หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 38 จิ่งอวิ๋นพบจักรพรรดิอสูร (5)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 38 จิ่งอวิ๋นพบจักรพรรดิอสูร (5)
ตอนที่ 38 จิ่งอวิ๋นพบจักรพรรดิอสูร (5)
ยามเช้า เรือนฟางชุ่ยหยวนเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว ทุกคนย้ายกลับไปที่เรือนฟางชุ่ยหยวน บ่าวรับใช้ที่ต้องพิษเหล่านั้นจำไม่ได้สักนิดว่าตนเองเคยทำสิ่งใดลงไป เฉียวเวยไม่ว่ากล่าวอะไรพวกนาง ทุกคนกลับไปทำหน้าที่ของแต่ละคนเหมือนเช่นปกติ
พวกอวิ๋นจูที่ออกไปตามหาจิ่งอวิ๋นยังไม่กลับมา เฉียวเวยให้อินทรีทองออกไปตามหาพวกเขาทีละกลุ่ม เมืองเยี่ยเหลียใหญ่โตเช่นนี้ การจะตามหาทีละกลุ่มไม่ใช่เรื่องง่าย คาดว่าคงจะต้องตกเย็นหรืออาจจะพรุ่งนี้เช้าพวกเขาถึงจะกลับมากันครบ
จิ่งอวิ๋นนอนหลับอยู่ในห้อง วั่งซูออกไปเล่นกับน้องสาวตัวน้อย แต่เดิมวั่งซูอยากจะไปหาท่านพ่อราชันอสูร แต่ท่านพ่อราชันอสูรไม่รู้วิ่งไปที่ไหนแล้ว
ราชันอสูรย่อมกำลังกินเนื้ออยู่ รอเขากินเนื้อเสร็จกลับมา วั่งซูตัวน้อยก็ไปห้องของน้องสาวแล้ว
เรือนฟางชุ่ยหยวนมีห้องมากมาย เฉียวเวยเก็บกวาดห้องหนึ่งออกมาให้ ‘ท่านนักเวทศักดิ์สิทธิ์’ ได้พักอาศัย ท่านนักเวทศักดิ์สิทธิ์ช่วยจิ่งอวิ๋นออกมาต่อหน้าต่อตาเย่ว์หวา คิดว่าเขาคงกลับไปลัทธิศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้อีกแล้ว ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร ยิ่งไปกว่านั้นผู้อื่นยังเป็นผู้มีพระคุณของตนเองอีก
เฉียวเวยไม่เพียงจัดห้องให้ แต่ยังให้คนไปซื้อเสื้อผ้าที่เข้ากับรูปร่างของท่านนักเวทศักดิ์สิทธิ์มาจากร้านที่ขายเสื้อผ้าตัดสำเร็จให้เขาอีกหลายชุด รูปร่างของเขาสูงใหญ่กว่าผู้อื่น อยากจะหาชุดที่เหมาะกับตัวไม่ง่ายนัก ยังดีที่ทางร้านมีเสื้อผ้าที่ตัดตามขนาดของราชันอสูรเหลือเผื่ออยู่มาก เขาจึงพอเอามาใช้สวมใส่แก้ขัดได้เหมือนกัน
ราชันอสูรคับข้องใจนัก ไม่เพียงแย่งถั่วเคลือบน้ำตาลของข้าไป ยังจะมาแย่งเสื้อผ้าของข้าไปอีก!
อีกด้านหนึ่งยิ่นอ๋องสั่งการให้ศิษย์ทั้งหลายออกไปตามหาโจรเฒ่าเย่ว์หวาเรียบร้อยก็ลงจากเขาไปด้วยกันกับกงซุนฉางหลี มุ่งหน้าไปยังจวนมู่อ๋อง
ยิ่นอ๋องคาดเดาตัวตนของกงซุนฉางหลีได้ราวเจ็ดแปดส่วนแล้ว แต่เขาเดาไม่ออกว่ากงซุนฉางหลีคิดจะใช้ประโยชน์จากจีหมิงซิวหรือว่าจริงใจ แต่เขาก็ไม่ได้ถาม
เขาไม่ถาม กงซุนฉางหลีย่อมไม่เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาเอง
ทั้งสองคนเงียบงันเช่นนี้เสมือนน้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลองเข้ามาในเมืองเยี่ยเหลียง
มาตรการคุมเข้มของเมืองเยี่ยเหลียงถูกยกเลิกแล้ว รถม้าเข้ามาได้อย่างราบรื่นอย่างยิ่ง โ
นี่เป็นครั้งแรกที่ยิ่นอ๋องปรากกตัวในเมืองเยี่ยเหลียงอย่างสง่าผ่าเผย แต่เดิมสมควรได้ชื่นชมบ้านเมืองและผู้คนภายในเมืองสักหน แต่น่าเสียดายในใจเขาเต็มไปด้วยเรื่องราวต่างๆ แม้แต่ม่านจึงไม่คิดจะเปิด
จะโทษที่เขาจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเช่นนี้ก็ไม่ได้ เจ้าเด็กซนคนนั้นดันพาจักรพรรดิอสูรกลับมาที่บ้าน ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ทำให้คนไม่สบายใจ
ส่วนเหตุใดจึงไม่สบายใจ ยิ่นอ๋องก็ตอบไม่ได้
“เจ้าหอ มาถึงแล้วขอรับ” องครักษ์หนุ่มจอดรถม้านอกจวนมู่อ๋อง
กงซุนฉางหลีเหล่มององครักษ์หนุ่มนิ่งๆ องครักษ์หนุ่มถูจมูก “เหตุไฉนมองข้าเช่นนี้ ถึงแล้วอย่างไรเล่าขอรับ”
กงซุนฉางหลีเลื่อนสายตาเย็นชามาจับบนใบหน้าของเขา
องครักษ์หนุ่มกระแอมแล้วถือแส้ม้าขึ้นมา “เข้าใจแล้วขอรับๆ!”
กล่าวจบก็ขับรถม้าไปนอกกำแพงเรือนแห่งหนึ่ง
กงซุนฉางหลีใช้วิชาตัวเบาเหินข้ามกำแพงไป
ยิ่นอ๋องคิดไม่ถึงว่าจะมีวันที่ตนเองต้องมากระโดดข้ามกำแพงบ้านผู้อื่น ฝ่ามือใหญ่กำหมัดแน่น แล้วทำใจกล้าเหินข้ามไปบ้าง
ยิ่นอ๋องกับกงซุนฉางหลีเดินมายังเรือนฟางชุ่ยหยวนซึ่งเป็นที่อาศัยของพวกเฉียวเวยอย่างชำนาญลู่ทาง บ่าวรับใช้ของเรือนฟางชุ่ยหยวนเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งคืนและทั้งเช้า พวกเขาเพิ่งได้รับคำสั่งจากเฉียวเวยให้ไปพักผ่อน ต่างคนจึงกลับไปพักผ่อนที่ห้องของตนเอง
ภายในเรือนอันกว้างขวางใหญ่โตเหลือเพียงเฉียวเวยกับจักรพรรดิอสูร
จักรพรรดิอสูรสวมอาภรณ์ที่เฉียวเวยจัดเตรียมไว้ให้ อาภรณ์สีขาวทั้งชุด แขนเสื้อกว้างแลดูคล้ายเมฆทำให้เขามีรูปลักษณ์ดั่งเทพเซียน บรรยากาศรอบตัวโดดเด่นจากผู้คน เส้นผมยาวขาวปนเทาถูกเกล้าขึ้นไปแล้วประดับปิ่นหยกสีเขียวหนึ่งเล่ม
เขานั่งนิ่งสงบอยู่ในลานบ้าน ในมือถือม้วนตำราไม้ไผ่หนึ่งม้วน เหนือศีรษะมีต้นเหมยเหมันต์ผลิดอกเบ่งบาน ใต้ฝ่าเท้าเป็นหิมะขาวโพลนสะอาดตา ภาพนี้งดงามเหลือจะพรรณนา ทำให้ทั้งเรือนคล้ายจะมีกลิ่นอายของบัณฑิตลอยออกมาเจือจาง
กงซุนฉางหลีกับยิ่นอ๋องที่มาเห็นภาพนี้เกือบจะสำลักลมหายใจของตนเองจนติดคอตาย!
เจ้าอ่านหนังสือออกหรือ อ่านออกหรือ อ่านออกหรืออย่างไร ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
ยังจะกล้าถือตำราขึ้นมาอ่านอีกนะ!
เฉียวเวยหิ้วสุราผลไม้ที่ต้มแล้วกาหนึ่งเข้ามา นางเห็นอีกฝ่ายอยู่อย่างเงียบๆ เช่นนี้ก็ไม่กล้าส่งเสียงรบกวน จึงผ่อนฝีเท้าเบาลงอย่างไม่รู้ตัว
นางเดินมาถึงข้างกายจักรพรรดิอสูรแล้วรินสุราผลไม้หนึ่งจอกให้จักรพรรดิอสูรอย่างระมัดระวัง
สุราผลไม้นี้มีอีกชื่อหนึ่งว่าสุราร้อยผลไม้ หลักการหมักเหมือนกับการทำไวน์องุ่น เพียงแต่ใช้ผลไม้มากกว่าเล็กน้อย รสชาติจึงหวานกว่าอยู่นิดหน่อย ความแรงของเหล้าก็ไม่รุนแรงขนาดนั้น
นางพยายามลดการมีตัวตนของตนเองให้มากที่สุด ทว่าการขยับตัวรินสุราของนางก็ยัง ‘รบกวน’ จักรพรรดิอสูรอยู่ดี
จักรพรรดิอสูรหันมามองนาง จากนั้นผงกศีรษะให้เล็กน้อยอย่างเป็นสุภาพบุรุษอย่างยิ่ง
เฉียวเวยสงสัยอย่างยิ่งว่าหากสวมหมวกสักใบให้เขา เขาคงจะต้องถอดหมวกออกมาก้มหัวให้อย่างแน่นอน!
ลัทธิศักดิ์สิทธิ์อันสกปรกแห่งนั้นเหตุไฉนจึงฟูมฟักคนที่เกิดจากโคลนตมแต่ไร้มลทินแปดเปื้อนกายเช่นนี้ออกมาได้
เฉียวเวยไม่มองอีกฝ่ายเป็นคนนอกจึงไม่ใส่ใจจะเก็บซ่อนอารมณ์ของตนเองสักนิด กงซุนฉางหลีกับยิ่นอ๋องเห็นสีหน้าของนางก็ทราบแล้วว่านางกำลังคิดสิ่งใดอยู่ พวกเขากลอกตาขึ้นฟ้าพร้อมกัน
ไม่นานพวกเขาก็ค้นพบว่าการกลอกตายังไม่เพียงพอจะแสดงความรู้สึกปั่นป่วนในใจของตน
เฉียวเวยขยับเข้าไปข้างจักรพรรดิอสูร แล้วยิ้มแย้มเรียกเขาว่าท่านนักเวท…
กงซุนฉางหลีกับยิ่นอ๋องแทบจะล้มทั้งยืน
เฉียวเวยยิ้มแย้มมองตำราไม้ไผ่ในมือจักรพรรดิอสูร แล้วถามเสียงเบาว่า “ท่านนักเวท ท่านชอบอ่านตำราเล่มนี้หรือ ตอนอยู่บ้านสามีของข้าชอบอ่านมันที่สุดแล้ว น่าเสียดายข้าไม่เข้าใจภาษาเยี่ยหลัว”
จักรพรรดิอสูรส่ายหน้าไปมาอย่างเสียดาย จากนั้นจึงคลี่ม้วนตำราไม้ไผ่ออกกว้างแล้วส่องกับแสงตะวันเพื่อเริ่มอ่าน
ยิ่นอ๋องไม่เข้าใจภาษาเยี่ยหลัว แต่กงซุนฉางหลีเข้าใจ!
กงซุนฉางหลีทนมองไม่ได้แล้ว ตำรากลับหัวอยู่นั่น ท่านเลิกเสแสร้งดีหรือไม่
เฉียวเวยถอนหายใจอย่างชื่นชม “คิดไม่ถึงว่าท่านนักเวทจะมีความรู้ลึกซึ้งเช่นนี้”
กงซุนฉางหลีจะกระอักเลือดแล้ว…
เฉียวเวยเห็นจักรพรรดิอสูรตั้งใจเช่นนี้ก็ไม่สะดวกจะอยู่รบกวนเขาหาความรู้ นางมองถั่วเคลือบน้ำตาลที่อยู่ในจานแล้วบอกว่า “กินถั่วเคลือบน้ำตาลมากเกินไปจะร้อนใน ท่านกินจานนี้หมดแล้วก็อย่ากินต่อเลย ข้าจะทำอย่างอื่นมาให้ท่านแทน”
กล่าวจบก็หิ้วกาน้ำชาไปทางห้องครัว
หากคิดว่าบอกแค่นี้แล้วจักรพรรดิอสูรจะฟัง ถ้าเช่นนั้นก็ไร้เดียงสาเกินไปแล้ว
จักรพรรดิอสูรไม่รีบร้อนดื่มสุราผลไม้ แต่กลับวางตำราลงแล้วกำถั่วเคลือบน้ำตาลบนโต๊ะขึ้นมาเคี้ยวดัง กร้วมๆ!
ราชันอสูรที่อยู่ไม่ไกล มองเขาด้วยสีหน้าแค้นเคือง
จักรพรรดิอสูรกินได้พอประมาณแล้วก็กวักมือเรียกราชันอสูร
ราชันอสูรในใจร้องปฏิเสธ! แต่สุดท้ายก็ต้องเดินเข้าไปหาอย่างกล้ำกลืนความอัปยศ
จักรพรรดิอสูรยัดจานใส่มือราชันอสูร
ราชันอสูรมองจานที่เหลือถั่วเคลือบน้ำตาลอยู่เพียงเม็ดเดียว ทันใดนั้นดวงตาก็เป็นประกาย
บังเอิญจังหวะนั้นเฉียวเวยก็เดินออกมาจากห้องครัวพอดี นางเห็นราชันอสูรถือจานเปล่าอยู่ในมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งถือถั่วเคลือบน้ำตาลเม็ดสุดท้ายกำลังจะยัดเข้าปากอย่างอดรนทนรอไม่ไหว
เฉียวเวยหน้าบึ้งทันที นางเดินเข้าไปคว้าถั่วเคลือบน้ำตาลที่ราชันอสูรยังไม่ทันยัดเข้าปากกลับไปวางในจาน จากนั้นพูดอย่างปวดเศียรเวียนเกล้า “ท่านราชัน นี่มันถั่วเคลือบน้ำตาลของท่านนักเวท ท่านกินจนหมดเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ตอนเช้าข้าก็ทอดให้ท่านถุงหนึ่งแล้วไม่ใช่หรือ”
พูดพลางเฉียวเวยก็หยิบถุงถั่วเคลือบน้ำตาลที่ราชันอสูรซุกไว้ในอกเสื้ออกมาเปิดให้ราชันอสูรดู “ท่านดูสิ ยังเหลืออีกตั้งเยอะ!”
ราชันอสูรทำท่าเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม “โฮกกก”
เฉียวเวยไม่อยากจะบอกให้ราชันอสูรเอาถั่วเคลือบน้ำตาลมาชดใช้ให้ผู้อื่น ทำเช่นนั้นจะดูขี้งกเกินไป เหมือนตนเองขาดแคลนถั่วเพียงไม่กี่เม็ดเท่านี้ เฉียวเวยเดินไปที่ห้องครัวเพื่อทอดถั่วให้จักรพรรดิอสูรอีกจานหนึ่ง
ทว่าจักรพรรดิอสูรยังไม่จบเท่านี้
พอเฉียวเวยก้าวเท้าออกไปปุ๊บ จักรพรรดิอสูรก็ยื่นมือมาทางราชันอสูร
ราชันอสูรส่งถุงถั่วเคลือบน้ำตาลใบน้อยของตนไปให้
โฮกกก
ปวดใจนักเชียว!
…
ในที่สุดเฉียวเวยก็พบตัวกงซุนฉางหลีกับยิ่นอ๋อง จิ่งอวิ๋นถูกองครักษ์หนุ่มของกงซุนฉางหลีพามาส่งที่จวน เฉียวเวยยังติดค้างคำขอบคุณเขาอยู่ จึงรีบยิ้มกว้างเดินเข้าไปหา
“ฉางหลี เจ้ามาแล้ว” เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ แต่พอหันไปมองยิ่นอ๋อง สีหน้าก็เย็นชาขึ้นมาทันควัน “เจ้ามาได้อย่างไรกัน”
ยิ่นอ๋องเห็นท่าทีที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหวเช่นนี้ก็โมโหจนหัวใจกระตุก “เจ้าหมายความว่าอย่างไร เฉียวซื่อ”
เฉียวเวยตอบอย่างตรงไปตรงมา “ก็ไม่ต้อนรับเจ้าเอย่างไรเล่า ท่านอ๋องฟังไม่ออกหรือ อ้อ ตอนนี้ข้าสมควรเรียกท่านว่าเจ้าลัทธิน้อยแล้วสินะ จวนมู่อ๋องอันเล็กกระจ้อยร้อยไม่มีที่ให้ผู้ยิ่งใหญ่อย่างเจ้าลัทธิน้อยหรอก เจ้าลัทธิน้อยรีบกลับไปเสียเถิด”
ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนเพิ่งจะเริ่มดีขึ้นในช่วงไม่กี่วันตอนเกิดเหตุการณ์เกี่ยวกับพระสนมอานเฟย ทว่าพอกลับมาพบกันอีกครั้งก็กลับมาเป็นน้ำกับไฟไม่เข้ากันใหม่
ยิ่นอ๋องไม่เข้าใจยิ่งนักว่าเหตุใดสตรีนางนี้จึงทำให้เขาโมโหได้เก่งเหลือเกิน ทุกครั้งนางจะต้องทำให้เขาโมโหแทบตายทุกครั้ง!
แต่เดิมยินอ๋องต้องการบอกนางว่าบุรุษคนนั้นไม่ใช่นักเวทศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นจักรพรรดิอสูรผู้สังหารคนดุจผักปลา! แต่นางรนหาที่มาหาเรื่องเขา ตอนนี้เขาไม่อยากบอกนางแล้ว!
“เจ้าก็ห้ามพูด!” เขาเตือนกงซุนฉางหลีเสียงเบา
เฉียวเวยหันมาถามกงซุนฉางหลี “พูดอะไรหรือ”
ยิ่นอ๋องตอบเสียงเข้ม “ไม่บอกเจ้าหรอก!”
เฉียวเวยจิ๊ปาก “ข้าก็คร้านจะฟังเช่นกัน!”
ยิ่นอ๋องโกรธจนคันไม้คันมือ
เฉียวเวยเห็นเขาไม่ยอมไปก็หัวเราะเบาๆ “เจ้าลัทธิน้อยยังยืนนิ่งทำอะไรอยู่ อยากให้ข้าไปส่งหรือ ขออภัยด้วย ข้าต้องต้อนรับแขกสำคัญ คงไม่ไปส่งท่านแล้ว ท่านเดินทางดีๆ ก็แล้วกัน”
ยิ่นอ๋องโกรธจัด “เฉียวซื่อ!”
เฉียวเวยไม่สนใจเขา นางหันไปยิ้มให้กงซุนฉางหลี “เข้าไปนั่งสักครู่เถิด ข้าเพิ่งหมักสุราผลไม้เสร็จใหม่ๆ หวานนักเชียว”
กงซุนฉางหลีตอบว่า “ดี”
เฉียวเวยหันหลังกลับ เดินนำกงซุนฉางหลีเข้าไปในเรือน
ยิ่นอ๋องผู้ถูกทิ้งไว้เพียงลำพังทั้งขายหน้าทั้งรู้สึกกระอักกระอ่วน เขาโทสะพุ่งพรวดสามจั้งพูดขึ้นมาว่า “เฉียวซื่อเจ้ารู้หรือว่าเขาเป็นผู้ใดถึงพาเขาเข้าไปในบ้าน เขาไม่ใช่ทั้งประมุขของลัทธิ ทั้งไม่ใช่ศิษย์ของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ แต่กลับเข้าออกลัทธิศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างอิสระ แล้วทุกคนยังหวั่นเกรงเขาอีก เจ้าไม่สงสัยตัวตนของเขาบ้างหรือ เจ้ากระตือรือร้นพาเขาเข้าเรือนเช่นนี้ ไม่กลัวจะเป็นการพาหมาป่าเข้าบ้านหรือไร”
เฉียวเวยชะงักฝีเท้า หันกลับมาหัวเราะเบาๆ หนหนึ่งแล้วบอกว่า “หมาป่าตัวโตที่สุดก็คือเจ้า เจ้าไปเสีย ใต้หล้าก็สงบสุขแล้ว”