หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 37-1 จิ่งอวิ๋นพบจักรพรรดิอสูร (4)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 37-1 จิ่งอวิ๋นพบจักรพรรดิอสูร (4)
ตอนที่ 37-1 จิ่งอวิ๋นพบจักรพรรดิอสูร (4)
เฉียวเวยยังไม่รู้ว่าลูกชายของตนเองหลอกจักรพรรดิอสูรมาที่จวนอ๋องได้แล้ว นางยังครุ่นคิดอยู่ว่าลูกชายหายไปที่ใดกันแน่ เพราะจู่ๆ คนก็หายตัวไป ปฏิกิริยาแรกของนางจึงเป็นการคิดว่าเจ้าเฒ่าเย่ว์หวาคนนั้นลักพาตัวคนไปแล้ว
ทว่าหากเป็นโจรเฒ่าเย่ว์หวาที่ลักพาตัวคนไป เย่ว์หวาจะต้องใช้ลูกชายมาบีบบังคับพวกเขาแน่ แต่นี่ผ่านไปนานขนาดนี้แล้วก็ยังไม่เห็นเย่ว์หวาส่งสารอะไรมาให้พวกเขา นี่ไม่เหมือนการกระทำของเย่ว์หวา
แต่หากตัดความเป็นไปได้ที่ถูกคนลักพาตัวออกไป ถ้าเช่นนั้นก็เหลือแต่ตัวเขาเองเดินหลงทางหายไปเอง
รอยเท้าของจิ่งอวิ๋นหายไปที่แผ่นไม้เลื่อนเหนืออุโมงค์ เขาน่าจะเหยียบถูกแผ่นไม้เลื่อนจากนั้นพลัดตกลงไป
แต่ในเมื่อตกลงไปในอุโมงค์ เหตุใดจึงตามหาไม่พบเล่า
เขาคงไม่ได้ตกลงไปในหีบสักใบแล้วถูกเด็กรับใช้น้อยสองคนนั่นแบกไปหรอกระมัง…
อย่าถูกแบกไปจริงๆ เลยนะ!
เฉียวเวยลองพูดสมมุติฐานของตนเองให้ท่านยาย ท่านพ่อ ฟู่เสวี่ยเยียนรวมถึงพวกเยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับไห่สือซานฟัง ความจริงพวกเขาก็คิดถึงจุดนี้เหมือนกัน แต่กลัวว่าเฉียวเวยจะกังวลใจดังนั้นจึงไม่กล้าพูดออกมาต่อหน้านาง
ตอนนี้ในเมื่อเฉียวเวยเอ่ยออกมาเอง ถ้าเช่นนั้นก็ไม่มีอะไรต้องปิดบังแล้ว
ฟู่เสวี่ยเยียนเอ่ยว่า “ในหีบพวกนั้นมีแต่ทองคำอัญมณี เย่ว์หวาไม่ชมชอบสมบัติของมนุษย์ธรรมดาเช่นนี้ เขาไม่มีทางตรวจสอบอย่างละเอียดแน่ เขาอาจจะ…ยังไม่รู้ตัวว่าจิ่งอวิ๋นอยู่ในหีบ จิ่งอวิ๋นฉลาดถึงเพียงนั้นคงไม่แหวกหญ้าให้งูตื่นแน่”
นี่โชคดีที่เป็นจิ่งอวิ๋น หากเป็นเจ้าตุ้ยนุ้ยวั่งซูล่ะก็ นางคงซัดกำปั้นทลายหีบออกมาแล้ว
แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ เฉียวเจิงก็ยังเป็นห่วงหลานชายตัวน้อยของตนเองอยู่ดี เขานั่งไม่ติด สีหน้าก็ย่ำแย่อย่างยิ่ง
อวิ๋นจูกล่าวขึ้นมาว่า “ข้าจะไปหาเย่ว์หวา”
เฉียวเวยบอกบ้าง “ข้าก็จะไปด้วย!”
เฉียวเจิงกลับห้ามด้วยท่าทีขึงขัง “เจ้าห้ามไป!”
หลานชายตัวน้อยหายไปคนหนึ่งยังไม่พอ จะเพิ่มลูกสาวไปด้วยหรือ
ฟู่เสวี่ยเยียนตบหัวไหล่ของเฉียวเวยเบาๆ แล้วบอกว่า “เจ้าอยู่ที่นี่เถิด หากวั่งซูตื่นมาแล้วไม่เห็นพี่ชายคงจะเสียใจมาก”
แต่เดิมท่านพ่อก็ไปเก็บตัวฝึกวิชาอยู่แล้ว หากตอนนี้แม้แต่พี่ชายกับท่านแม่ก็ไม่อยู่ด้วย ไม่ว่าจะคิดอย่างไรนางก็คงเศร้าเสียใจอยู่บ้าง
“ข้าจะไปเอง” ฟู่เสวี่ยเยียนบอก
เฉียวเวยเถียงอย่างไม่หยุดคิดสักนิด “นั่นจะได้อย่างไร เจ้ายังอยู่ในช่วงอยู่เดือนอยู่นะ”
ฟู่เสวี่ยเยียนยิ้มน้อยๆ “ข้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ไม่พิถีพิถันเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว อาการบาดเจ็บภายในของข้าหายดีหมดแล้ว ออกไปข้างนอกได้”
อวิ๋นจูคิดว่าไม่ใช่ปัญหาใหญ่มากนักเช่นกัน พวกนางใช้ชีวิตกับคมดาบและโลหิต แต่เดิมก็ไม่เหมือนภรรยาที่อยู่ในห้องหอเหล่านั้นอยู่แล้ว หากถูกทะนุถนอมถึงเพียงนั้น คงจะตายไปไม่รู้กี่หนแล้ว
แต่อวิ๋นจูก็สงสารฟู่เสวี่ยเยียนเช่นกัน ดังนั้นนางจึงห้ามไม่ให้อีกฝ่ายตามตนเองไปที่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ยอมให้นางกับอาต๋าเอ่อร์ไปค้นหาในเมืองเท่านั้น ดูซิว่าจะไล่ตามร่องรอยของพวกเย่ว์หวาได้หรือไม่
เฉียวเจิงกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยออกไปนอกเมือง แต่ทั้งสองคนมุ่งหน้าไปทางบันไดสวรรค์ แม้ความเป็นไปได้จะไม่มากนัก แต่เส้นทางที่ไปบันไดสวรรค์ใกล้กว่า หากชิงไปถึงเมืองอวิ๋นจงได้ก่อนเย่ว์หวาหนึ่งก้าวแล้วดักขวางทางเย่ว์หวาไว้ก่อนจะไปถึงลัทธิศักดิ์สิทธิ์ นั่นก็เป็นแผนการที่ดีอย่างหนึ่ง
ส่วนไห่สือซานเขาเดินทางไปทางแม่น้ำพร้อมกับอวิ๋นจู
ราชันอสูรกับสือชีรั้งอยู่ที่จวน การหายตัวไปของจิ่งอวิ๋นเป็นสัญญาณเตือนอย่างหนึ่ง ไม่ว่าด้านหน้าเรือนจะป้องกันดีอีกเท่าใด หากด้านหลังเรือนไฟไหม้ ทุกสิ่งย่อมเสียเปล่า
พวกเขาทยอยกันออกไปข้างนอก
เฉียวเวยนอนไม่หลับ นางเดินไปเดินมาอยู่ในห้อง เดินอยู่ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงคนรายงานว่าด้านนอกประตูมีรถม้าคันหนึ่ง โ
เฉียวเวยฉุกคิดอะไรบางอย่าง รีบวิ่งไปที่ประตูใหญ่ของจวนอ๋อง นางเห็นรถม้าแปลกหน้าคันหนึ่งจอดนิ่งสนิทอยู่บนถนนที่สะอาดไร้สิ่งของระเกะระกะ รถม้าคันนี้ไม่นับว่าหรูหราแต่ก็ไม่ใช่รถม้าธรรมดา รูปแบบของตัวรถเรียบง่ายแต่กลับใช้ไม้หวงหลีชั้นเลิศ อาชากำยำสองตัวที่ลากรถก็เป็นยอดอาชาที่หาได้หนึ่งตัวในระยะหมื่นลี้ ส่วนสารถี…เป็นชายหนุ่มอายุน้อยที่หน้าตาดูค่อนข้างคุ้นตา
เมื่ออีกฝ่ายลงมาจากรถม้า เผยใบหน้าเต็มๆ ออกมาตรงหน้าเฉียวเวย เฉียวเวยก็นึกออกว่าเขาเป็นใคร
นี่มันองครักษ์หนุ่มของกงซุนฉางหลีไม่ใช่หรือ
นางเคยเห็นองครักษ์หนุ่มคนนี้ที่หอเมามายหลายครั้ง เพียงแต่ไม่เคยพูดจากันสักเท่าไร คิดว่าเขาเป็นคนของหอเมามายเท่านั้นเสียอีก คิดไม่ถึงว่าจะตามมาถึงเยี่ยหลัว
สารถีคือเขา คนที่นั่งอยู่ในตัวรถก็คงไม่พ้น…
“ท่านแม่!”
จิ่งอวิ๋นเปิดม่านโผล่ศีรษะน้อยๆ กลมดิกออกมา
หัวใจของเฉียวเวยเต้นตึกตัก มองลูกชายที่จู่ๆ ก็โผล่มาอย่างไม่อยากเชื่อ นางวิ่งเข้าไปหาอย่างเร็วไว พริบตาที่จิ่งอวิ๋นกระโดดลงจากรถม้านางก็กอดเขาไว้ในอ้อมแขน
เฉียวเวยกอดลูกชายแน่นๆ สูดดมกลิ่นอันคุ้นเคยบนร่างของเขา หัวใจที่เต้นอย่างหวาดผวาในที่สุดก็กลับมาสงบอีกครั้ง
นางลูบใบหน้าน้อยแดงระเรื่อของบุตรชายแล้วถามอย่างตกใจระคนยินดี “เจ้าไปที่ใดมา”
จิ่งอวิ๋นกะพริบตาปริบๆ “ที่ๆ ไปเมื่อหนก่อนขอรับ”
เฉียวเวยงุนงง ขณะที่กำลังจะถามว่าที่ใด จิ่งอวิ๋นก็เอี้ยวตัวกระโดดลงมาบนพื้นแล้ววิ่งตึงตังปีนกลับไปบนรถม้าแล้วเปิดม่าน บอกกับคนด้านในว่า “ท่านลุง ถึงบ้านของข้าแล้ว ท่านรีบลงมาจากรถเถิด”
ท่านลุงหรือ
เฉียวเวยยิ่งงุนงงกว่าเดิม ไม่ว่าอย่างไรอายุของกงซุนฉางหลีก็ดูจะไม่เข้ากับคำว่า ‘ลุง’ นะ ท่านอายังแทบจะเป็นไม่ได้ด้วยซ้ำ อย่างมากที่สุดก็เป็นแค่พี่ชายสุดหล่อคนหนึ่ง แถมยังหล่อจนผู้คนและทวยเทพเคืองแค้นขนาดนั้นเลย
ไม่นานเฉียวเวยก็เข้าใจว่าคำว่า ‘ท่านลุง’ มาจากไหนแล้ว
บุรุษผู้สวมอาภรณ์ตัวใหญ่สีดำคนหนึ่งเยื้องย่างลงมาจากรถม้าอย่างเชื่องช้า อาภรณ์ตัวหลวมของเขาเนื้อผ้าหยาบกระด้างเล็กน้อยดูเหมือนผ้าฝ้ายที่ขายกันในตลาด แต่รูปร่างของเขาสูงใหญ่เช่นเดียวกับราชันอสูร บรรยากาศรอบตัวก็โดดเด่น ต่อให้เขาสวมอาภรณ์จากร้านริมถนนทั้งตัวก็ยังดูมีรัศมีเหมือนกับของชั้นเลิศที่สั่งทำ
ผมที่ไว้ยาวของเขาเริ่มเป็นสีขาวปนเทาแล้ว มันแผ่สยายอยู่บนหัวไหล่ของเขา ปิดบังใบหน้าของเขาไว้บางส่วน
หน้าตาของเขาไม่นับว่างามจนน่าตะลึง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็มีอายุแล้ว ต่อให้งามจนน่าตะลึงอีกเท่าใดก็กลายเป็นผู้เฒ่าแล้ว เครื่องหน้าทั้งห้าคมสันดูเป็นคนใจกว้าง เมื่อผสมรวมกับท่าทางสูงส่งที่แผ่ออกมาทั่วร่างก็ดูไม่เหมือนชาวบ้านธรรมดาสักนิด
เขาก้าวลงมาจากรถม้าอย่างไม่รีบร้อน
จิ่งอวิ๋นจูงมือเขาแล้วแนะนำกับเฉียวเวยว่า “ท่านแม่ เมื่อครู่มีคนเลวจะจับตัวข้า ท่านลุงคนนี้ช่วยข้าไว้!”
จิ่งอวิ๋นไม่ใช่เด็กที่จะยอมสนิทกับคนอื่นง่ายๆ เพิ่งจะพบหน้ากันหนเดียว เขากลับไปจับมือถือแขนผู้อื่นแล้ว หากจะบอกว่าจิ่งอวิ๋นถูกหลอก เฉียวเวยก็ไม่เชื่ออีก
เฉียวเวยหันไปมองบุรุษผู้วัยล่วงเลยไปมากแล้วคนนี้ จากนั้นจึงก้าวเข้าไปคำนับอย่างรู้สึกขอบคุณ “ขอบคุณผู้อาวุโสอย่างยิ่ง”
หลังจากนั้นเฉียวเวยจึงเชิญผู้มีพระคุณเข้ามาในจวนอ๋อง เพราะก่อนหน้านี้จวนอ๋องถูกร่างพิษบุกโจมตี เรือนฟางชุ่ยหยวนจึงกำลังเก็บกวาดกันอยู่ นางจึงพาเขากลับมายังเรือนหลังเล็กที่พวกเขาพักอยู่ชั่วคราว