หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 34-1 จิ่งอวิ๋นพบจักรพรรดิอสูร (1)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 34-1 จิ่งอวิ๋นพบจักรพรรดิอสูร (1)
ตอนที่ 34-1 จิ่งอวิ๋นพบจักรพรรดิอสูร (1)
ยิ่นอ๋องไม่รู้ว่านั่นเป็นเขตต้องห้ามหรือไม่ เมื่อเขาเห็นจิ่งอวิ๋นเข้าไปก็ยกเท้าจะก้าวตามเข้าไปด้วย แต่กลับถูกเย่ว์หวากับแม่เฒ่าที่ตามมาคว้าเอาไว้ได้ทันเวลา
แม่เฒ่าบอกว่า “เจ้าลัทธิน้อย ด้านหน้าเป็นเขตต้องห้าม ท่านเข้าไปไม่ได้!”
ยิ่นอ๋องขมวดคิ้ว “เหตุใดข้าเข้าไปไม่ได้ เจ้าบอกว่าเกาะอิ๋นหูเป็นเขตต้องห้าม ข้าขึ้นมาไม่ได้ แต่ข้าก็ขึ้นมาแล้ว ตอนนี้เจ้าบอกว่าด้านในต่างหากที่เป็นเขตต้องห้าม ข้าต้องเชื่อเจ้าหรือไม่เชื่อเจ้ากันแน่”
ประมุขเย่ว์หวาถอนหายใจ “เจ้าลัทธิน้อย นางไม่ได้โกหก ด้านในไม่ใช่สถานที่ที่พวกเราจะไปเยือนได้จริงๆ”
“เพราะเหตุใด” ยิ่นอ๋องจี้ถาม
ประมุขเย่ว์หวาปล่อยยิ่นอ๋อง แล้วมองทิศทางที่จิ่งอวิ๋นหายลับไป จากนั้นค่อยๆ เอ่ยช้าๆ ว่า “เจ้าลัทธิน้อยเพิ่งมาอยู่ที่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ไม่นาน คงยังไม่รู้ว่าบนเกาะแห่งนี้ความจริงแล้วคุมขังยอดฝีมือผู้หนึ่งอยู่ เมื่อนานมาแล้วจู่ๆ ยอดฝีมือผู้นี้ก็เลื่อนขั้นเป็นจักรพรรดิอสูร แต่น่าเสียดายเขาธาตุไฟเข้าแทรก สูญเสียสติสัมปชัญญะ แม้แต่ตนเองเป็นใครก็จำไม่ได้ ทุกคนที่เข้าใกล้เขาล้วนจะถูกเขามองเป็นศัตรูของตนเอง”
ยิ่นอ๋องเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “ในเมื่อเขาร้ายกาจถึงเพียงนั้น เหตุไฉนยังถูกคุมขังไว้ได้อีกเล่า”
เย่ว์หวาเหล่มองยิ่นอ๋องแล้วยิ้มจางๆ “เรื่องนี้เล่าแล้วยาวยิ่งนัก ยามนั้นเพื่อจับตัวเขาลัทธิศักดิ์สิทธิ์สูญเสียยอดฝีมือไปไม่รู้เท่าไร แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังสังหารเขาไม่ได้ ทำได้เพียงขังเขาไว้ใต้ผืนดิน ใช้ค่ายกลของลัทธิศักดิ์สิทธิ์กับ…”
“อะแฮ่ม!” แม่เฒ่ากระแอม
เย่ว์หวายิ้ม แล้วตัดจบอย่างแนบเนียน “คุกในเขตต้องห้ามแห่งนี้สะกดเขาเอาไว้”
ลางสังหรณ์บอกยิ่นอ๋องว่าคำพูดที่แต่เดิมเย่ว์หวาตั้งใจจะพูดไม่ใช่คำนี้ เขากับแม่เฒ่าปิดบังบางสิ่งอยู่ สิ่งที่สะกดจักรพรรดิอสูรไว้นอกจากค่ายกลยังมีสิ่งที่ขาดไม่ได้อยู่อีกหนึ่งอย่าง ทว่าของสิ่งนั้นคงไม่ใช่คุกของเขตต้องห้าม
แววตามืดครึ้มพาดผ่านดวงตาของยิ่นอ๋องไปชั่วพริบตา “หากเป็นตามที่เจ้าพูด เด็กน้อยคนนั้นวิ่งเข้าไปไฉนไม่เท่ากับว่าต้องตายแน่นอนแล้ว”
ริมฝีปากแดงของเย่ว์หวายกโค้ง ในดวงตาฉายแววสะใจวูบหนึ่ง “ตามหลักแล้วสมควรเป็นเช่นนั้น ยามที่จักรพรรดิอสูรถูกสะกดเขาบาดเจ็บหนักมาก แต่ไม่กี่ปีมานี้อาการบาดเจ็บของจักรพรรดิอสูรค่อยๆ หายดี เขตต้องห้ามใกล้จะขังเขาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป ข้าจำได้ว่าเมื่อหลายวันก่อนจักรพรรดิอสูรจู่ๆ ก็เคลื่อนไหวขึ้นมาหนหนึ่ง ข้าจำผิดหรือไม่ ผู้พิทักษ์เหลียน”
แม่เฒ่าไม่สนใจเขา
เย่ว์หวาเองก็ไม่โมโห ไม่ว่าอย่างไรเวลานี้เขาก็อารมณ์ดียิ่งนัก จับตัวเด็กคนนั้นได้เป็นๆ ย่อมมีคุณค่าให้ใช้ประโยชน์ แต่หากจับตัวไม่ได้ เขาก็ยินดีจะให้เด็กคนนั้นตายไปเสียดีกว่า ตอนนี้เด็กน้อยเข้าไปในเขตต้องห้าม มีโอกาสแปดเก้าในสิบส่วนที่เขาจะกลายเป็นวิญญาณคนตายใต้เงื้อมมือของจักรพรรดิอสูร ถึงเวลาเขาก็อยากดูซิว่าอวิ๋นจูคนนั้นจะเศร้าเสียใจหรือไม่!
สถานการณ์ในจวนมู่อ๋องสงบลงในที่สุด ร่างพิษไม่จู่โจมเรือนหลังที่เหลือ พวกเขาไล่ตามพวกอวิ๋นจูไปเพียงกลุ่มเดียว คิดว่าก่อนออกเดินทาง เย่ว์หวาคงจะลงแรงไม่น้อยเพื่อให้คนเหล่านี้จดจำกลิ่นอายของพวกเขา ร่างพิษจำนวนหนึ่งไล่ตามมาจนถึงนอกสระน้ำน้อย ทว่าสะพานไม้ไม่อยู่แล้ว พวกเขาข้ามแม่น้ำไม่ได้ จึงได้แต่มองจากบนฝั่งตาปริบๆ
ร่างพิษทั้งหมดถูกมัดเอาไว้ ก่อนจะถูกส่งไปที่ห้องของราชันอสูรทีละคน ราชันอสูรสูบไอพิษจากตัวพวกเขาอย่างรังเกียจ ไอพิษขั้นเริ่มต้นเหล่านี้สำหรับราชันอสูรขั้นหนึ่งอาจจะพอมีประโยชน์อยู่บ้างเล็กน้อย แต่สำหรับราชันอสูรผู้อยู่ที่ขอบสูงสุดของขั้นหกจนมีพลังเลยไปถึงขั้นเจ็ดแล้วคนนี้ มันเหมือนใบผักเน่าเสียยิ่งกว่าใบผักเน่าของจริงเสียอีก โ
ไห่สือซานกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยห้อยถุงฉี่ใบใหญ่สองถุงไว้ที่เอว เดินอาดๆ ลัดเลาะไปมาท่ามกลางหมู่ร่างพิษ
“ถึงเจ้าแล้ว เจ้า! เข้าไป!”
“คนต่อไปคือเจ้า!”
“เจ้า!”
“เจ้า!”
“เจ้า!”
ระหว่างที่ทั้งสองคนทุ่มเทเรี่ยวแรงจัดการเรื่องราวต่างๆ อยู่ทางด้านนี้ อีกด้านหนึ่งฟู่เสวี่ยเยียนก็ค้นพบว่าจิ่งอวิ๋นหายตัวไป
นางเพียงไปจัดการที่หลับที่นอนให้ศิษย์พี่รองกับท่านน้าเพียงครู่เดียวเท่านั้น พอกลับเข้ามาในห้องอีกครั้งบนเตียงก็เหลือเพียงมู่เหยียนน้อยกับวั่งซู นางรีบพาคนออกตามหา ค้นหาทุกซอกทุกมุมในเรือนจนแทบจะจับเรือนพลิกหงายขึ้นฟ้า แต่ก็ยังตามหาจิ่งอวิ๋นไม่พบ
นางไปที่ริมสระน้ำคว้ามือของเฉียวเวยมาบอกว่า “…จิ่งอวิ๋นหายไปแล้ว!”
ขวานในมือของเฉียวเวยหล่นโครมลงบนพื้น…
จิ่งอวิ๋นหายตัวไปหลังจากฟู่เสวี่ยเยียนเดินออกไป แต่ฟู่เสวี่ยเยียนผละออกไปเพียงไม่นานเท่านั้น ดังนั้นเขาน่าจะยังเดินไปไหนได้ไม่ไกล
เฉียวเวยจุดโคมไฟ แล้วให้ทุกคนในเรือนตามหารอยเท้าของจิ่งอวิ๋นบริเวณรอบๆ
หิมะหยุดตกนานแล้ว บนพื้นจึงมีรอยเท้าของคนไม่น้อยเดินผ่านไปมา ทุกคนทุ่มเทพละกำลังมากมายในที่สุดก็ตามหารอยเท้าของจิ่งอวิ๋นพบ พวกเขาตามรอยเท้าไปจนถึงด้านข้างภูเขาจำลองที่ดูเหมือนไม่มีสิ่งใดแปลกประหลาดลูกหนึ่ง รอยเท้าหายไปตรงนี้เอง
เฉียวเจิง เฉียวเวยกับฟู่เสวี่ยเยียนตามรอยมาจนพบสิ่งนี้ ทั้งสามคนล้วนเป็นคนรอบคอบอย่างที่สุด เมื่อเห็นรอยเท้าหายไปก็รู้สึกถึงความผิดปกติทันที พวกเขารีบหยุดฝีเท้า
ฟู่เสวี่ยเยียนเรียกผ้าแพรสีขาวออกมาซัดเข้าใส่พื้นดินอย่างรุนแรงทันที ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงทึบๆ เสียงหนึ่ง ใต้ผืนหิมะมีบางสิ่งแข็งๆ ซ่อนอยู่
ฟู่เสวี่ยเยียนเพ่งสายตาดู “แผ่นไม้เลื่อน ด้านล่างมีอุโมงค์”
ฟู่เสวี่ยเยียนกระโดดลงไปในอุโมงค์ จากนั้นค้นหาด้านล่างอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่พบร่องรอยของจิ่งอวิ๋น
เรื่องนี้แปลกพิกล รอยเท้าหายไปตรงนี้ บ่งบอกว่าเขามาถึงตรงนี้จริงๆ เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเขาจะเหยียบถูกแผ่นไม้เลื่อนจนพลัดตกลงมา ร่างกายเล็กจ้อยของจิ่งอวิ๋นหากตกลงมาไม่น่าจะมีโอกาสปีนขึ้นไปได้
เฉียวเจิงจุดโคมไฟมองรอบด้าน แล้วถามอย่างประหลาดใจ “หรือจะมียอดดฝีมือในยุทธภพสักคนลักพาตัวจิ่งอวิ๋นไป”
นี่ก็ดูคล้ายสิ่งที่โจรเฒ่าเย่ว์หวาจะทำจริงๆ ฝั่งหนึ่งใช้ร่างพิษดึงกำลังรบของพวกเขาเอาไว้ ส่วนอีกฝั่งหนึ่งก็ลอบเข้ามาในจวนอ๋องอย่างเงียบเชียบแล้วลักพาตัวจิ่งอวิ๋นไป หากจิ่งอวิ๋นตกอยู่ในมือโจรเฒ่าเย่ว์หวา…
มือของเฉียวเวยกำหมัดดังกรอด
“เดี๋ยวก่อน” เสียงฟู่เสวี่ยเยียนดังขึ้นในอุโมงค์ “ตรงนี้มีทางเดินเส้นหนึ่ง”
ฟู่เสวี่ยเยียนเดินตามอุโมงค์ทางเดินไปจนสุดเส้นทาง ไม่นานก็โผล่มาที่บ่อน้ำแห้งขอดแห่งหนึ่งห่างออกไปทางเหนือห้าจั้งจากภูเขาจำลอง นางปีนขึ้นไปจากบ่อน้ำแห้ง ปากบ่อมีตาข่ายและอุปกรณ์สำหรับยกของหนักอยู่ ส่วนนอกบ่อน้ำพบรอยเท้าใหม่จำนวนหนึ่ง
รอยเท้านี่เริ่มแรกยังเห็นชัด แต่ไม่นานมันก็เดินมาถึงหินปูพื้นของจวนอ๋อง บนแผ่นหินของทางเดินไม่มีหิมะกองอยู่ เงื่อนงำจึงถูกตัดขาด
เฉียวเวยครุ่นคิด จากนั้นจึงให้อินทรีทองไปรับเจ้าตัวจ้อยทั้งสามตัวมา
เจ้าตัวจ้อยทั้งสามดมกลิ่นจากรองเท้า จากนั้นก็ตามหาสถานที่ที่คนกลุ่มนั้นมุ่งไปพบ พวกหนึ่งไปด้านนอกจวนอ๋อง พวกหนึ่งอยู่ที่เรือนพักของเด็กรับใช้ด้านหลังจวน
เฉียวเวยลากตัวเด็กรับใช้สองคนออกมา
เด็กรับใช้สองคนเพิ่งขนหีบหนักๆ เหล่านั้นเสร็จ พวกเขาจึงเหน็ดเหนื่อยอย่างยิ่ง ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงได้ก็หลับไป คิดไม่ถึงว่าจะถูกคนหิ้วคอออกมาอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว
ทั้งสองคนกำลังจะสาดโทสะ ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นพบดวงตาราวกับอยากจะกินคนของเฉียวเวย เสียงครางก็ออกมาจากลำคอพร้อมกัน
เฉียวเวยมองพวกเขาอย่างเย็นชา แล้วเปิดปากถามเข้าประเด็นทันที “ลูกชายข้าอยู่ที่ใด”
ฟู่เสวี่ยเยียนใช้ภาษาเยี่ยหลัวถาม “ลูกชายของจั๋วหม่าน้อยอยู่ที่ใด”ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
ทั้งสองคนมึนงง ลูกชายอะไร ไม่รู้ ไม่เห็นสักหน่อย!
ฟู่เสวี่ยเยียนสีหน้าเย็นยะเยือกถามต่อว่า “หากกล้าโกหกแม้แต่ครึ่งคำ ข้าจะตัดนิ้วของพวกเจ้าออกมาทีละนิ้ว!”
ทั้งสองคนทิ้งตัวลงไปคุกเข่าบนพื้น
“พวกข้าไม่เห็นลูกชายของจั๋วหม่าน้อยเลยจริงๆ นะขอรับ!”
“ใช่ขอรับ คุณหนู พวกข้าไม่เห็นใครเลยจริงๆ!”