หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 39-1 เขามาแล้ว ประมือ
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 39-1 เขามาแล้ว ประมือ
ตอนที่ 39-1 เขามาแล้ว ประมือ
ยิ่นอ๋องถูกเฉียวเวยทำให้โมโหจนแทบจะอกแตกตายแล้ว เขาเบิ่งตามองเฉียวเวยกับกงซุนฉางหลีเดินเข้าไปในเรือน ส่วนตัวเขาถูกคนอื่นทิ้งอยู่ตรงนี้เพียงลำพังเหมือนเจ้าโง่คนหนึ่ง เพลิงโทสะในใจลุกพรึ่บทันที!
หลังจากเฉียวเวยกับกงซุนฉางหลีเข้าไปในเรือน เขาก็กำหมัด หน้าดำทะมึนตามเข้าไปด้วย!
ทว่าพริบตาที่เขากำลังจะก้าวเข้าประตูนั่นเอง เฉียวเวยก็ปิดประตูใส่หน้าเขาดังโครม
ยิ่นอ๋องโกรธจนเต้นผาง “เฉียวซื่อ! เจ้ารนหาที่ตาย!”
เฉียวเวยตอบอย่างขบขันจากด้านหลังประตู “ใช่แล้ว ข้ารนหาที่ตาย เจ้ามาสังหารข้าสิ!”
ยิ่นอ๋องกำลังจะพูดว่า ‘เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าจริงหรือ’ หันกลับมาก็เห็นจักรพรรดิอสูรเล่นถั่วเคลือบน้ำตาลเม็ดหนึ่งในมือพลางตวัดสายตาเย็นชามามองเขา หน้าผากเขาเย็นวาบ พูดคำใดไม่ออกทันที
เฉียวเวยเห็นเจ้าหมอนั่นเงียบไปแล้วก็คร้านจะไปสนใจว่าเขาจากไปหรือยัง ไม่ว่าอย่างไรก็มียอดฝีมืออยู่ตั้งมากมายถึงเพียงนั้น นางไม่กลัวเขาทำเรื่องโง่เง่าอะไรลงไปหรอก
เฉียวเวยปรบมือชี้ไปที่เก้าอี้ด้านข้าง สื่อเป็นนัยให้กงซุนฉางหลีนั่งลง
กงซุนฉางหลีนั่งลง
เพราะฟู่เสวี่ยเยียนออกไปข้างนอก ใต้เท้าเจ้าสำนักกินข้าวเสร็จก็ไม่รู้เตร็ดเตร่ไปที่มุมไหนของบ้านแล้ว เฉียวเวยจึงให้วั่งซูไปคัดตัวอักษรที่ห้องหนังสือ แล้วอุ้มมู่เหยียนน้อยมาด้วย ตอนนี้มู่เหยียนน้อยกำลังนอนอยู่ข้างจิ่งอวิ๋น นางหายใจเข้าออกลึกยาว นอนหลับอย่างสบายดุรา
ภายในห้องมีกลิ่นนมอ่อนๆ ลอยอวลอยู่ บรรยากาศอบอุ่นจนทำให้หัวใจของผู้คนรู้สึกอบอุ่นไปด้วย
เฉียวเวยรินสุราผลไม้หอมหวานรสชาติอร่อยจอกหนึ่งส่งให้กงซุนฉางหลีแล้วเอ่ยว่า “รสชาติหวานเข้มข้นมาก ไม่รู้ว่าเจ้าจะคุ้นชินหรือไม่”
กงซุนฉางหลีรับมาจิบคำเล็กๆ มันหวานละมุนมากกว่าที่เขาจินตนาการไว้เล็กน้อย จึงตอบว่า “รสชาติไม่เลว”
เฉียวเวยเพิ่งลองหมักสุราผลไม้ชนิดนี้เป็นครั้งแรก บอกตามตรงมันหวานเกินไป ตัวนางเองดื่มแล้วไม่คุ้นชินสักนิด แต่ดูท่าราชันอสูรเหมือนจะชอบมันมาก ส่วนฟู่เสวี่ยเยียนกับท่านน้าลองชิมแล้วรับรสชาติที่หวานจนแสบคอนี้ไม่ได้ นางคิดว่ากงซุนฉางหลีน่าจะไม่ได้ชมชอบจากใจจริง เพียงแต่ว่าเพราะเป็นของที่นางทำ ดังนั้นรักเรือนแล้วจึงต้องรักวิหคในเรือนด้วยก็เท่านั้น
“ขออภัยด้วย” จู่ๆ นางก็เอ่ยขึ้นมา
มือที่ถือจอกสุราของกงซุนฉางหลีชะงักเล็กน้อย เขาหันมามองนางอย่างไม่เข้าใจ
เฉียวเวยถอนหายใจเบาๆ “ข้าคิดว่าที่เจ้าทรมานหมิงซิวเช่นนั้นเป็นเพราะก่อนหน้านี้เขาเคยรังแกเจ้ามาก่อน ตอนนี้มาคิดดูอีกหน ทั้งหมดนั่นเจ้าคงทำเพราะข้า”
กงซุนฉางหลี “!”
เฉียวเวยถอนหายใจบอกว่า “เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะข้า ข้าไม่ควรถีบเจ้าตกหลุมส้วมโดยไม่แบ่งแยกถูกผิด แต่ข้าไม่เสียใจ เพราะไม่ว่าเจ้าจะทำร้ายหมิงซิวเพราะอะไร ข้าก็ไม่อาจยอมรับได้”
กงซุนฉางหลีสำลักจนพูดไม่ออก
เฉียวเวยมองเขาด้วยสีหน้าซับซ้อนแล้วก้มหน้าลงพึมพำขึ้นมาว่า “หนนี้เจ้ายังเสี่ยงตายพาจิ่งอวิ๋นกลับมาส่งให้อีก…ข้า…ข้าเข้าใจแล้ว”
เจ้าเข้าใจอะไรของเจ้า!
กงซุนฉางหลีรู้สึกขนพองสยองเกล้ายิ่งกว่าตอนที่เห็นจักรพรรดิอสูรสำแดงพลังเสียอีก เขารีบเบี่ยงประเด็นเอ่ยขึ้นมาว่า “เรื่องที่เจ้าลัทธิน้อยพูดเมื่อครู่ เจ้าไม่สงสัยสักนิดจริงหรือ”
เฉียวเวยมองเขาอย่างประหลาดใจ “สงสัยสิ่งใดเล่า ตัวตนของเจ้าหรือ นี่มีสิ่งใดให้น่าสงสัยกัน ก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นคนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ แต่เจ้าเคยทำร้ายข้าหรือ ตอนที่เจ้าอยากให้ข้ารู้ เจ้าย่อมบอกข้าเอง ยิ่งไปกว่านั้น…หัวใจของเจ้าที่มอบให้ข้า ข้าเข้าใจแล้ว”
กงซุนฉางหลีเสียใจแล้วที่ไม่ลากยิ่นอ๋องเข้ามาด้วย
…
ข่าวที่ว่าจิ่งอวิ๋นกลับมาถึงบ้านแล้วถูกเฉียวเวยเขียนใส่กระดาษแผ่นน้อยผูกติดไว้ใต้ปีกของอินทรีทองด้วยเชือกสีแดง ผูกไว้เช่นนี้มิดชิดกว่าผูกไว้ที่ขามากนัก
อินทรีทองตามหาอาต๋าเอ่อร์พบเป็นคนแรก
อาต๋าเอ่อร์ไปทางเดียวกับฟู่เสวี่ยเยียน แต่เดิมทั้งสองคนออกตามหาร่องรอยของจิ่งอวิ๋นอยู่ในเมือง ต่อมาพวกเขาเห็นว่าตามหาเช่นนี้ช้าเกินไป พวกเขาจึงหารือกันว่าจะแยกกันไปคนละทาง
อาต๋าเอ่อร์มุ่งขึ้นเหนือ ฟู่เสวี่ยเยียนมุ่งลงใต้
ตอนที่อินทรีทองตามหาอาต๋าเอ่อร์พบ อาต๋าเอ่อร์เพิ่งจะเดินสำรวจถนนเปลี่ยวเส้นหนึ่งเสร็จพอดี อินทรีทองกางปีกพรึ่บพรั่บเผยให้เห็นเชือกสีแดงเส้นน้อยที่ซ่อนอยู่ใต้ปีก
อาต๋าเอ่อร์ไล่มือตามเชือกสีแดงจนพบแผ่นกระดาษ เขาเปิดออกอ่านเมื่อเห็นว่าจิ่งอวิ๋นไม่เป็นอะไรแล้วก้อนหินใหญ่ในใจก็ถูกยกลง เขาลูบหัวของอินทรีทอง “ไปตามหาแม่นางฟู่เถิด”
อินทรีทองเร็วยิ่งกว่าเขาอีก ไม่ทันรอให้เขาตามทัน มันก็บินออกไปตามลำพังแล้ว
ฟู่เสวี่ยเยียนไม่ได้ตามหาส่งเดช นางกับอาต๋าเอ่อร์ไปยังสถานที่ที่เด็กรับใช้สองคนนั้นส่งมอบของให้ประมุขเย่ว์หวาแล้ว ที่นั่นปรากฏรอยล้อรถอยุ่หลายกลุ่ม กลุ่มหนึ่งเห็นชัดว่ามุ่งหน้าไปยังเส้นทางน้ำสู่เมืองอวิ๋นจง อีกกลุ่มหนึ่งย้อนกลับไปที่จวนมู่อ๋อง ส่วนอีกสองกลุ่มที่เหลือ กลุ่มหนึ่งมุ่งขึ้นเหนือ อีกกลุ่มมุ่งหน้าลงใต้ดังนั้นนางจึงแยกกันเคลื่อนไหวกับอาต๋าเอ่อร์
นางตามรอยล้อรถเส้นหนึ่งที่มุ่งมายังทางตอนใต้ของเมือง ยิ่งตามรอยไปก็ยิ่งออกห่างจากชุมชนขึ้นทุกที
เวลานี้เลยเที่ยงคืนมาแล้ว ชาวบ้านในเมืองต่างนอนหลับพักผ่อนกันหมด เมืองอันครึกครื้นกลับกลายเป็นวังเวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานที่ซึ่งเดิมทีก็ห่างไกลผู้คนเช่นนี้
ฟู่เสวี่ยเยียนยิ่งเดินก็ยิ่งรู้สึกว่าผิดปกติ
หลังจากเดินผ่านตรอกเส้นหนึ่งออกมา นางก็เริ่มหยุดฝีเท้าอย่างช้าๆ แล้วยืนนิ่ง
แววตาซับซ้อนของนางจับจ้องอยู่บนร่างของบุรุษผู้สวมผ้าคลุมกันลมสีครามเข้มฝั่งตรงข้ามของถนน บุรุษผู้นั้นรูปร่างสูงใหญ่ แก้มซูบตอบ เครื่องหน้าทั้งห้างามได้รูป ดวงตาแฝงรอยยิ้มมีเลศนัย ริมฝีปากแดงยกหยันเฉียงขึ้น ใบหน้าแลดูสง่างามแต่มีความพยศแฝงอยู่อย่างบอกไม่ถูก
เขาเห็นฟู่เสวี่ยเยียนแล้ว หากจะพูดให้ชัดเจนยิ่งกว่านั้นก็คือเขารอคอยฟู่เสวี่ยเยียนอยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว
ชั่วพริบตาที่ฟู่เสวี่ยเยียนหยุดฝีเท้า ริมฝีปากแดงของเขาก็ยกโค้งขึ้น ขาเรียวยาวก้าวเท้าข้ามถนนมาหาฟู่เสวี่ยเยียน
ฟู่เสวียนเยียนแทบจะยกมือขึ้นปกป้องท้องไว้ตามสัญชาตญาณ
สายตาขบขันของเขากวาดมองผ่านท้องของฟู่เสวี่ยเยียนแล้ววกกลับขึ้นมา “เจ้ามารหัวขนคนนั้นยังอยู่อีกหรือ”
ยามนี้ฟู่เสวี่ยเยียนถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าบุตรสาวคลอดออกมาแล้ว ไม่ต้องกลัวเจ้าหมอนี่ใช้อุบายอะไรอีกต่อไปแล้ว
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ สีหน้าของฟู่เสวี่ยเยียนก็ไร้ความหวั่นกลัว
มู่ชิวหยางเดินมาตรงหน้าฟู่เสวี่ยเยียนอย่างเชื่องช้า เขามองใบหน้าน้อยที่งามปานบุปผาประหนึ่งหยกดวงนี้ มุมปากยกโค้งขึ้นน้อยๆ “ไม่ได้พบหน้ากันนานนะ น้องสาว”
ฟู่เสวี่ยเยียนมองเขาด้วยสีหน้าเฉยชา “ข้าไม่ใช่น้องสาวของเจ้า เจ้าเลิกมาทำให้คนสะอิดสะเอียนได้แล้ว”
มู่ชิวหยางหัวเราะอย่างชั่วร้าย “จิ๊ๆ ดีเลวข้าก็เลี้ยงเจ้าจนเติบใหญ่ พริบตาเดียวไปมีผู้ชายข้างนอก ก็ไม่รู้จักพี่ชายคนนี้อย่างข้าเสียแล้ว”
ฟู่เสวี่ยเยียนโต้เสียงเย็นชา “เจ้ายังจะกลับมาทำอะไร เจ้าไปเข้าพวกกับลัทธิศักดิ์สิทธิ์แล้วไม่ใช่หรือ หากท่านอ๋องรู้เข้า เกรงว่าเขาคงจะไม่นับเจ้าเป็นบุตรชายอีกต่อไปแล้ว”
“เจ้าคิดว่าข้ากลัวหรือ” มู่ชิวหยางหัวเราะเบาๆ “พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ข้าก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ หากไม่เข้าลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ข้าก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าเป็นคนทรยศแห่งเยี่ยหลัว แฝงตัวอยู่ในจวนอ๋องตั้งแต่ยังเล็ก ทำเรื่องที่ผิดต่อจวนอ๋องมาตั้งมากมายถึงเพียงนั้น แม้แต่ข้า…ก็ถูกเจ้าปิดหูปิดตามาตลอด”
ฟู่เสวี่ยเยียนโต้ด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าไม่เคยทำเรื่องที่ผิดต่อจวนอ๋อง”
“เช่นนั้นหรือ” มู่ชิวหยางยกฝ่ามือใหญ่อันเย็นเฉียบขึ้นมา ปลายนิ้วบีบปลายคางของนางไว้ “ถ้าเช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงมีลูกกับตัวไร้ประโยชน์คนนั้นของตระกูลจีได้เล่า!”
ฟู่เสวี่ยเยียนซัดฝ่ามือหนึ่งออกมา “เขาไม่ใช่ตัวไร้ประโยชน์!”
มู่ชิวหยางคาดไว้ก่อนแล้วว่านางจะออกกระบวนท่าเช่นนี้ เขาเตรียมตัวอยู่ก่อนแล้วจึงจับข้อมือของนางไว้ได้อย่างง่ายดาย เขาว่าเยาะหยัน “ข้าเป็นคนสอนวรยุทธ์ให้เจ้า คิดจริงๆ หรือว่าเจ้าจะเอาชนะข้าได้”
มือขวาของฟู่เสวี่ยเยียนถูกยึดจับไว้ นางจึงยกมือซ้ายขึ้นมาโจมตีใส่ใบหน้าของเขาอีกหน
มู่ชิวหยางแค่นเสียงหยัน เขาถ่ายเทกำลังภายในอันดุดันเข้าไปในมือขวาอย่างรุนแรง แขนขวาของฟู่เสวี่ยเยียนเจ็บปวด ร่างกายครึ่งซีกเริ่มชาทันที
มู่ชิวหยางจี้ดรรชนีออกมาสกัดจุลมปราณของนาง
ฟู่เสวี่ยเยียนถูกสกัดจุดก็ขยับตัวไม่ได้แล้ว
ฟู่เสวี่ยเยียนถลึงตาจ้องเขาเขม็ง!
มู่ชิวหยางยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ ปลายนิ้วลูบพวงแก้มขาวผ่องของนางแล้วไล้ไปตามพวงแก้ม ก่อนจะหยิบปอยผมยาวสลวยของนางขึ้นมาดอมดมเรือนผมหอมของนาง แววตาลึกล้ำเอ่ยขึ้นว่า “ข้าเคยบอกแล้วว่าข้าเกลียดกลิ่นกายของผู้อื่นที่อยู่บนตัวเจ้า”
แววตาของฟู่เสวี่ยเยียนเหมือนอยากจะฆ่าเขาให้ตาย!
มู่ชิวหยางอุ้มฟู่เสวี่ยเยียนขึ้นมาแล้วเดินกลับไปในเรือนหลังน้อยที่ตนเองพักอาศัยอยู่ชั่วคราว
เขาวางฟู่เสวี่ยเยียนลงบนฟูกปูเตียงอันนุ่มนิ่ม จุมพิตนางพลางดึงสายคาดเอวของนางออก
อาภรณ์แบะเปิด เผยให้เห็นอาภรณ์ชั้นในสีขาวของนาง
มู่ชิวหยางทาบลำตัวลงไปกดทั้งร่างของนางไว้ข้างใต้ มือข้างหนึ่งยึดจับเอวคอดที่กว้างไม่ถึงหนึ่งกำมือ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งซุกเข้าไปในเรือนผม จับหลังศีรษะของนางไว้ “อยากพูดอะไรหรือไม่”
เขาคลายจุดใบ้ให้ฟู่เสวี่ยเยียน
ฟู่เสวี่ยเยียนกลับไม่พูดอะไรทั้งสิ้น นางเพียงมองเขาเหมือนมองคนตายคนหนึ่ง
มู่ชิวหยางเอ่ยอย่างชั่วร้าย “ไม่พูดก็ช่าง อีกเดี๋ยวร้องครางก็พอแล้ว”
ฟู่เสวี่ยเยียนสะอิดสะเอียนดจนท้องไส้ปั่นป่วน!
มู่ชิวหยางถอดอาภรณ์ตัวบนของนาง แล้วลูบไล้เรือนร่างของนางอย่างตะกละตะกลาม “ข้าบอกตั้งนานแล้วว่าเจ้าเป็นของข้า”
ฟู่เสวี่ยเยียนมองเพดานห้องอย่างเฉยเมย
มู่ชิวหยางยิ้มอย่างเย็นชา “ยิ่งเจ้าไร้ปฏิกิริยา ข้าก็ยิ่งต้องการเจ้า”
กล่าวจบ ฝ่ามือใหญ่ของเขาก็เลื่อนลงมาอย่างช้าๆ แล้วแทรกเข้าไปในกระโปรงของนาง
ฟู่เสวี่ยเยียนขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอัปยศ
ในขณะที่เขากำลังจะฉีกกระโปรงคาดเอวของนางให้ขาดนั่นเอง ประกายแสงเย็นเยียบสายหนึ่งก็พุ่งเข้ามาจากด้านหลังของเขา
เขารู้สึกตัวจึงคิดจะหลบ แต่น่าเสียดายสายไปก้าวหนึ่ง แม้จะหลบพ้นจุดสำคัญไปได้ แต่กลับถูกประกายอันเย็นเฉียบสายนั้นเฉือนใบหูไปข้างหนึ่ง!
เขากุมปากแผลที่โลหิตไหลทะลัก จากนั้นหันหลังกลับไปอย่างเกรี้ยวกราด แล้วเขาก็เห็นใต้เท้าเจ้าสำนักที่โผล่มาด้านหลังตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบกำลังถือมีดสั้นโชกเลือดเล่มหนึ่งอยู่ในมือ
ใต้เท้าเจ้าสำนักมองเขาอย่างชิงขัง มู่ชิวหยางปล่อยมือที่อาบโลหิตลง เขาโกรธจนหัวเราะ “เจ้าอีกแล้วหรือ มาได้จังหวะพอดี ข้ากำลังกลุ้มอยู่เชียวว่าจะหาโอกาสสังหารเจ้าไม่ได้ เจ้าพาตนเองมาส่งถึงประตู ก็อย่าโทษว่าข้าไม่เกรงใจแล้วกัน!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักตอบเสียงเย็นชา “ผู้ใดให้เจ้าเกรงใจ มีความสามารถเจ้าก็มาสิ!”
มู่ชิวหยางเคยเสียท่าในมือใต้เท้าเจ้าสำนักมาหนึ่งหนแล้ว เขารู้ว่าในร่างอีกฝ่ายมีกำลังภายในอันแข็งแกร่งสายหนึ่งถูกสะกดไว้ ดังนั้นเขาย่อมไม่ต่อสู้กับอีกฝ่ายด้วยมือเปล่าซ้ำสอง มู่ชิวหยางชักกระบี่ชั้นเลิศบนโต๊ะออกมา จากนั้นผนึกกำลังภายในของตนเอง แล้วแทงกระบี่ใส่หัวใจของอีกฝ่าย
ฟู่เสวี่ยเยียนหน้าถอดสี!
ใต้เท้าเจ้าสำนักชักขาได้ก็วิ่งทันที!
มู่ชิวหยางหัวเราะหยัน “เจ้าคิดว่าตนเองจะหนีพ้นหรือ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักวิ่งรวดเดียวออกไปในลานบ้าน แววตาเย็นชาของเขามองมู่ชิวหยางที่ไล่ตามตนออกมา เขาพลิกมือสะบัดวูบหนึ่งก็หยิบขลุ่ยทองคำออกมาเป่าอย่างเยือกเย็น
ชั่วพริบตาที่เสียงขลุ่ยดังขึ้น หน้าอกของมู่ชิวหยางก็เจ็บแปลบอย่างกะทันหัน สองขาของเขาอ่อนแรงจนต้องใช้กระบี่ยันร่างเอาไว้
เขาหันไปมองใต้เท้าเจ้าสำนักอย่างเหลือเชื่อ เจ้าตัวไร้ประโยชน์คนนี้ทำอะไรกับข้ากันแน่ เหตุใดหัวใจของข้าจึงเหมือนจะระเบิด!
ใต้เท้าเจ้าสำนักไม่ได้เพียงฟันเขาหนึ่งหนเท่านั้น แต่บนมีดยังมีกู่ขับขานราตรีอยู่ด้วย
กู่ขับขานราตรีจะเคลื่อนไหวตามเสียง มู่ชิวหยางกุมหัวใจแล้วกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง!
มู่ชิวหยางปลดกำลังภายในที่สะกดไว้ออกมา แต่เขาคิดว่าตนเองเป็นราชันอสูรหรือไร คิดว่าใช้เพียงกำลังภายในน้อยนิดนั่นก็ไม่ต้องกลัวกู่ขับขานราตรีได้แล้วหรือ
หากกู่ขับขานราตรีกำจัดง่ายดายเช่นนั้น เหตุใดมันจึงพันธนาการชนเผ่าถ่าน่าทั้งเผ่าไว้ได้เนิ่นนานปีเพียงนั้นกันเล่า
มู่ชิวหยางยกกระบี่ขึ้นมาพุ่งเข้าใส่ใต้เท้าเจ้าสำนัก อยากจะเชือดเขาให้ตายในหนึ่งกระบี่ ทว่าน่าเสียดายเขายังไม่ทันก้าวออกมาได้หนึ่งก้าวก็กระอักเลือดออกมาสามคำแล้วล้มลงไป
หากสู้ต่ออีก ชีวิตคงไม่เหลือแล้ว