยเยียนยืนอยู่ตรงทางเดิน สั่งการบ่าวรับใช้ด้วยสีหน้าระแวดระวัง
ครั้นเห็นพวกเฉียวเวยกลับมา นางก็มีสีหน้าโล่งอกแล้วเดินเข้าไปหา
เฉียวเวยมองสภาพเละเทะในลานเรือนแล้วถามอย่างฉงน “เกิดเรื่องอันใดขึ้น”โ
ฟู่เสวี่ยเยียนตอบว่า “หลังจากพวกเจ้าออกเดินทางไปไม่นาน คนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ก็บุกมา มีนักรบมรณะกับร่างพิษ แล้วก็มีนักเวทศักดิ์สิทธิ์หลายคนด้วย น่าจะมีจุดประสงค์อยู่ที่ราชันอสูร”
เฉียวเวยมุ่นคิ้ว “พวกเขาอยากจะจับตัวราชันอสูรกลับไปหรือ”
ฟู่เสวี่ยเยียนพยักหน้า “พวกเขาไม่รู้ว่าราชันอสูรออกไปข้างนอก คิดว่าราชันอสูรอยู่ภายในเรือน”
เฉียวเวยแววตาเย็นยะเยือก “เจ้าพวกสารเลวฝูงนี้คิดหมายตาราชันอสูรหรือ มีใครบาดเจ็บหรือไม่”
ฟู่เสวี่ยเยียนตอบอย่างโล่งใจเล็กน้อย “ไม่มี สือชีมาพบทันเวลาพอดี”
ตอนนั้นวั่งซูกับจิ่งอวิ๋นบังเอิญไม่อยู่ในลานเรือนจึงไม่ตกใจอะไร
หลังจากได้ทราบเรื่องน่าตกใจที่ผ่านพ้นไปอย่างปลอดภัย เฉียวเวยก็คลายใจลงเล็กน้อย
ฟู่เสวี่ยเยียนกวาดสายตามองด้านหลังของทุกคน พอไม่เห็นโลงศพศพหยกก็ไม่จี้ถามอะไรต่ออย่างคนรู้จักมองสถานการณ์ นางเอ่ยเสียงเบาว่า “อาหารเย็นเตรียมพร้อมแล้ว” จากนั้นจึงพาทุกคนเข้าไปในบ้าน
ไห่สือซานกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยกลับไปที่ห้องของตนเอง
เฉียวเวยถอดเสื้อคลุมกันลมไปอาบน้ำที่ห้องด้านข้าง ฟู่เสวี่ยเยียนตามมาเงียบๆ นางมองอวิ๋นจูที่นั่งหยอกล้อกับมู่เหยียนตัวน้อยอยู่ตรงหัวเตียง แล้วถามเสียงเบาว่า “เป็นเช่นไรบ้าง พบองค์หญิงหรือไม่”
เฉียวเวยหันไปมองอวิ๋นจูบ้าง เมื่อเห็นอวิ๋นจูจดจ่ออยู่กับการหยอกล้อเด็กน้อยไม่ทันสนใจด้านนี้ จึงกดเสียงเบาบอกว่า “ไม่พบองค์หญิง แต่พบยิ่นอ๋องแทน”
มือของฟู่เสวี่ยเยียนที่กำลังเทน้ำให้เฉียวเวยชะงักกึก “ไปพบเขาได้อย่างไรกัน เขาถูกน้ำหลากซัดไปไม่ใช่หรือ ตามหาพบเร็วขนาดนี้เชียวหรือ”
เฉียวเวยนึกถึงท่าทางชวนถูกซ้อมของยิ่นอ๋อง ฉับพลันก็รู้สึกว่าความรู้สึกดีๆ ขนาดเล็กจ้อยที่เพิ่งจะเริ่มก่อตัวระหว่างการพบกันหลายครั้งก่อนหน้านี้สลายหายไปจนหมดสิ้น นางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันบอกว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้เขามีฐานะเป็นอะไร”
“ฐานะอะไรหรือ” ฟู่เสวี่ยเยียนถามอย่างไม่ทันคิด แต่ก็ไม่ลืมเทนำร้อนลงในอ่างทองแดงด้วย
เฉียวเวยหยิบสบู่ขึ้นมาถูกลางฝ่ามืออย่างรุนแรง “ผู้อื่นมีชีวิตรุ่งโรจน์แล้ว ตอนนี้เป็นถึงเจ้าลัทธิน้อยของลัทธิศักดิ์สิทธิ์เชียว”
ฟู่เสวี่ยเยียตกตะลึงทันที “เขาเป็นเจ้าลัทธิน้อยของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ หมายความว่า…ของท่านน้า”
เฉียวเวยพยักหน้า
แพขนตาของฟู่เสวี่ยเยียนสั่นไหว “คิดไม่ถึงว่าบุรุษผู้นั้นจะเป็นเจ้าลัทธิของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ถ้าเช่นนั้นองค์ชายสามเล่า เขาก็เป็นเลือดเนื้อของเจ้าลัทธิเหมือนกันหรือ”
เฉียวเวยนึกถึงการดูแลที่องค์ชายสามได้รับตอนอยู่ที่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์แล้วก็เลิกคิ้ว “มีโอกาสแปดเก้าในสิบส่วน”
ระหว่างที่ทั้งสองคนพูดคุยกัน ฮองเฮาเยี่ยหลัวก็อุ้มส้มโอที่เพิ่งแกะเสร็จใหม่ๆ ลูกหนึ่งเข้ามาอย่างใสซื่อ เมื่อเห็นสีหน้ามีความสุขของนาง ทั้งสองคนก็ไม่รู้ว่าควจะเอ่ยถึงยิ่นอ๋อง องค์ชายสามกับผู้ชายคนนั้นอย่างไรดีจริงๆ
“เสี่ยวเวย!”
เฉียวเวยกำลังจะเช็ดมือ ศีรษะของฮองเฮาเยี่ยหลัวก็โผล่พรวดเข้ามา
เฉียวเวยตกใจสะดุ้งโหยง ร่างกายสั่นเทาน้อยๆ หัวใจเกือบจะกระเด้งออกมา
ฟู่เสวี่ยเยียนยกมือป้องปากอย่างไม่เปลี่ยนสีหน้า “ข้าจะไปดูสักหน่อยว่าอาหารเรียบร้อยหรือยัง”
จากนั้นก็ทิ้งเฉียวเวยไว้เพียงลำพัง
เฉียวเวยลอบคร่ำครวญในใจ พรรคพวกช่างพึ่งไม่ได้ เวลาสำคัญกลับทิ้งนางไว้รับมือกับท่านน้าเพียงคนเดียว นี่จะแกล้งนางใช่หรือไม่
“ท่านน้า ท่านมาแล้วหรือ” เฉียวเวยปรามคลื่นอารมณ์ที่ซัดสาดในหัวใจลงไป แล้วเค้นรอยยิ้มน้อยๆ หวานจ๋อยออกมา
ฮองเฮาเยี่ยหลัวหยิกใบหน้าของนาง “เลิกยิ้มได้แล้ว เสแสร้งนักเชียว”
เฉียวเวยหน้าดำทะมึนในพริบตา
ฮองเฮาเยี่ยหลัวถามว่า “วันนี้เจ้าไปลัทธิศักดิ์สิทธิ์มาได้พบเซิงเอ๋อร์หรือไม่”
เซิงเอ๋อร์ คือชื่อเล่นขององค์ชายสาม
เฉียวเวยตอบโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าสักนิด “ได้พบแล้ว เขาสบายดี”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวถามอย่างไม่เข้าใจ “พวกเขาจะจับตัวเขาไปทำไมกันนะ พวกเขาต้องการจะข่มขู่ราชาเยี่ยหลัว ไม่ก็ต้องการจะข่มขู่ท่านแม่ของข้าอย่างนั้นหรือ”
ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง…
องค์ชายสามเป็นลูกชายโง่ของเจ้าลัทธิ เจ้าลัทธิเอาอกเอาใจเขาแทบไม่ทัน
เฉียวเวยกำลังครุ่นคิดว่าจะหนีจากประเด็นนี้อย่างไรให้สมบูรณ์แบบ แต่ฮองเฮาเยี่ยหลัวกลับเอ่ยปากขึ้นมาเองว่า “จริงสิ เจ้าได้พบยิ่นเอ๋อร์แล้วหรือยัง”
หลังจากหนก่อนที่ ‘ยิ่นอ๋อง’ แวะมาเยี่ยมฮองเฮาเยี่ยหลัว นางก็ไม่ได้พบเขาอีกเลย ฮองเฮาเยี่ยหลัวคิดถึงเขาแล้ว
เรื่องนี้เฉียวเวยไม่อยากให้ท่านน้ารู้มากกว่าเสียอีก ท่านน้ารักยิ่นอ๋องปานนั้น หากรู้ว่าเขาทรยศพวกนาง ไม่แน่ว่าจะโศกเศร้าเสียใจจนเป็นเช่นไร
“ไม่ได้พบเจ้าค่ะ” เฉียวเวยส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด
ฮองเฮาเยี่ยหลัวผิดหวัง “อ้อ”
นางเป็นเช่นนี้ เฉียวเวยยิ่งไม่กล้าบอกความจริงกับนาง ปิดบังได้หนึ่งวันก็ปิดไว้หนึ่งวัน อย่างมากที่สุดวันไหนจับเจ้าสารเลวยิ่นอ๋องนั่นมัดกลับมาซ้อมเขาจนไม่กล้าทำชั่วอีกก็พอ
ตกกลางคืนคนทั้งครอบครัวทานอาหารกันอย่างครึกครื้น
หลังจากอาหารเย็น เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองก็จูงอวิ๋นจูกับเฉียวเจิงไปเดินเล่นที่ลานเรือน ส่วนเฉียวเวยไปเยี่ยมจีหมิงซิวที่ห้องลับ
นี่เป็นวันที่แปดที่เขาเก็บตัวฝึกฝนแล้ว เฉียวเวยไม่เคยได้พบหน้าเขาสักหน ประตูของห้องลับลงกลอนจากด้านใน นอกเสียจากตัวเขายินยอม ไม่ว่าผู้ใดก็เข้าไปไม่ได้
เฉียวเวยลูบบานประตูหินอันเย็นเฉียบ อยากจะให้เขาเปิดประตูให้ แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของฟุ่เสวี่ยเยียนก็ข่มกลั้นความรู้สึกเอาไว้
นางไม่กล้ารั้งอยู่นาน ยืนอยู่เพียงครู่เดียวก็จากไป
หลังนางเดินจากไปได้ไม่นาน เงาร่างสูงโปร่งสง่างามร่างหนึ่งก็ก้าวเท้ามาอย่างเชื่องช้า
ในมือของเขาถือกล่องลวดลายงดงามใบหนึ่ง ส่วนอีกมือหนึ่งวางแนบบนบานประตูหิน โคจรกำลังภายในสั่นสะเทือนครู่หนึ่ง บานประตูหินก็เปิดออก
แสงสลัวจากในทางเดินทอดเข้าไปด้านใน ส่องต้องร่างของจีหมิงซิวที่ขดเป็นก้อนกลมเพราะความเจ็บปวด ใบหน้าของเขาซีดเผือดจนเหมือนกระดาษไข ริมฝีปากแห้งผากไม่มีสีเลือดสักนิด
กงซุนฉางหลียื่นมือเรียวยาวประหนึ่งหยกข้างหนึ่งออกมาจับหน้าผากที่ร้อนผ่าวของเขา
ฝ่ามือของเขาเย็นเฉียบ
จีหมิงซิวรู้สึกสบายตัวจึงคลายคิ้วที่ขมวดแน่นออก
กงซุนฉางหลีนั่งคุกเข่าด้านหลังเขาแล้วประคองหัวไหล่ของเขาขึ้นมา กึ่งๆ กอดเขาไว้ในอ้อมแขนของตน จากนั้นจึงเปิดกล่องลวดลายงดงามในมือหยิบบัวหิมะของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ดอกหนึ่งขึ้นมาแล้วเด็ดกลีบดอกไม้สีขาวแวววาวออกมา ใช้ปลายนิ้วเผยอริมฝีปากแห้งผากของเขาจากนั้นป้อนเข้าไปทีละกลีบๆ