หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 34-2 จิ่งอวิ๋นพบจักรพรรดิอสูร (1)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 34-2 จิ่งอวิ๋นพบจักรพรรดิอสูร (1)
ตอนที่ 34-2 จิ่งอวิ๋นพบจักรพรรดิอสูร (1)
มีดสั้นของฟู่เสวี่ยเยียนจรดบนลำคอของคนหนึ่งในนั้น “ไม่เห็นหรือ ถ้าอย่างนั้นของในบ่อน้ำนั่นเอาไว้ใช้ทำอะไร อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าดึกดื่นพวกเจ้าแอบออกไปข้างนอกมาหนหนึ่ง พวกเจ้าไปทำอะไรมา”
ทั้งสองคนหวาดกลัวจนตัวสั่นแต่กัดฟันแน่น ไม่กล้าตอบ
ฟู่เสวี่ยเยียนเฉือนใบหูของคนผู้นั้นทิ้งในพริบตา!
คนผู้นั้นกรีดร้องโหยหวนฟุบลงไปที่พื้น
สหายของเขาหวาดกลัวจนแทบบ้า ทั้งตัวสั่นระริกฟุบหมอบลงไปบนพื้น “คุณหนูไว้ชีวิตด้วย! คุณหนูไว้ชีวิตด้วย!”
มีดสั้นของฟู่เสวี่ยเยียนจ่อไปที่ใบหูของเขา “ตอบมาตามตรง ลูกชายของจั๋วหม่าน้อยไปที่ใดแล้ว”
เด็กรับใช้คนนี้ไม่อยากถูกตัดหู เขาตัวสั่นเทาสารภาพทุกอย่างออกไป “…พวกเราไม่เห็นลูกชายของจั๋วหม่าน้อยจริงๆ…พวกเราเพียง…ส่งของไปให้คนผู้หนึ่งตามคำสั่งของคุณชายเท่านั้น”
“เขาพูดว่าอะไร” เฉียวเวยถาม
ฟู่เสวี่ยเยียนถ่ายทอดคำพูดของเขาให้เฉียวเวยฟังอย่างไม่ตกหล่นสักคำ
แววตาของเฉียวเวยวูบไหว ถามอย่างคลางแคลงว่า “นอกจากซื่อจื่อ พวกเจ้ายังมีคุณชายคนอื่นอีกหรือ”
เด็กรับใช้ส่ายหน้า
เฉียวเวยกับฟู่เสวี่ยเยียนแลกสายตากัน ต่างฝ่ายต่างมองเห็นความฉงนงงงวยอันไม่ธรรมดาในดวงตาของอีกฝ่าย มู่ชิวหยางอยู่ในมือของพวกเขาแท้ๆ แล้วจะมาสั่งบ่าวรับใช้ในจวนอ๋องให้ส่งของให้ผู้อื่นได้อย่างไรเล่า
เฉียวเวยส่งสายตาเป็นนัย
ฟู่เสวี่ยเยียนจึงถามว่า “เขามาสั่งเจ้าเมื่อใด”ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
เด็กรับใช้ตอบอย่างหวาดกลัว “เมื่อหลายวันก่อนขอรับ!”
ระหว่างที่สอบสวนอยู่ เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็ใช้วิชาตัวเบาเหินข้ามสระน้ำมาถึงสถานที่ที่ทั้งสองคนสอบสวนเด็กรับใช้อยู่ เขาบอกด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย “จูสือมา”
จูสือคือชาวฮั่นที่พวกเขาพบเจอในเผ่าซยงหนีว์ เขาเคยเก็บจิ่งอวิ๋นได้ ต่อมาก็เดินทางไปยังเมืองเหยาสุ่ยที่อยู่ใกล้กับเมืองเยี่ยเหลียงด้วยกันกับจีอู๋ซวง มู่ชิวหยางถูกขังอยู่ที่นั่น
คนที่รู้เรื่องนี้มีไม่มาก หากจูสือไม่ถึงคราวจำเป็นจริงๆ ย่อมไม่มีทางติดต่อกับพวกเขาก่อน
เฉียวเวยไปพบจูสือที่โถงบุปผา
จูสือหวดแส้ควบม้าเดินทางฝ่าพายุหิมะมาเต็มกำลัง แม้แต่บนขนคิ้วก็มีน้ำแข็งจับอยู่ ใบหูของเขาหนาวจนแดงก่ำ ฟันกระทบกันกึกๆ พวงแก้มกับริมฝีปากแข็งจนแม้แต่จะพูดจาก็ยังลำบาก
เฉียวเวยเห็นสภาพเขาเป็นเช่นนี้ ในใจก็เดาได้ครึ่งหนึ่งแล้ว “เกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นหรือ”
จูสือพยักหน้า ใบหน้าหนาวจนแข็ง จากนั้นใช้เสียงที่พูดไม่คล่องนักตอบว่า “มู่ชิวหยาง…หนีไปแล้ว”
ไม่เพียงหนีไปแล้ว แต่ยังทำร้ายจีอู๋ซวงจนบาดเจ็บอีกด้วย จูสือแสร้งสลบจึงหนีพ้นภัยมาได้ หลังจากนั้นเขาจึงเอาป้ายคำสั่งที่ตัวจีอู๋ซวงมาแจ้งข่าวที่จวนมู่อ๋อง
เฉียวเวยแค่นเสียงหยัน “เกรงว่าคงไม่ใช่เขาหนีไปได้ แต่คนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ตามหาเขาเจอมากกว่า”
ฟู่เสวี่ยเยียนเห็นด้วยอย่างยิ่ง มู่ชิวหยางถูกขังอยู่ในคุก ส่วนจีอู๋ซวงก็เป็นยอดฝีมือในด้านการใช้พิษ ใส่ยาพิษอะไรให้สักหน่อยก็กักตัวเขาไว้ได้แล้ว หากไม่มีกำลังเสริมจากข้างนอก มู่ชิวหยางไม่มีทางหนีไปได้อย่างแน่นอน
เมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ เฉียวเวยก็ถามฟู่เสวี่ยเยียน “เด็กรับใช้คนนั้นบอกว่ามู่ชิวหยางสั่งให้พวกเขาส่งของบางอย่างให้ประมุขคนหนึ่ง ประมุขคนไหนหรือ”
ฟู่เสวี่ยเยียนตอบว่า “เย่ว์หวา”
เฉียวเวยกัดฟัน “โจรเฒ่าคนนี้ แทรกซึมเข้ามาได้ทุกช่องโหว่จริงๆ!”
ฟู่เสวี่ยเยียนครุ่นคิดแล้วบอกว่า “เขาเข้าร่วมกับลัทธิศักดิ์สิทธิ์ก็เท่ากับทรยศเยี่ยหลัว ทรยศจวนอ๋องแล้ว เขาคงกำลังเป็นวัวสันหลังหวะอยู่ ภายในเวลาสั้นๆ น่าจะไม่กลับมาอย่างสง่าผ่าเผย”
เฉียวเวยว่าอย่างไม่ใส่ใจ “ถ้าเช่นนั้นก็ให้เขาซ่อนตัวไป ดูซิว่าเขาจะซ่อนตัวได้นานเท่าไร ลัทธิศักดิ์สิทธิ์มีสุนัขเพิ่มขึ้นมาตัวหนึ่งก็ไม่ได้มีอะไรเพิ่มมากนัก มีสุนัขน้อยลงตัวหนึ่งก็ไม่ได้มีอะไรลดลงเท่าไร ปล่อยเขาไปเถิด รอถึงวันที่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ล่มสลาย ก็แค่มีศีรษะคนที่ต้องเด็ดเพิ่มอีกหนึ่งหัวเท่านั้น”โ
ฟู่เสวี่ยเยียนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ตามหาจิ่งอวิ๋นก่อนเถิด”
…
ณ เกาะอิ๋นหู พวกยิ่นอ๋องยังไม่ไปจากที่นั่น แต่รอคอยอยู่นอกเสาหิน ตามหลักแล้วจิ่งอวิ๋นเข้าไปนานขนาดนี้ก็น่าจะพบสัตว์ประหลาดตนนั้นแล้ว แต่เหตุไฉนจึงไม่ได้ยินเสียงเด็กน้อยกรีดร้องดังขึ้นเลย
จิ่งอวิ๋นไม่รู้ว่าที่นี่คือสถานที่ที่ถูกเรียกว่าเขตต้องห้าม เขาเติบโตขึ้นมาบนภูเขา แล้วก็เคยอาศัยอยู่บนเกาะมาก่อน ดังนั้นสำหรับเขาแล้ว นอกจากรอบด้านที่เงียบสงัดไปสักหน่อย ที่แห่งนี้ก็เหมือนไม่มีสิ่งใดพิเศษ
เขาย่ำบนหิมะอย่างไม่ค่อยถนัดนัก ไม่รู้ว่าเดินมานานเท่าใด ในที่สุดเขาก็เห็นบ้านหลังน้อยหน้าตาประหลาดหลังหนึ่ง
มันเป็นรูปครึ่งวงกลมเหมือนชามข้าวที่คว่ำอยู่
หน้าบ้านหลังน้อยมีลานกว้างกับรูปสลักหินหลายชิ้นตั้งอยู่ บนลานกว้างมีหิมะกองทับถมเต็มไปหมด
เขาก้าวขาเล็กๆ เดินเข้าไป
เขามาถึงหน้าบ้านหลังน้อย ตัวบ้านสูงกว่าเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ประตูเล็กจนน่าตกใจ
เขาปาดหิมะที่เกาะบนบานประตูออก จากนั้นใช้กำปั้นน้อยๆ อันนุ่มนิ่มเคาะเบาๆ “มีคนอยู่หรือไม่ขอรับ”
ก้อนหินแข็งเกินไป เขาเคาะจนเริ่มเจ็บมือจึงเปลี่ยนมาเป็นการตบ ทว่าเพิ่งตบเพียงทีเดียว ประตูหินก็เปิดออก
ด้านในมีแสงสลัวๆ ลอดออกมา
จิ่งอวิ๋นมองเข้าไปด้านในอย่างสงสัยใคร่รู้ ห้องว่างเปล่า มีบันไดทอดยาว…
ไม่ว่าจะว่าอย่างไรก็ดีกว่าแข็งตายอยู่กลางหิมะ
จิ่งอวิ๋นมุดเข้าประตูหิน เดินลงไปตามบันไดที่ทอดวนลงไปด้านล่างจนมาถึงสวนดอกไม้ที่มีก้อนหินประหลาดตั้งตระหง่านอยู่หนึ่งก้อน
ภายในสวนดอกไม้ปลูกแต่ดอกไม้ปลอม พวกมันมีสีสันละลานตาแต่ไร้กลิ่นหอม อีกทั้งยังไม่เห็นวี่แววของสิ่งมีชีวิต
สุดปลายสวนดอกไม้น้อยมีซุ้มประตูทรงโค้งอยู่ซุ้มหนึ่ง
จิ่งอวิ๋นเดินผ่านซุ้มประตูโค้งไป สิ่งที่สะท้อนเข้ามาในสายตาคือประตูหินอีกบานหนึ่ง
จิ่งอวิ๋นผลักประตูหินเปิดออกก็พบบันไดวนลงไปด้านล่างอีกครั้ง
ระหว่างที่ก้าวลงบันได รอบด้านมืดสลัวอยู่เล็กน้อย
จิ่งอวิ๋นเดินลงไปด้านล่าง จากนั้นเขาก็ถูกไข่มุกราตรีเม็ดหนึ่งบนผนังฝั่งตรงข้ามดึงดูด
ไข่มุกราตรีเม็ดนั้นเปลี่ยนสีได้เสียด้วย เริ่มแรกมันเป็นสีเขียวหยกจางๆ ทว่าเมื่อมือน้อยของจิ่งอวิ๋นวางลงบนตัวมัน มันก็กลายเป็นสีม่วงขุ่นสลัวๆ
จิ่งอวิ๋นอุทานออกมาอย่างประหลาดใจ
เขาไม่รู้ตัวสักนิดว่าเงาร่างกำยำที่สูงใหญ่กว่าคนธรรมดามากร่างหนึ่งกำลังลืมตาสีเลือดประหนึ่งมารร้ายขึ้นมาอย่างช้าๆ