หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 32-2 ชาติกำเนิดของอวิ๋นจู (2)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 32-2 ชาติกำเนิดของอวิ๋นจู (2)
ตอนที่ 32-2 ชาติกำเนิดของอวิ๋นจู (2)
กลีบดอกไม้เข้าปากพลันละลาย ความรู้สึกเย็นสดชื่นแผ่กระจายไปในร่างของจีหมิงซิว เส้นลมปราณที่ถูกพิษฝ่ามือกัดกร่อนจนจวนเจียนจะขาดสะบั้นเต็มทีเริ่มฟื้นกลับมาแข็งแรงทีละน้อย
กงซุนฉางหลีใช้มือข้างหนึ่งโอบเขาไว้ในอ้อมแขน มืออีกข้างหนึ่งกุมมือของเขา ถ่ายทอดกำลังภายในสายหนึ่งให้เบาๆ ค่อยๆ สะกดลมปราณในร่างที่ปั่นป่วนของเขาลงไปทีละเล็กทีละน้อย
ในที่สุดจีหมิงซิวผู้ทุกข์ทรมานจากพิษร้ายจนแทบจะธาตุไฟเข้าแทรกก็อาการทุเลาลงเล็กน้อย เสียงครางเบาๆ จากความรู้สึกสบายตัวดังออกมาจากในจมูก
กงซุนฉางหลีกลืนน้ำลายเบาๆ
จีหมิงซิวครางเบาๆ อย่างสบายตัวอีกครั้ง เสียงทรงเสน่ห์แฝงแววเกียจคร้านอยู่เลือนราง
ลมหายใจของกงซุนฉางหลีถี่กระชั้นขึ้น เขารีบเก็บกำลังภายในแล้ววางคนลงบนพื้นหินเย็นเฉียบ จากนั้นเดินออกจากห้องศิลาไปอย่างไม่เหลียวหลังกลับมา
วันรุ่งขึ้นตอนที่อวิ๋นจูกับเฉียวเจิงถือยาตัวใหม่ที่เพิ่งวิจัยเสร็จซึ่งใช้แทนบัวหิมะได้เกือบจะสิ้นเชิงมาถึงห้องศิลาลับ จีหมิงซิวก็ผ่านช่วงอันตรายหนแรกมาได้แล้ว
เฉียวเจิงเลิกคิ้ว ร่างกายของลูกเขยยอดเยี่ยมใช้ได้เลยนี่!
…
แม้เรื่องการฝึกฝ่ามือเก้าสุริยันของจีหมิงซิวจะเร่งด่วน แต่เรื่องจัดการจักรพรรดิอสูรก็ชักช้าไม่ได้เช่นกัน นอกจากท่านน้าผู้ไม่รู้เรื่องราวใดๆ ในโลก แทบทุกคนต่างรู้ว่ายอดฝีมือผู้แข็งแกร่งคนนั้นบนเกาะอิ๋นหูคือจักรพรรดิอสูร แล้วก็รู้ว่าจักรพรรดิอสูรคือบิดาของอวิ๋นจู เมื่อเป็นเช่นนี้ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าเอ่ยเรื่องนี้
อวิ๋นจูเรียกเฉียวเวยมาในห้องแล้วบอกว่า “ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าข้าจะเป็นอย่างไร นับตั้งแต่เขาฝึกตนเองจนกลายเป็นนักรบมรณะ เขาก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับข้าอีกแล้ว”
จักรพรรดิอสูรผู้ธาตุไฟเข้าแทรกไร้ความทรงจำก่อนหน้าทั้งหมด ญาติสนิทไม่รู้จัก ในสายตามีแต่การเข่นฆ่าเท่านั้น
อวิ๋นจูตอนอายุสิบห้าอาจจะอยากลองปลุกบิดาของตนเองกลับมา แต่เวลาผ่านไปเนิ่นนานถึงเพียงนี้นางยอมรับความจริงที่บิดาไม่อาจหวนคืนมาได้แล้ว
คนผู้นั้นไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้ว
เขาเป็นสัตว์ประหลาดที่สังหารไม่ตายตัวหนึ่ง
ไม่ทำลายเขา เขาก็จะทำลายทุกคน
อวิ๋นจูเอ่ยด้วยสีหน้านิ่งสงบ “ให้ราชันอสูรกินยาพิษจากร่างหยินบริสุทธิ์ลงไปบางทีอาจมีหวังน้อยนิดที่จะสังหารเขาได้”
เฉียวเวยมองนางนิ่งนานแล้วถามว่า “ท่านยายตัดสินใจดีแล้วหรือ”
อวิ๋นจูตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ตัดสินใจดีแล้ว เจ้าไปจัดการเถิด”
เฉียวเวยเดินออกไป
สถานที่ที่นางไปก็คือห้องของเฉียวเจิง นางอยากถามว่าอาการของสวินหลันเป็นเช่นไรบ้าง ผลปรากฏว่ากลับเห็นราชันอสูรเดินเข้ามาอย่างโมโหโทโสแล้วกระแทกก้นนั่งบนม้านั่งเย็นเฉียบ
ไม่นานเยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็เดินตามเข้ามาด้วย
เฉียวเวยกับเฉียวเจิงหันมามองทั้งสองคนพร้อมกันแล้วถามเป็นเสียงเดียวกันว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ”ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถอนหายใจ หันไปมองเฉียวเวยก่อนจะบอกว่า “สวินหลันตื่นแล้ว นางไม่ยอมกินยาดีๆ แต่บอกว่าจะพบเจ้า แล้วยังบอกอีกว่าหากเจ้าไม่ยอมไป นางยอมทำลายยาพิษเสียดีกว่าเก็บไว้ให้เจ้า”
สตรีนางนี้ จะไม่ยอมหยุดหาเรื่องแม้แต่วันเดียวจริงๆ ใช่หรือไม่!
เฉียวเวยเดินไปที่เรือนของสวินหลัน
สวินหลันตื่นมามีสติแจ่มชัดแล้วจริงๆ ด้วยสภาพของนางในวันนี้ลืมตาตื่นขึ้นมาตอนกลางวันได้ก็ไม่เลวแล้ว แต่นางกลับยังทำตัวเหมือนคนไม่เป็นอะไรได้อีก เจตจำนงอันตั้งมั่นนี้ทำให้คนนับถือจริงๆ
นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่สวินหลันเข้ามาที่จวนอ๋องที่เฉียวเวยได้มองสำรวจนางอย่างจริงๆ จังๆ หลายเดือนที่ผ่านมานางน่าจะมีชีวิตไม่ดีเท่าไรนัก นางซูบเซียวอย่างเหลือจะพรรณนา อายุยังน้อยแต่หางตามีรอยยับย่นเล็กๆ เส้นผมก็งอกขาวไปแล้วหลายเส้น
ไหนเลยจะยังมีความสง่างามของนายหญิงตระกูลจีคนนั้นเหลืออยู่อีก
นางแก่ชราจนไม่เหลือสภาพแล้วชัดๆ
“เจ้ามาแล้ว” สวินหลันชี้เก้าอี้ด้านข้างประหนึ่งไม่รู้ว่าสภาพน่าอเนจอนาถของนางถูกเฉียวเวยเห็นจนหมดแล้ว นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉกเช่นปกติ “หากไม่กลัวก็นั่งลงเถิด”
เฉียวเวยหิ้วถุงน้ำมานั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับนาง
สวินหลันไม่ต้องมองก็รู้ว่าในถุงน้ำบรรจุสิ่งใดเอาไว้ “เจ้าก็มีเวลาที่กลัวกับเขาด้วยหรือ”
เฉียวเวยวางถุงฉี่เด็กผู้ชายของจิ่งอวิ๋นเอาไว้ข้างมือ จากนั้นหัวเราะเบาๆ “เตรียมพร้อมไว้ไร้ภัยพาลนี่นา”
สวินหลันชงชาให้เฉียวเวยหนึ่งถ้วย
เฉียวเวยตอบว่า “ข้าไม่ดื่มชา”
มือที่กำลังรินชาของสวินหลันชะงัก สายตาจับบนหน้าท้องที่ยังแบนราบของนาง “เจ้าตั้งครรภ์แล้วหรือ”
เฉียวเวยลูบท้อง “สองเดือนแล้ว”
สวินหลนสีหน้าปกติ นางวางชาที่รินเรียบร้อยแล้วไว้ข้างมือของตนเอง แล้วหยิบถ้วยเปล่าอีกถ้วยหนึ่งมารินน้ำอุ่น “ให้เจ้า”
เฉียวเวยจิบน้ำคำหนึ่งแล้วมองนางคล้ายยิ้มแต่ก็ไม่คล้ายยิ้ม “นิ่งสงบได้ปานนี้เชียวหรือ”
สวินหลันวางกาน้ำชาลงแล้วยกถ้วยของตนเองขึ้นมาจิบเบาๆ “เชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้า แต่ข้าปล่อยวางแล้ว”
เฉียวเวยหัวเราะเบาๆ แล้วว่า “ปล่อยวางได้จริงหรือเสแสร้งปล่อยวางได้เล่า”
สวินหลันถาม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าหลังจากจีหมิงซิวพาหลิวเกอร์จากไปต่อหน้าต่อตาข้า ข้าต้องประสบพบสิ่งใดบ้าง”
เฉียวเวยยกมือขึ้น “หากนี่เป็นคำสั่งเสียของเจ้า ข้าก็ยินดีตั้งใจฟัง”
สวินหลันส่ายหน้าเบาๆ “เจ้าไม่มีวันเข้าใจหรอก”
เฉียวเวยถามว่า “ข้าเข้าใจหรือไม่สำคัญด้วยหรือ”
สวินหลันตอบ “ไม่สำคัญ”
เฉียวเวยถามว่า “ถ้าเช่นนั้นเจ้าต้องการพบข้าเพราะอยากพูดอันใดกับข้ากันแน่”
สวินหลันถอนหายใจเงียบๆ “เฉียวซื่อ เจ้าเชื่อในโชคชะตาหรือไม่”
เฉียวเวยมองนาง “ไม่เคยเชื่อ”
สวินหลันเอ่ยราวกับเยาะหยันตนเอง “ข้าทำชั่วมาสารพัด จีหมิงซิวละเว้นข้าแล้วแท้ๆ แต่สุดท้ายข้าก็กลับตกมาอยู่ในมือพวกเจ้าอีก นี่คือจุดจบ คือโชคชะตาของข้า”
เฉียวเวยเอ่ยเรียบๆ “ในเมื่อรู้ว่าคือโชคชะตา ถ้าเช่นนั้นยังมีสิ่งใดให้โอดครวญอีกเล่า”โ
สวินหลันส่ายหน้า “ข้าไม่โอดครวญ ข้าเพียงไม่ยินยอม”
เฉียวเวยว่าอย่างขบขัน “เมื่อครู่เจ้าเพิ่งบอกว่าเจ้าปล่อยวางแล้ว แต่ประเดี๋ยวเดียวก็มาบอกอีกว่าไม่ยินยอม เจ้าจะให้ข้าเชื่อประโยคไหนของเจ้ากันแน่”
สวินหลันลุกขึ้นยืน แล้วผลักหน้าต่างเปิดออกเบาๆ สายลมเย็นพัดเข้ามา นางยืนรับลมพลางทอดสายตามองหิมะอันไร้ที่สิ้นสุด “คนผู้หนึ่งหากแม้แต่ชีวิตยังใกล้มอดม้วย เขาย่อมไม่มีเวลาริษยาผู้ใด สิ่งที่ข้าปล่อยวางแล้วคือความยึดติดของข้า สิ่งที่ข้ารู้สึกไม่ยินยอมคือบุตรชายของข้า ข้ารู้ว่าข้าทำผิด…หลังออกจากต้าเหลียง ข้าเคยถามตนเองนับครั้งไม่ถ้วนว่าหากข้ากลับไปได้ หากข้าคว้าสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาได้ ข้าจะคว้าสิ่งใดมา…ไม่ใช่จีหมิงซิว ไม่ใช่จีซั่งชิง แล้วก็ไม่ใช่ตำแหน่งนายหญิงแห่งตระกูลจี…แต่เป็นหลิวเกอร์…”
นางพูดจบก็หันกลับมาจ้องลึกเข้าไปดวงตาของเฉียวเวยด้วยแววตาวิงวอน “เจ้าให้ข้าพบหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้าย ไม่ว่าพวกเจ้าต้องการสิ่งใด ข้าล้วนมอบให้”