หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 33-2 จิ่งอวิ๋นกับเขตต้องห้าม
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 33-2 จิ่งอวิ๋นกับเขตต้องห้าม
ตอนที่ 33-2 จิ่งอวิ๋นกับเขตต้องห้าม
ไม่นานฟู่เสวี่ยเยียนก็กลับมาจากห้องน้ำ เมื่อนางเห็นการต่อสู้อันชุลมุนนี้ หัวใจก็เย็นวาบ แต่เฉียวเวยปลอบว่า “มู่เหยียนกับหมิงเยี่ยไม่เป็นอะไร ปิงเอ๋อร์ก็ไม่เป็นอะไรเหมือนกัน”
ฟู่เสวี่ยเยียนมองบ่าวรับใช้ทั้งหลายที่เห็นชัดว่าสภาพไม่ค่อยปกตินักอย่างฉงนงงงวย “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เหตุไฉนพวกนางแต่ละคนถึงได้…”
แต่ละคนถึงกลายเป็นร่างพิษไปเสียแล้ว
เฉียวเวยเอ่ยเสียงเย็นชา “ดูท่า เมื่อวานพวกเขาคงไม่ได้มาเพียงเพื่อราชันอสูรเท่านั้น แต่พวกเขาคิดจะเปลี่ยนคนที่นี่ทั้งหมดให้กลายเป็นร่างพิษด้วย”
หากพวกเขากลายเป็นร่างพิษกันหมดโดยที่พวกเขาไม่รู้เรื่องรู้ราวสักนิด โอกาสที่เด็กน้อยบริสุทธิ์เหล่านี้จะถูกทำร้ายก็ย่อมมากขึ้นด้วย
ช่างเป็นแผนการเจ้าเล่ห์ที่โหดเหี้ยมยิ่งนักจริงๆ!
เฉียวเวยกำหมัด “ต้องเป็นโจรเฒ่าเย่ว์หวาแน่ นอกจากเขา ข้าก็คิดไม่ออกแล้วว่ายังจะมีใครที่โหดเหี้ยมเช่นนี้อีก!”
บ่าวรับใช้เหล่านี้ล้วนเป็นคนบริสุทธิ์ หากจะสังหารพวกเขาเพียงเพราะต้องพิษย่อมเป็นเรื่องโหดร้ายเกินไป
เฉียวเวยปลุกราชันอสูรที่แสร้งนอนหลับอยู่บนเตียงขึ้นมา
ราชันอสูรออกไปกิน ‘ผักเน่า’ อย่างไม่ใคร่จะยินยอม
“โอ้ย แย่แล้วๆ!” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยออกไปสำรวจตรวจตรามารอบหนึ่งก็กลับเข้ามาพร้อมกับสีหน้าตื่นตระหนก “คนมากมายในจวนอ๋องกลายเป็นร่างพิษไปแล้ว! พวกเขากำลังแห่กันมาด้านนี้ เรือนฟางชุ่ยหยวนคงป้องกันไว้ไม่ได้แน่!”
อวิ๋นจูบอกเฉียวเวยกับฟู่เสวี่ยเยียนว่า “พวกเจ้าพาคนหนีไปก่อน”
ทั้งสองคนพยักหน้าแล้วเข้าไปในห้อง แต่ละคนอุ้มเด็กๆ ขึ้นมาจากนั้นก็ให้ปิงเอ๋อร์ไปเรียกฮองเฮาเยี่ยหลัวโ
เฉียวเวยยัดจิ่งอวิ๋นใส่อ้อมแขนของฮองเฮาเยี่ยหลัว “ข้าจะไปเรียกท่านพ่อของข้ากับแม่ทัพน้อยมู่ พวกท่านหาเรือนสักหลังซ่อนตัวไว้ก่อน!”
พวกเขาออกไปทางประตูด้านหลัง
เฉียวเจิงเพิ่งจะเผาห้องยาไปห้องหนึ่ง เขากำลังเก็บกวาดซากปรักหักพังอยู่ก็เห็นลูกสาวของตนเองวิ่งพรวดเข้ามา เขาไอค่อกแค่กถามว่า “เจ้ามาทำอะไรหรือ รีบออกไปๆ”
เฉียวเวยบอกว่า “ที่นี่ไม่ปลอดภัยแล้ว ท่านไปกับข้าก่อน!”
“อ๋า” เฉียวเจิงงุนงง
สาวใช้ที่คอยทำหน้าที่ปัดกวาดคนหนึ่งก้าวเข้ามาพร้อมกับสีหน้าดุร้าย
เฉียวเวยถีบทีเดียวส่งนางลงไปในโอ่งน้ำ จากนั้นนางก็จูงมือเฉียวเจิงลากเขาออกมาจากห้องยา จากนั้นพุ่งเข้าไปในห้องของแม่ทัพน้อยมู่กับศิษย์พี่รอง คว้าคนไว้มือละคนแล้ววิ่งออกมา
ร่างพิษในเรือนมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ประตูหลังก็ถูกขวางเอาไว้แล้ว
“ปีนกำแพงกันเถอะ” เฉียวเวยบอก
“หา”
เฉียวเจิงยังเรียกสติกลับมาไม่ทัน ก็ถูกเฉียวเวยโยนออกไปนอกกำแพงแล้ว
เฉียวเจิงนอนแปะอยู่บนกองหิมะ ถ่มน้ำแข็งคำหนึ่งออกมาจากปาก เขาจะต้องเป็นบิดาคนแรกที่ถูกลูกสาวโยนออกจากบ้านอย่างแน่นอน…
เฉียวเวยโยนแม่ทัพน้อยมู่กับศิษย์พี่รองออกไปต่อ หลังจากนั้นตนเองก็ปีนข้ามกำแพงมาด้วย ก่อนที่ร่างพิษจะแห่เข้ามา นางก็พาทั้งสองคนกับเฉียวเจิงตามไปยังเรือนน้อยที่พวกฟู่เสวี่ยเยียนซ่อนตัวอยู่
ระยะทางระหว่างเรือนหลังนั้นกับเรืองฟางชุ่ยหยวนนับว่าไม่ไกลกันนัก ระหว่างทางกั้นกลางด้วยสะพานไม้น้อยอันหนึ่ง ด้านล่างคือสระน้ำอันเย็นยะเยือกที่มนุษย์สร้างขึ้น หากรื้อสะพานออก ร่างพิษพวกนั้นก็ตามไปไม่ได้แล้ว
เฉียวเวยถือขวานติดมือมาเล่มหนึ่งเพื่อรื้อสะพานไม้
เด็กน้อยสองคนเบิกดวงตากลมโตอันไร้เดียงสา พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดจึงต้องมาหลบอยู่ที่นี่
ฟู่เสวี่ยเยียนลูบศีรษะของทั้งสองคนจากนั้นจึงปูเตียงให้ทั้งสองคนกับน้องสาวตัวน้อยมานอนบนฟูกเตียงนุ่มนิ่ม แล้วบอกเสียงเบา “นอนเถิด ในเรือนมีข้าวของบางชิ้นพังแล้ว ต้องรอซ่อมเสร็จก่อนถึงจะกลับไปได้”
ข้ออ้างคุณภาพต่ำเช่นนี้ก็จัดการวั่งซูอยู่หมัดแล้ว
วั่งซูไม่เลือกที่นอน อยู่ที่ไหนนางก็นอนได้ทั้งนั้น นางอ้าปากหาววอดกอดน้องสาวตัวน้อยหลับปุ๋ยไปแล้ว
ฝ่ายจิ่งอวิ๋นพลิกตัวหันไปทางด้านในของเตียงพลางฟังเสียงขวานที่ฟันสะพานไม้ เขาไม่มีความง่วงสักนิด
เมื่อฟู่เสวี่ยเยียนกับเฉียวเจิงไปจัดการที่หลับที่นอนให้คนที่เหลือ จิ่งอวิ๋นก็ลุกขึ้นมานั่งอย่างช้าๆ ด้านนอกมีเสียงพวกผู้ใหญ่พูดคุยกัน มีเสียงของฟู่เสวี่ยเยียน มีเสียงของท่านอารอง แล้วก็มีเสียงของท่านตา
มือน้อยๆ กับฝ่าเท้าน้อยๆ ของจิ่งอวิ๋นพาเขามาเปิดบานประตู ก่อนที่ศีรษะน้อยๆ กลมดิกของเขาจะยื่นออกมาชะเง้อซ้ายชะเง้อขวา เมื่อไม่เห็นเงาคนจึงเดินออกไปอย่างเงียบเชียบ
เขามองเห็นเงาร่างอันเดียวดายของมารดากำลังเหวี่ยงขวานฟันสะพานไม้ทีละหนอยู่ไกลๆ
ปลายจมูกของเขาแสบเคือง
เขาอยากเติบใหญ่ อยากจะให้มารดาไม่ต้องลำบากเช่นนี้อีกต่อไป
เขาก้าวขาน้อยๆ วิ่งไปหาเฉียวเวย ทว่าเพิ่งวิ่งออกไปได้ไม่กี่ก้าว เท้าก็เหยียบลงบนความว่างเปล่าก่อนจะพลัดตกลงไปในหลุมแห่งหนึ่ง
ปัง! เสียงบางอย่างปิดลง
เขายกมือขึ้นไปผลัก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ผลักไม่ขยับ
ไม่นานก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา
“ที่นี่หรือ”
“ใช่แล้ว”
“เปิดประตู”
“เฮ้อ ได้!”
บุรุษสองคนเดินเข้ามายกหีบใบแล้วใบเล่าออกไป หนึ่งในหีบเหล่านั้นมีหีบที่จิ่งอวิ๋นหล่นลงมาอยู่ด้วย
จิ่งอวิ๋นกำหมัดน้อยแน่น ไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมาทั้งสิ้น
หีบถูกวางบนรถม้าคันหนึ่ง รถม้าแล่นไปได้ระยะหนึ่งก็เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาหลายหนจนจิ่งอวิ๋นเวียนศีรษะ ในที่สุดก็จอดลงในสถานที่ที่ไม่รู้ว่าสภาพเป็นอย่างไรแห่งหนึ่ง
หนึ่งในบุรุษสองคนที่ยกหีบมาเมื่อครู่เอ่ยปากขึ้นว่า “เรียนท่านประมุข นี่คือสิ่งที่นายท่านของตระกูลเรานำมาแสดงความเคารพต่อท่าน หวังว่าท่านจะยอมรับเอาไว้”
บุรุษผู้นั้นมองหีบทั้งหลายผ่านๆ จากนั้นจึงหัวเราะอย่างพึงพอใจ “ของข้าจะรับเอาไว้ พวกเจ้ากลับไปเถิด”
“ขอรับ!”
ทั้งสองคนจากไปแล้ว
ประมุขเย่ว์หวาสั่งให้ลูกน้องขนหีบขึ้นรถม้า จากนั้นจึงเดินกับไปที่รถม้าอีกคันหนึ่ง แล้วเอ่ยกับคนที่อยู่บนรถว่า “เจ้าลัทธิน้อย ของมาถึงมือแล้ว เพียงแต่ล้วนเป็นของธรรมดาสามัญไปบ้าง”
ยิ่นอ๋องเอ่ยตอบเรียบๆ “ของธรรมดาสามัญก็ส่วนธรรมดาสามัญ น้ำใจส่งมาถึงก็พอแล้ว”
จิ่งอวิ๋นได้ยินเสียงอันคุ้นเคยเสียงนี้ก็ตกใจจนดวงตาเบิกโต
“สถานการณ์ที่จวนอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง” ยิ่นอ๋องถามต่อ
ประมุขเย่ว์หวายิ้มเยาะหยัน “วุ่นวายจนเละเป็นโจ๊กแล้ว หนนี้พวกเขาไม่ตายก็ต้องเสียงหนังสักชั้นหนึ่ง”ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
ยิ่นอ๋องอ้าปาก แต่ไม่พูดคำใดออกมา
ประมุขเย่ว์หวามองเขา “เจ้าลัทธิน้อยตัดใจไม่ลงหรือไร”
ยิ่นอ๋องตอบกลับด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เปล่า เพียงแต่เรื่องนี้เจ้าควรหารือกับข้าก่อน ข้าไม่ต้องการเห็นผู้ใดตัดสินใจโดยพลการอีก”
ประมุขเย่ว์หวาหลุบตาลง เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มน้อยๆ “ข้าผิดเองที่บุ่มบ่าม หนหน้าจะต้องขอคำชี้แนะจากเจ้าลัทธิน้อยก่อนค่อยวางแผนการอย่างแน่นอน”
“อืม” ยิ่นอ๋องขานรับเรียบๆ “กลับกันเถิด”
ประมุขเย่ว์หวาโบกมือ สารถีสะบัดแส้ม้า รถม้าเคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้า
การเดินทางไปลัทธิศักดิ์สิทธิ์หนนี้เส้นทางยาวไกล อีกทั้งยังเป็นยามค่ำคืน เมื่อคณะเดินทางมาถึงลัทธิศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นเวลาหลังเที่ยงคืนแล้ว
หิมะห่าใหญ่หยุดตกแล้ว ทั่วทั้งลัทธิศักดิ์สิทธิ์เงียบสงัด ศิษย์กับนักรบมรณะที่คอยลาดตระเวนไม่ทำให้เกิดเสียงดังเอะอะอันใด
ยิ่นอ๋องกับประมุขเย่ว์หวาลงจากรถม้า
ประมุขเย่ว์หวาถามอย่างเกรงอกเกรงใจ “เจ้าลัทธิน้อยกลับไปพักผ่อนที่ตำหนักบรรทมก่อนเถิด ข้าจะไปจัดการข้าวของนิดหน่อย”
ยิ่นอ๋องมองไปทางเกาะอิ๋นหู “บนเกาะนั้นมีผู้ใดอาศัยอยู่กันแน่”
แววตาของเย่ว์หวาสั่นไหว แล้วยิ้มอย่างไม่เผยสีหน้าอะไรทั้งสิ้น “แค่ศิษย์หญิงไม่กี่คนเท่านั้น”
ยิ่นอ๋องถามด้วยท่าทางนิ่งสงบ “ข้าไปดูได้หรือไม่”
เย่ว์หวาตอบว่า “เจ้าลัทธิมีคำสั่งว่า…”
ยิ่นอ๋องเอ่ยขัดเขา “อนาคตเจ้าลัทธิก็คือข้า ไม่ใช่หรือ”
เย่ว์หวาไม่คุ้นชินกับการถูกเจ้าหนูที่ขนยังไม่ทันขึ้นคนหนึ่งเหยียดหยามเช่นนี้ มุมปากของเขาเบ้ออก ก่อนจะเค้นรอยยิ้มน้อยๆ ออกมา “หากเจ้าลัทธิน้อยต้องการไป เย่ว์หวาก็จะไปเป็นเพื่อนเจ้าลัทธิน้อย ได้อัญมณีจำนวนหนึ่งมาพอดี ถือเสียว่าเจ้าลัทธิน้อยมอบเป็นของกำนัลให้แก่พวกนางก็แล้วกัน”
ยิ่นอ๋องไม่เอ่ยตอบ สีหน้าท่าทางเย่อหยิ่งของเขาทำให้เย่ว์หวาอึดอัดคับข้องใจอย่างยิ่ง
เย่ว์หวาสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วปั้นสีหน้าเย็นชาเรียกคนเรือมา
คนเรือเตรียมเรือพร้อมแล้วก็ขนหีบหลายใบไปขึ้นเรือด้วยกันกับลูกศิษย์
เหนือผิวทะเลสาบมีน้ำแข็งลอยอยู่จำนวนหนึ่ง คนเรือพายเรืออย่างระมัดระวัง หลังจากผ่านไปหนึ่งเค่อกว่าก็มาถึงชายฝั่ง
เย่ว์หวาลงจากเรือมาก่อน จากนั้นจึงยื่นมือออกมาให้ยิ่นอ๋อง “เจ้าลัทธิน้อย”
ยิ่นอ๋องไม่สนใจมือที่ยื่นมาของเขา เขาขึ้นฝั่งไปด้วยตนเอง
เย่ว์หวาถูกทำให้เสียหน้าเช่นนี้ แววตาก็ยิ่งแค้นเคืองกว่าเดิม
คนเรือกับลูกศิษย์ขนหีบลงไป
แม่เฒ่าได้ยินเสียงก็สวมอาภรณ์ชั้นนอกเดินถือไม้เท้าออกมา “ผู้ใด กลางคืนดึกดื่นกล้าบุกรุกเกาะอิ๋นหู!”
เย่ว์หวายิ้มหยัน “เจ้าลัทธิน้อยมาเยือน อย่าโหวกเหวกโวยวาย”
แม่เฒ่ามองทั้งสองคนอย่างดุดัน “ประมุขเย่ว์หวาอยู่ที่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์มานานถึงเพียงนี้ ไม่รู้กฎของลัทธิศักดิ์สิทธิ์หรือไร ไม่มีคำสั่งของเจ้าลัทธิ ผู้ใดก็ห้ามบุกรุกเกาะอิ๋นหู!”
เย่ว์หวายิ้มอย่างชั่วร้าย “เจ้าลัทธิน้อยก็คือเจ้าลัทธิในอนาคต คำสั่งของเขาก็คือคำสั่งของเจ้าลัทธิ”
แม่เฒ่าแค่นเสียงหยัน “เหอะ คำพูดนี้รอเจ้าลัทธิน้อยได้นั่งบนตำแหน่งเจ้าลัทธิแล้วค่อยมาพูดกับยายแก่คนนี้เถอะ!”
เย่ว์หวาตอบอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “อย่าไม่รู้จักดีเลวนักเลย เจ้าลัทธิน้อยนำข้าวของมากำนัลพวกเจ้านะ”
สายตาของแม่เฒ่าเลื่อนไปจับบนหีบที่ลูกศิษย์กำลังขนมาเหล่านั้น แล้วเอ่ยอย่างไม่เกรงใจสักนิด “ยายแก่คนนี้ใช้ข้าวของจากด้านล่างภูเขาแล้วไม่ชิน เจ้าลัทธิน้อยขนกลับไปเถิด! เกาะอิ๋นหูไม่ใช่สถานที่ที่เจ้าลัทธิน้อยจะมาเยือนได้ เจ้าลัทธิน้อยรีบจากไปเสีย มิเช่นนั้น อย่าโทษว่ายายแก่คนนี้ล่วงเกินเบื้องสูง!”
ยิ่นอ๋องมองนางอย่างเย็นชา ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากตำหนิก็ได้ยินเสียงคนเรือร้องเฮ้ยดังขึ้นด้านหลัง
เรื่องมีอยู่ว่าเท้าของคนเรือไปสะดุดกับก้อนหินก้อนหนึ่ง เขาจึงเผลอปล่อยมือ หีบหล่นร่วงลงมา แม้ว่าเขาจะใช้หัวเข่ารองเอาไว้ได้ทันเวลาทว่าฝาหีบก็ยังถูกกระแทกจนเปิดออก
คนเรือเห็นเด็กน้อยที่นอนอยู่ด้านในก็ร้องออกมาด้วยความตกใจ
จิ่งอวิ๋นเห็นท่าไม่ดีแล้วจึงรีบปีนออกมาจากด้านในหีบ
ยิ่นอ๋องจำจิ่งอวิ๋นได้ในทันที นัยน์ตาของเขาหดวูบ!
เย่ว์หวาก็จำได้เช่นกัน เด็กน้อยที่หน้าตาเหมือนยิ่นอ๋องถึงเพียงนี้ นอกจากแม่ชีน้อยสามคนนั้นก็เห็นจะมีแต่ลูกชายของจีหมิงซิวกับจั๋วหม่าน้อยเท่านั้น
นี่ช่างสมกับคำพูดที่ว่าเดินหาจนรองเท้าเหล็กทะลุหาไม่พบ ยามได้มาไม่ต้องเปลืองแรงหาสักนิดจริงๆ!
เจ้าหนูคนนี้เหตุใดจึงมาโผล่อยู่ในหีบเหล่านี้ได้ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญก็คือ เขามีแต้มต่อที่จะเอาไปบีบอวิ๋นจูอีกหนึ่งอย่างแล้ว!
เย่ว์หวาเอื้ออมมืออกไปหาจิ่งอวิ๋น
ทว่าแม่เฒ่ากลับยื่นไม้เท้ามาขวางเขาเอาไว้
เย่ว์หวาสีหน้าเย็นยะเยือก “นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
แม่เฒ่าเอ่ยบอกด้วยสีหน้าจริงจัง “ที่นี่คือเกาะอิ๋นหู ไม่มีผู้ใดมาก่อเรื่องบนเกาะได้ทั้งนั้น! เด็กน้อยคนนี้มาปรากฏตัวบนเกาะของข้า จัดการเขาอย่างไร ข้าเป็นคนตัดสินใจ!”
เย่ว์หวามุ่งมั่นจะเอาตัวจิ่งอวิ๋นมาให้ได้ “ถ้าเช่นนั้นก็ต้องดูว่าเจ้ามีความสามารถนั้นหรือไม่!”
ทั้งสองคนเริ่มประมือกัน
เย่ว์หวาวรยุทธ์สูงส่ง แต่แม่เฒ่าก็ไม่ใช่ว่าจะหาเรื่องได้ง่ายๆ
ทั้งสองคนต่อสู้กันจนไม่มีใครผละออกมาได้
จิ่งอวิ๋นสับขาวิ่ง!
เย่ว์หวาตะโกนลั่น “เจ้าลัทธิน้อย! อย่าปล่อยให้เขาหนีไป! จับเขาได้ ตระกูลจีกับชนเผ่าลึกลับก็เป็นของท่านแล้ว!”
เขาออกคำสั่งคำเดียว ทุกคนก็พุ่งเข้าไปหาจิ่งอวิ๋น
ยิ่นอ๋องใช้วิชาตัวเบาเหินไปด้านหน้าของคนเรือกับศิษย์ สายตาน่าหวาดกลัวมองไปที่จิ่งอวิ๋น
จิ่งอวิ๋นถอยหลังทีละก้าว
ยิ่นอ๋องก็ก้าวเข้าไปใกล้ทีละก้าว
จิ่งอวิ๋นถูกต้อนถอยมาอยู่หน้าเสาหินอย่างรวดเร็ว
เย่ว์หวากับแม่เฒ่าหันกลับมาเห็นเด็กน้อยกำลังจะเดินไปถึงเสาหินด้านนั้น ก็ร้องออกมาอย่างตกใจพร้อมกัน “แย่แล้ว!”
ยิ่นอ๋องเอื้อมมือออกไปหาจิ่งอวิ๋น “มานี่”
จิ่งอวิ๋นมองเขาอย่างหวาดกลัวแล้วหันหลังกลับวิ่งผ่านเสาหินไป
เย่ว์หวากับแม่เฒ่าตาค้างพร้อมกันทันที เด็กคนนี้บ้าไปแล้วหรือ ดันวิ่งไปด้านในเขตต้องห้ามเสียแล้ว!
เขารู้หรือไม่ว่าด้านในเขตต้องห้ามขังผู้ใดเอาไว้อยู่!