หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 33-1 จิ่งอวิ๋นกับเขตต้องห้าม
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 33-1 จิ่งอวิ๋นกับเขตต้องห้าม
ตอนที่ 33-1 จิ่งอวิ๋นกับเขตต้องห้าม
นับตั้งแต่ชั่วอึดใจที่สวินหลันตื่นได้สติแล้วเรียกร้องจะพบเฉียวเวย เฉียวเวยก็รู้แล้วว่าสตรีนางนี้ต้องหาเรื่องมาให้ นางเป็นจอมก่อเรื่อง หาเรื่องฟ้า หาเรื่องดิน หาเรื่องให้ตัวเอง นางไม่ก่อเรื่องขึ้นมา เฉียวเวยกลับจะไม่คุ้นชิน
เฉียวเวยกลับไปที่เรือนฟางชุ่ยหยวน พวกฟู่เสวี่ยเยียรออยู่ในห้องก่อนแล้ว
“นางบอกว่าอย่างไรบ้าง” ฟู่เสวี่ยเยียนถาม
ฟู่เสวี่ยเยียนเคยข้องเกี่ยวกับสวินหลันไม่กี่ครั้ง แต่นางก็เคยถูกสวินหลันเล่นงานมาครั้งหนึ่ง อีกทั้งได้ยิน ‘เรื่องราวอันสุดยอด’ ของสวินหลันมาจากปากของใต้เท้าเจ้าสำนักอีกไม่น้อย นางย่อมระวังสตรีนางนี้อย่างมาก
เฉียวเวยนั่งบนม้านั่งแล้วคว้าเมล็ดแตงเม็ดหนึ่งมาแกะพลางเล่าให้ฟัง “นางบอกว่าต้องการพบลูกชายของนางเป็นหนสุดท้าย”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยสะอึก “นางยังจำได้อีกหรือว่าตนเองมีลูกชายอยู่หนึ่งคน! สมัยทำชั่วช้าสารพัดไม่เห็นจะเคยคิดว่าตนเองก็เป็นแม่คนหนึ่ง!”
ไห่สือซานเห็นด้วยอย่างลึกซึ้ง
เฉียวเวยเอ่ยอย่างขบขัน “ไม่ใช่มีคำพูดที่ว่าโจรกลับใจหรือ ผู้อื่นคิดตกแล้ว เปลี่ยนเป็นคนใหม่แล้ว นับจากนี้จะทำตัวเป็นคนดี”
“นางน่ะหรือทำตัวเป็นคนดี” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหัวเราะหยัน
เห็นชัดว่าคนทั้งห้องไม่มีใครสักคนเชื่อว่าสวินหลันสำนึกผิดกลับตัวเป็นคนใหม่แล้ว ทว่าต่อให้พวกเขาเชื่อก็ช่วยชีวิตสวินหลันไม่ได้อยู่ดี สวินหลันถูกลิขิตให้ตายอย่างแน่นอนแล้ว ข้อแตกต่างมีเพียงนางตายในมือพวกเขาหรือตายด้วยมือของตนเอง
หากนางตัดสินใจจะสร้างความลำบากให้พวกเขาและจบชีวิตด้วยน้ำมือตนเอง ยาพิษในร่างของนางก็จะเสียเปล่าอย่างสิ้นเชิง
นี่จึงเป็นสาเหตุที่อวิ๋นจูให้พวกเขาเฝ้านางไว้ให้ดี ไม่ให้นางหาเหตุคิดสั้นได้
ตอนนี้มีโอกาสที่นางจะมอบยาพิษให้ด้วยความยินยอมของตนเองแล้ว เงื่อนไขก็คือการให้นางได้พบหน้าบุตรชาย พูดกันตามตรงการแลกเปลี่ยนนี้ก็คุ้มค่าแก่การพิจารณาอยู่
“พาหลิวเกอร์เดินทางมาอย่างเร็วที่สุดต้องใช้เวลาเท่าไร” เฉียวเวยถาม
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยครุ่นคิด “เรื่องนี้ไม่อาจบอกได้แน่นอน หากเป็นยอดฝีมือแห่งยุทธภพสักคน อาจจะสิบห้าวันหรือยี่สิบวัน หากร่างกายของเขาทนรับการเดินทางรวดเร็วเช่นนี้ไหวล่ะก็นะ แต่ว่าเด็กน้อยคนนั้นป่วยออดแอดไม่ใช่หรือไร”
หลิวเกอร์ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงนัก ระหว่างเดินทางไปสำนักซู่ซินจงยังป่วยหนักไปหนึ่งหน แม้หลังจากนั้นจะได้ฝึกร่างกายจนแข็งแรงขึ้นแล้ว แต่พวกเขาออกเดินทางมานานขนาดนี้ ไม่รู้ว่าเด็กน้อยคนนั้นถูกตามใจจนกลับไปเป็นสภาพเดิมแล้วหรือยัง
ฟู่เสวี่ยเยียนมองหิมะที่โปรยปรายนอกหน้าต่าง “เข้าฤดูหนาวแล้ว การเดินทางคงจะไม่ค่อยสะดวก”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยสูดหายใจดังเฮือก “นางคงจะไม่ได้จงใจถ่วงเวลาหรอกกระมัง”
เฉียวเวยหยิบเมล็ดแตงขึ้นมาอีกเมล็ดแล้วตอบว่า “ถ่วงเวลาไปมีประโยชน์อันใดเล่า ช้าเร็วก็ต้องตายเหมือนกัน ข้ากลับรู้สึกว่านางอยากพบบุตรชายของนางจริงๆ มากกว่า”
“ก็ให้นางพบเถิด” ฟู่เสวี่ยเยียนตอบ
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับไห่สือซานหันไปมองเฉียวเวยพร้อมกัน
เฉียวเวยพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็ให้นางได้พบ”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับไห่สือซานจึงรับเรื่องไปจัดการ หากพวกเขาออกเดินทางไปต้าเหลียง เดินทางไปเดินทางกลับจะใช้เวลานานเกินไป ทั้งสองคนจึงตัดสินใจให้จีอู๋ซวงเขียนจดหมายฉบับหนึ่งส่งผ่านพิราบสื่อสารไปให้ยอดฝีมือของพรรคโลหิตพิฆาต ให้พวกเขาอารักขาหลิวเกอร์เดินทางมายังเยี่ยหลัว
ทุกสิ่งตระเตรียมพร้อมสรรพแล้ว เฉียวเวยจึงไปพบสวินหลัน
สวินหลันเริ่มทานอาหาร ทานยาอย่างให้ความร่วมมือ
อีกด้านหนึ่งอวิ๋นจูที่กังวลว่าราชันอสูรจะกำลังภายในอ่อนแอลงเพราะไม่ได้รับยาพิษสักที เริ่มหายาที่ใช้แทนกันได้มาให้ราชันอสูร แม้จะช่วยราชันอสูรเพิ่มระดับกำลังภายในไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ประคองระดับตอนนี้ไว้ให้มั่นคงได้ สมุนไพรที่จะใช้เป็นยาทดแทนหามาได้ครบหมดแล้ว แต่การจะปรุงมันเป็นยาพิษมีความยุ่งยากอยู่เล็กน้อย
“ยาพิษชนิดนี้ใช้แทนยาพิษที่ก่อเกิดมาจากร่างพิษเหล่านั้นได้หรือ” เฉียวเวยถามอวิ๋นจู
อวิ๋นจูส่ายหน้า “ไม่ได้ แต่มีก็ดีกว่าไม่มีใช่หรือไม่เล่า”ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
นั่นก็หมายความว่าคงไม่ได้ผลมากมายเท่าไรนัก เอาไว้กินเล่นๆ เท่านั้น
ทว่าแม้แต่ยาพิษที่ไม่ได้มีประสิทธิภาพมากนักชนิดนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะปรุงขึ้นมาได้ง่ายๆ วันแรกเฉียวเจิงทำห้องปรุงยาไหม้ วันที่สองเฉียวเจิงทำหมอหลอมยาระเบิด วันที่สาม วันที่สี่…แน่นอนเรื่องพวกนั้นคงต้องเล่ากันภายหลัง ตอนนี้เฉียวเจิงนำยาที่ปรุงสำเร็จวิ่งเข้ามาด้านในอย่างดีอกดีใจ
อวิ๋นจูตรวจร่างกายของราชันอสูร ความจริงเพียงแค่ตรวจสอบลมปราณของเขา ดูว่าระดับยังคงอยู่ที่เดิมหรือไม่เท่านั้น
ราชันอสูรนั่งอย่างเชื่อฟังอยู่บนม้านั่ง ปล่อยให้กำลังภายในของอวิ๋นจูไหลเคลื่อนไปมาตามเส้นลมปราณและจุดตันเถียนของเขา
เฉียวเวยเฝ้ามองอย่างสงสัยใคร่รู้อยู่ด้านข้าง นางไม่ยักรู้ว่าราชันอสูรว่าง่ายได้ถึงเพียงนี้ เขายอมยกเส้นลมปราณของตนเองให้อีกฝ่ายจัดการอย่างสมบูรณ์เช่นนี้ ความจริงนับเป็นเรื่องเสี่ยงอันตรายอย่างยิ่ง มันเปรียบเสมือนยามอยู่ในสนามรบแล้วมอบด้านหลังของตนเองให้พรรคพวกดูแลอย่างสมบูรณ์ หากไม่เคยผ่านการทดสอบความไว้เนื้อเชื่อใจกันมา ผู้ใดจะกล้าประมาทถึงเพียงนั้น
อวิ๋นจูตรวจสอบเสร็จก็ขมวดคิ้วอย่างสงสัย
“เป็นอะไรหรือ ท่านยาย” เฉียวเวยถาม
อวิ๋นจูบอกอย่างงงงวย “จุดตันเถียนของเขาเหมือนจะเคยถูกคนทำลายมาก่อน”
เฉียวเวยกะพริบตาปริบๆ “ถูกผู้อื่นทำลายจุดตันเถียนก็เท่ากับเป็นคนไร้วรยุทธ์แล้วไม่ใช่หรือ เหตุไฉนเขายังกลายเป็นราชันอสูรที่ร้ายกาจเช่นนี้ได้อีกเล่า”
สิ่งนี้ก็คือจุดที่ทำให้อวิ๋นจูรู้สึกฉงนงงงวย สำหรับคนธรรมดาทั่วไป ไม่สิ หากจะพูดให้ถูกต้องก็คือสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหมด จุดตันเถียนคือชีวิตที่สองของพวกเขา หากจุดตันเถียนถูกทำลาย ชีวิตการฝึกยุทธ์ก็ย่อมถึงจุดสิ้นสุด
อวิ๋นจูไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ที่สร้างจุดตันเถียนขึ้นมาใหม่ได้มาก่อน
คนผู้นี้…เป็นยอดอัจฉริยะของการฝึกยุทธ์คนหนึ่งจริงๆ
หากไม่ใช่ว่าเคยถูกทำลายจุดตันเถียนไปครั้งหนึ่ง บางทีเขาอาจจะ…กลายเป็นจักรพรรดิอสูรตั้งนานแล้วก็ได้
“มิน่าไม่ต้องกินยาพิษ กำลังภายในก็ยังไม่ลดลง ยอดอัจฉริยะด้านวรยุทธ์เช่นนี้…” อวิ๋นจูพูดมาได้ครึ่งเดียวก็ชะงักไป
เฉียวเวยเข้าใจว่านางคิดถึงบิดาของตนเอง คนที่ฝึกฝนจนกลายเป็นนักรบมรณะสำเร็จก็นับว่ามีคุณสมบัติร่างกายที่หาได้หนึ่งคนในระยะพันลี้แล้ว แต่คนที่ฝึกฝนจนเป็นราชันอสูรได้ เป็นสัตว์ประหลาดที่จะมีสักคนในระยะหนึ่งร้อยล้านลี้ ส่วนจักรพรรดิอสูร เกรงว่าคงจะเป็นตัวตนที่อยู่ในตำนาน
บิดาของอวิ๋นจูเป็นผู้มากความสามารถถึงขั้นนั้น
เพียงแต่น่าเสียดายที่ยอดคนผู้นั้น กลายเป็นสิ่งที่แม้แต่ตัวตนของตนเองก็จดจำไม่ได้
จู่ๆ เฉียวเวยก็ลังเลเล็กน้อย จะให้ราชันอสูรเลื่อนขั้นต่อไปดีหรือไม่ หากสุดท้ายราชันอสูรกลายเป็นเหมือนท่านตาทวด ไม่รู้จักญาติสนิทมิตรสหายใดๆ ทั้งสิ้น นั่นจะไม่…
กร้วมๆ!
ราชันอสูรกำถั่วเคลือบน้ำตาลขึ้นมากินอย่างมีความสุข
เฉียวเวย “…”
หากเขาลืมเลือนญาติสนิทมิตรสหายทุกคนขึ้นมา เจ้าตุ้ยนุ้ยคงจะเสียใจมากแน่…
ราชันอสูรเงยหน้าขึ้นกรอกถั่วเคลือบน้ำตาลทั้งถุงเข้าไปในปาก
กร้วมๆ! กร้วมๆ! กร้วมๆ กร้วมๆ กร้วมๆ!….
หัวหน้าพรรคเฉียว “!”
ให้คนอื่นเขาเครียดดีๆ สักยกหนึ่งไม่ได้หรืออย่างไร!
…
ยามบ่ายหิมะห่าใหญ่หยุดตกไปพักหนึ่ง จนกระทั่งตกกลางคืนจึงค่อยโปรยปรายลงมาอีกหน
นับตั้งแต่ที่ขับไล่อูมู่ตัวไป ฟู่เสวี่ยเยียนก็ไม่ให้ปิงเอ๋อร์ไปทำงานอีก นางนอนนิ่งๆ อยู่บนเตียงเพื่อรักษาตัวอยู่หลายวันจนใบหน้าที่ถูกตบจนบวมหายดีแล้ว บาดแผลที่อยู่ในหัวใจก็เริ่มสมานตัวแล้วเช่นกัน
นางนอนมาหลายวันจนรู้สึกเหมือนร่างกายกำลังจะขึ้นรา นางจึงตลบผ้าห่มขึ้นแล้วสวมเสื้อนวมตั้งใจจะออกไปเดินเล่น ทว่าเมื่อเปิดประตูห้อง สายลมแรงก็พัดหอบเกล็ดหิมะเข้ามา นางหนาวจนตัวสั่นเทารีบปิดประตูแล้วไปเปิดประตูตู้เสื้อผ้า
นางอยากจะหาเสื้อคลุมกันลมสักตัว แล้วก็พบว่าเสื้อผ้าที่อยู่ด้านในเปลี่ยนไปหมดแล้ว เสื้อผ้าทุกตัวทุกชุดล้วนเป็นของใหม่เอี่ยมและงดงาม เนื้อผ้านุ่มนิ่มจนไม่อยากจะเชื่อ ยามลูบมือลงไปราวกับกำลังลูบก้อนเมฆนุ่มนิ่มชั้นหนึ่ง
แววตาของปิงเอ๋อร์วูบไหว นางเลือกผ้าคลุมกันลมที่ทำจากผ้าต่วนสีชมพูกับขนกระต่ายออกมาหนึ่งตัว หลังจากสวมเสร็จก็ออกไปจากห้อง
เวลานี้ไม่เช้าแล้วแต่ก็ยังไม่ดึก เพิ่งจะพ้นเวลาอาหารเย็นไม่นาน ใต้เท้าเจ้าสำนักไปที่ห้องของอวิ๋นจู ฟู่เสวี่ยเยียนไปเข้าห้องน้ำ เหลือสาวใช้อยู่ในห้องเพียงคนเดียว
ปิงเอ๋อร์ตั้งใจจะมาเอ่ยขอบคุณฟู่เสวี่ยเยียน นางเดินมาถึงประตู เห็นประตูงับปิดไม่สนิทจึงเคาะเบาๆ “ท่านพี่ ข้าเอง ข้าเข้าไปนะเจ้าคะ”โ
ภายในห้องไม่มีคนตอบรับ มีเพียงเสียงร้องไห้อันอ่อนแรงของมู่เหยียนตัวน้อยดังออกมา
ปิงเอ๋อร์รีบผลักประตูเดินเข้าไป แล้วเปิดม่านเข้าไปในห้อง นางเห็นมู่เหยียนตัวน้อยนอนอยู่บนเตียงเพียงลำพัง นางร้องไห้เหมือนใจจะขาด แต่สาวใช้ด้านข้างกลับยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเหมือนหุ่นไม้ตัวหนึ่ง
ปิงเอ๋อร์ขมวดคิ้ว เอ็ดเสียงเบา “นายท่านตัวน้อยร้องไห้แล้วเจ้าไม่ได้ยินหรือไร ให้เจ้ามายืนเหม่อในห้องหรือ”
ในที่สุดสาวใช้คนนั้นก็ถูกต่อว่าจนขยับตัว แต่นางขยับเชื่องช้ามาก
ปิงเอ๋อร์ขัดใจความอืดอาดของนาง จึงเดินตรงเข้ามาอุ้มมู่เหยียนตัวน้อยเอง มู่เหยียนตัวน้อยร้องไห้สะอึกสะอื้นจนหายใจไม่ทัน
ปิงเอ๋อร์กล่อมนางเสียงอ่อนโยน “มู่เหยียนเป็นเด็กดีนะ ไม่ร้อง ท่านน้าดูซิว่าเจ้าฉี่หรือเปล่า”
นางพูดพลางก็วางมู่เหยียนกลับไปบนเตียงแล้วเปิดผ้าอ้อมออกดู ฉี่จริงๆ เสียด้วย
นางหันกลับไปจะหยิบผ้าอ้อม
ทว่านางเพิ่งจะขยับตัว สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างก็ขยับตัวเช่นกัน
นางคิดว่าสาวใช้กำลังจะไปปลอบมู่เหยียนน้อยจึงไม่ทันใส่ใจ นางจดจ่ออยู่กับการไปเลือกผ้าอ้อมที่ย่างไฟอยู่บนราวเหนือเตาเครื่องหอม
สาวใช้ขยับเข้าไปใกล้มู่เหยียนตัวน้อย
มู่เหยียนน้อยร้องไห้หนักกว่าเดิม
เด็กคนนี้คลอดก่อนกำหนด เกิดมาร่างกายก็อ่อนแอ ร้องไห้มากเข้าก็สลบไม่ได้สติ
ปิงเอ๋อร์รีบหยิบผ้าอ้อมแล้วหันมามอง คำพูด ‘ทำไมเจ้ายังไม่อุ้มนางขึ้นมาอีก’ ยังไม่ทันหลุดจากปาก ก็เห็นสาวใช้ยื่นมืออันแข็งทื่อออกมา ทว่าท่าทางนั่นไม่เหมือนจะอุ้มเด็ก แต่เหมือนจะไปบีบคอเด็กมากกว่า
ปิงเอ๋อร์วิ่งพรวดเข้าไปกระชากสาวใช้ออกทันที “เจ้าจะทำอะไร!”
สาวใช้หันมามองปิงเอ๋อร์ด้วยดวงตาแดงก่ำเป็นสีโลหิต
ปิงเอ๋อร์รู้จักกับสาวใช้คนนี้มานานแล้ว ทว่าไม่เคยเห็นอีกฝ่ายมีสภาพน่ากลัวเช่นนี้มาก่อน หัวใจของปิงเอ๋อร์กระตุกวูบทันที นางอุ้มมู่เหยียนตัวน้อยที่แผดเสียงร้องไห้จ้าขึ้นมา จากนั้นวิ่งออกไปจากห้องประหนึ่งพบศัตรูตัวฉกาจ
ทว่าสถานการณ์ด้านนอกก็ไม่ดีกว่าด้านในห้องไปถึงไหน
แม่ครัวคนหนึ่งยืนอยู่ตรงทางเดิน ในมือของแม่ครัวถือมีดหั่นผักเล่มหนึ่ง แววตาของนางดูเหมือนคนตายไม่มีผิด
ปิงเอ๋อร์หวาดผวา นางกอดมู่เหยียนตัวน้อยไว้ในอ้อมแขนแน่นแล้วหมุนตัววิ่งไปทางด้านขวา
ทว่าทางด้านขวาก็มีคนยืนอยู่คนหนึ่งเช่นกัน นางคือแม่เฒ่าผู้ทำหน้าที่เฝ้าประตู ดวงตาของนางแดงก่ำ หน้าผากดำคล้ำ ริมฝีปากเป็นสีม่วงคล้ำ นางดักขวางทางหนีของปิงเอ๋อร์เอาไว้
ปิงเอ๋อร์ร้องตะโกนเสียงหลง “ใครก็ได้ช่วยด้วยยยย”
แสงสีขาวสายหนึ่งพุ่งวาบเข้ามา หนึ่งกรงเล็บตบแม่เฒ่าที่เฝ้าประตูจนตัวปลิว
ต้าไป๋กระโดดขึ้นมาเหยียบแม่เฒ่าผู้ทำหน้าที่เฝ้าประตูไว้กับพื้น
ไม่นานเสี่ยวไป๋กับจูเอ๋อร์ก็พุ่งเข้ามาด้วย
เสียงดังเอะอะเรียกพวกอวิ๋นจูให้รู้สึกตัว
พวกเขาเดินออกมาจากห้องของตนอย่างว่องไว ใต้เท้าเจ้าสำนักมองแวบแรกก็เห็นคุณหนูน้อยของบ้านตนเองในอ้อมแขนของปิงเอ๋อร์ เขารีบเดินเข้ามารับบุตรสาวทันที
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับไห่สือซานได้ยินเสียงเอะอะก็ออกมาจากห้อง พวกเขาเห็นในลานเรือนมีคนมากมายดำทะมึนกำลังสู้โรมรันพันตูอยู่กับเจ้าตัวจ้อยทั้งสามตัว
“ท่านแม่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือขอรับ” จิ่งอวิ๋นถาม
เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองคนยังไม่นอน ต้าไป๋ เสี่ยวไป๋กับจูเอ๋อร์จู่ๆ ก็พุ่งออกไป พวกเขาจึงตามมาด้วย
เฉียวเวยหมุนตัวกลับมายัดทั้งสองคนเข้าไปในห้อง “ไม่มีอะไร พวกเจ้าอย่าเพิ่งออกมา”
ทั้งสองคนเข้าไปในห้องอย่างเชื่อฟัง
เฉียวเวยลากปิงเอ๋อร์กับใต้เท้าเจ้าสำนักที่อุ้มลูกสาวอยู่เข้าไปด้วย