หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 39-2 เขามาแล้ว ประมือ
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 39-2 เขามาแล้ว ประมือ
ตอนที่ 39-2 เขามาแล้ว ประมือ
มู่ชิวหยางทั้งโกรธทั้งแค้น เขาถลึงตาใส่ใต้เท้าเจ้าสำนักจากนั้นพาร่างกายอันเจ็บปวดรวดร้าวของตนวิ่งหนีไป
ใต้เท้าเจ้าสำนักไม่ไล่ตามเขา เขาไม่ยอมรับหรอกว่าตนเองไล่ตามไม่ทัน เขากลับเข้าไปในห้อง เมื่อเห็นฟู่เสวี่ยเยียนเสื้อผ้าหลุดลุ่ย คนที่ชอบโมโหขู่พองขนมาตลอดเช่นเขากลับไม่แสดงสีหน้าอันใดทั้งสิ้น เขาเพียงสวมอาภรณ์ให้ฟู่เสวี่ยเยียนเงียบๆ เท่านั้น
ฟู่เสวี่ยเยียนรู้สึกขัดเขินและอึดอัด
ใต้เท้าเจ้าสำนักถามขึ้นมาอย่างนิ่งสงบ “จะคลายจุดให้เจ้าอย่างไร”
ฟู่เสวี่ยเยียนหลุบตาลง “เจ้าประคองข้าลุกขึ้นนั่ง ข้าจะแผ่พลังคลายจุดเอง”
ใต้เท้าเจ้าสำนักพยุงนางขึ้นมานั่งพิงหัวเตียง
ฟู่เสวี่ยเยียนหลับตาโคจรกำลังภายในจากจุดตันเถียน ทะลวงจุดลมปราณอย่างแรงอยู่สองสามหน ในที่สุดก็คลายจุดลมปราณที่มู่ชิวหยางสะกดไว้ได้
นางเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก นางปาดเหงื่อบนหน้าผากแล้วหันไปมองใต้เท้าเจ้าสำนักที่นั่งเงียบๆ อยู่ด้านข้าง เขามองออกไปนอกหน้าต่างคล้ายกำลังเหม่อลอย แพขนตาของฟู่เสวี่ยเยียนกระพือไหว ก่อนจะเอ่ยปากอย่างลำบากใจ “เมื่อครู่ข้า…”
“ไม่ต้องพูดถึงมันหรอก” ใต้เท้าเจ้าสำนักเอ่ยขัดนางด้วยสีหน้านิ่งสงบ จากนั้นก็ถอดเสื้อตัวนอกของตนเองออกมาห่มร่างของนาง “กลับบ้านกันเถิด”
“ข้ายังไม่ทัน…” พูดมาถึงตรงนี้ ฟู่เสวี่ยเยียนก็ชะงัก คำพูดต่อจากนั้นนางพูดไม่ออกอยู่บ้าง
ใต้เท้าเจ้าสำนักเอ่ยแทรกขึ้นมาว่า “ถึงจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ไม่เป็นอะไร”
“เฮ้อ เจ้า…” ฟู่เสวี่ยเยียนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีแล้ว
ใต้เท้าเจ้าสำนักเงียบจนไม่เหมือนตัวเขา ฟู่เสวี่ยเยียนอยากถามว่าความจริงแล้วเจ้าคิดมากอยู่ใช่หรือไม่ แต่ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเขาไม่ได้เพิ่งจะเงียบเช่นนี้ในคืนนี้ ไม่กี่วันที่ผ่านมาเขาก็เงียบเช่นนี้มาตลอดจนแทบจะทำให้ผู้คนไม่รับรู้ถึงการมีตัวตนของเขา
“เจ้า…เป็นอะไรไปกันแน่” ฟู่เสวี่ยเยียนถาม
“ข้าไม่ได้เป็นอะไร” ใต้เท้าเจ้าสำนักตอบ
ไม่ได้เป็นอันใดแล้วเหตุใดจึงไม่มีชีวิตชีวาเช่นนี้เล่า
ฟู่เสวี่ยเยียนมองเข้าไปในดวงตาของเขา “เจ้ามีเรื่องบางอย่างในใจ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักไม่ตอบ
ฟู่เสวี่ยเยียนครุ่นคิด “เจ้าไม่พอใจที่พวกเราออกมาตามหาจิ่งอวิ๋นแต่ไม่พาเจ้ามาด้วยใช่หรือไม่”
ใต้เท้าเจ้าสำนักตอบอย่างเฉยชา “ข้ารู้ว่าข้าไร้ประโยชน์ เป็นได้แค่ตัวถ่วงของทุกคน พวกเจ้าไม่พาข้ามาด้วยก็สมควรแล้ว”
ฟู่เสวี่ยเยียนบื้อใบ้ จู่ๆ นางก็ตระหนักได้ว่าพวกเขาปกป้องอีกฝ่ายมากเกินไปจนทำร้ายความภาคภูมิใจของบุรุษคนนี้เสียแล้ว มิน่าพักนี้เขามักจะ ‘ว่าง่าย’ อย่างน่าเหลือเชื่อ ไม่ใช่ว่าเขาคิดตกแล้วจริงๆ แต่เขากำลังเศร้าใจอยู่ต่างหาก
ฟู่เสวี่ยเยียนจับแขนเสื้อของเขามาแกว่งไปมาเบาๆ “นี่”
“อะไร” ใต้เท้าเจ้าสำนักถามเรียบๆ
ฟู่เสวี่ยเยียนถามว่า “อยากไปตามหาจิ่งอวิ๋นด้วยกันหรือไม่”
ฟู่เสวี่ยเยียนเพิ่งเอ่ยจบ อินทรีทองก็กระพือปีกบินเข้ามา ฟู่เสวี่ยเยียนเห็นเชือกสีแดงกับแผ่นกระดาษใต้ปีกของมันแล้ว นางปลดเชือกออกมาอ่าน
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ” ใต้เท้าเจ้าสำนักถาม
ฟู่เสวี่ยเยียนผูกแถบกระดาษกลับไปอย่างเงียบเชียบแล้วบอกใต้เท้าเจ้าสำนักว่า “จั๋วหม่าน้อยน่ะ นางถามว่าพวกเราตามหาจิ่งอวิ๋นพบหรือยัง”
อินทรีทองเบิกดวงตานกอินทรีของมันจนโต
ฟู่เสวี่ยเยียนแววตาเป็นประกาย ตบหัวของมันเบาๆ ให้มันบินจากไป
ฟู่เสวี่ยเยียนหันไปมองใต้เท้าเจ้าสำนัก “ไปตามหาจิ่งอวิ๋นด้วยกันดีหรือไม่”
ใต้เท้าเจ้าสำนักกระแอม แล้วตอบด้วยสีหน้าไม่ใคร่จะยินดี “ข้าตามหาเขาไม่พบหรอก!”
ฟู่เสวี่ยเยียนหัวเราะเบาๆ “ถ้าเช่นนั้นเจ้าตามหาข้าพบได้อย่างไรเล่า”
ใต้เท้าเจ้าสำนักไม่พูดจาแล้ว
ฟู่เสวี่ยเยียนเม้มปาก นางมองมือของเขาแล้วลังเลครู่หนึ่งก่อนจะเอื้อมมือของตนเองออกไปเบาๆ
ชั่วพริบตาที่มือเรียวนุ่มนิ่มกุมปลายนิ้วของเขาเอาไว้ ใต้เท้าเจ้าสำนักก็แข็งทื่อไปทั้งตัว!
พวงแก้มของฟู่เสวี่ยเยียนแดงก่ำอย่างรวดเร็วชนิดที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า
ฟู่เสวี่ยเยียนไม่มองเขา
เขาก็ไม่มองฟู่เสวี่ยเยียน
ทั้งสองคนทำตัวเหมือนนกกระจอกเทศสองตัว ทำเหมือนไม่รู้ว่าพวกเขากำลังจับมือกันอยู่
“จิ่งอวิ๋น…จิ่งอวิ๋นอยู่ที่ไหนเล่า จะ…จะ…จะไปหาที่ไหนดี” ใต้เท้าเจ้าสำนักประหม่าจนติดอ่างแล้ว
ฟู่เสวี่ยเยียนเม้มปากจนริมฝีปากยกโค้ง แล้วตอบด้วยน้ำเสียงเฉกเช่นปกติ “…ไปทางใต้กันเถิด”
ทั้งสองคนจูงมือกันออกเดินทางไปทางทิศใต้ของเมืองด้วยท่าทางจริงจัง สายตาไม่เหลือบแลไปทางอื่นสักนิด
…
กล่าวถึงจิ่งอวิ๋นที่กลับจวนมาตั้งนานแล้ว ตอนนี้เขากำลังนอนอยู่ข้างกายน้องสาว ไม่รู้ว่ากำลังฝันหวานอันใดอยู่ มุมปากจึงขยับยกเป็นรอยยิ้ม
ฟ้าสว่างยังไม่นานเท่าไร อาต๋าเอ่อร์ก็กลับมาแล้ว หลังจากเขากลับมาเฉียวเวยก็ให้เขาคอยเฝ้าจิ่งอวิ๋น ส่วนตนเองเดินไปที่สถานที่เก็บตัวฝึกวิชาของจีหมิงซิวพร้อมกับกงซุนฉางหลี
ยิ่นอ๋องสะกดรอยตามหลังไปด้วย
เฉียวเวยไม่อยากให้เขารู้สถานการณ์ของจีหมิงซิวหรอกนะ!
เจ้าหมอนี่เป็นศัตรูคู่แค้นของหมิงซิว หากรู้ว่าหมิงซิวกำลังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญของการฝึกวิชาฝ่ามือเก้าสุริยัน ผู้ใดจะรู้ว่าเขาจะคิดแผนการร้ายอะไรออกมาอีกหรือไม่
เฉียวเวยหันกลับมามองยิ่นอ๋องอย่างไม่เข้าใจ “ข้าว่าองค์ชายยิ่นอ๋องที่เคารพ ท่านเจ้าลัทธิน้อยผู้สูงส่ง ท่านว่างไม่มีงานมีการทำหรืออย่างไร เหตุไฉนยังไม่ไปอีกเล่า”
ยิ่นอ๋องตอบอย่างไม่เกรงใจสักนิด “ก็ข้าจะไม่ไป!”
เฉียวเวยต่อว่าอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าจะตามเกาะติดพวกข้าให้ได้ใช่หรือไม่”
เฉียวเวยถกแขนเสื้อเอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าหรือ ท่านราชันอ…”
เฉียวเวยยังไม่ทันเอ่ยคำว่า ‘สูร’ จบ ฮองเฮาเยี่ยหลัวก็ตื่นนอนแล้ว นางเดินออกมาจากห้องกำลังจะไปหาอะไรสักหน่อยกินที่ห้องครัว ผลปรากฏว่ามองเห็นยิ่นอ๋องที่ถูกเฉียวเวยขวางอยู่หน้าประตู ดวงตาของนางเป็นประกายทันใด…
เฉียวเวยกุมหน้าผาก เหตุไฉนนางจึงลืมไปได้ว่าเจ้าหมอนี่ยังมีไม้ตายที่ชื่อว่าท่านน้าอยู่
ในที่สุดยิ่นอ๋องก็ถูกฮองเฮาเยี่ยหลัวรั้งตัวไว้ ทว่าแม้จะได้อยู่ต่อแต่เขาก็ไม่อาจตามติดเฉียวเวยได้แล้ว เพราะฮองเฮาเยี่ยหลัวจับมือเขาไว้ ไม่ยอมให้เขาอยู่ห่างจากสายตาของนางแม้แต่เค่อเดียว
เฉียวเวยขยับยิ้ม
…
ระหว่างที่เฉียวเวยกับกงซุนฉางหลีเดินไปที่ห้องลับ คนที่ออกไปตามหาจิ่งอวิ๋นก็ทยอยกันกลับมา
คนที่กลับมาคนแรกสุดคืออาต๋าเอ่อร์ หลังจากนั้นก็เป็นเฉียวเจิงกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ย
ผ่านไปอีกครึ่งวัน ฟู่เสวี่ยเยียนกับใต้เท้าเจ้าสำนักก็กลับมาด้วย
มีเพียงอวิ๋นจูที่ยังไม่กลับมาเสียที
เฉียวเจิงกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยออกไปตามหาถึงเมืองอวิ๋นจงโดยใช้ป้ายคำสั่งที่ท่านราชครูแอบยัดให้เฉียวเวยไว้ ทั้งสองคนขึ้นบันไดสวรรค์ได้อย่างราบรื่น แต่ตามหาได้ไม่นานเท่าไรอินทรีทองก็บินมา
อินทรีทองไปตามหาอวิ๋นจูกับไห่สือซานเป็นกลุ่มสุดท้าย น่าเสียดายมันตามหาไม่พบ
นี่จะโทษอินทรีทองว่าไปหาผิดที่ก็ไม่ได้ อินทรีทองไปที่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์มาแล้วเพราะนั่นเป็นแผนการเดิมของอวิ๋นจู ทว่าแผนการไล่ตามไม่ทันการเปลี่ยนแปลง อวิ๋นจูพบว่าโจรเฒ่าเย่ว์หวาไม่อยู่! คนทั้งลัทธิศักดิ์สิทธิ์กำลังตามหาเขา!
อวิ๋นจูย่อมไม่ทราบว่าอีกฝ่ายถูกจักรพรรดิอสูรซัดปลิวหายไป นางคิดว่าเขาจับตัวจิ่งอวิ๋นแล้วหนีไปซ่อนตัวที่ใดสักแห่ง
ดังนั้นอวิ๋นจูจึงไม่ได้ไปที่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์แต่ออกตามหาสถานที่ที่เขาน่าจะไปซ่อนตัวในเทือกเขาหมั่งฮวงอย่างละเอียดแทน
การออกไปตามหาหนนี้ทำให้นางคลาดกับอินทรีทอง
อวิ๋นจูกับไห่สือซานออกตามหาอยู่หนึ่งวันหนึ่งคืน พวกเขาค้นรังของเย่ว์หวาจนเหี้ยน แต่ก็ไม่พบเงาของเย่ว์หวา ระหว่างที่อวิ๋นจูขบคิดว่าหรือเย่ว์หวาจะหวนกลับไปที่เมืองเยี่ยเหลียง เรื่องประหลาดก็เกิดขึ้น
ลมปราณมหาศาลสายหนึ่งแผ่ออกมาจากทิศทางที่ตั้งลัทธิศักดิ์สิทธิ์ประหนึ่งคลื่นสมุทร
ลมปราณนี้อยู่ห่างจากอวิ๋นจูไม่ใกล้นัก แต่มันก็ยังคงทำให้อวิ๋นจูหนาวสะท้าน
อวิ๋นจูมองไปยังทิศทางที่ลมปราณแผ่พุ่งออกมา ทันใดนั้น…นางก็พลันหน้าถอดสี
ภายในจวนมู่อ๋อง ฮองเฮาเยี่ยหลัวจับมือของบุตรชายไว้แล้วยิ้มจนตาหยีให้เขา นางพร่ำพูดถ้อยคำแสดงความห่วงใยออกมาอย่างไม่มีจบสิ้น วั่งซู สือชีและราชันอสูรไปที่สวนดอกไม้ด้านหลัง พวกเยี่ยนเฟยเจวี๋ยเพิ่งจะยกชามข้าวขึ้นมาเตรียมจะรับประทานอาหาร เฉียวเจิงวิจัยยาอยู่ที่ห้องยา ส่วนเฉียวเวยกับกงซุนฉางหลีมุ่งหน้าไปยังห้องลับที่จีหมิงซิวเก็บตัวฝึกฝนวิชา…
ทุกสิ่งสงบสุขจนน่าเหลือเชื่อ จนกระทั่งลมปราณมหาศาลสายหนึ่งแผ่ลงมากดดันระลอกแล้วระลอกเล่าประหนึ่งเกลียวคลื่น ทุกคนหัวใจสั่นสะท้านอย่างไม่ทันตั้งตัว!
ลมปราณสายนี้อีกแล้ว…
หนแรกที่ลอบเข้าไปในลัทธิศักดิ์สิทธิ์และกำลังจะจับตัวราชครูได้ เฉียวเวยก็เคยสัมผัสลมปราณอันแข็งแกร่งสายนี้มาก่อน แต่ในเวลานั้นมันยังไม่น่ากลัวเท่าวันนี้
เฉียวเวยรู้สึกว่าแรงกดดันจากลมปราณสายนี้ทำให้หัวใจของนางแทบจะระเบิด
ไม่ใช่แค่นางเท่านั้น แม้แต่กงซุนฉางหลีก็มีเหงื่อเย็นผุดพรายออกมาจากหน้าผาก
ราชันอสูรกอดวั่งซูตัวน้อยเข้ามาในอ้อมแขนแล้วใช้แผ่นหลังของตนขวางลมปราณสายนี้ไว้อย่างแน่นหนา
จิ่งอวิ๋นตื่นแล้ว เขากำลังนั่งอยู่ในลานบ้านกินถั่วเคลือบน้ำตาลเป็นเพื่อนจักรพรรดิอสูร
เขาเห็นท้องฟ้าเหนือศีรษะจู่ๆ ก็มืดครึ้ม เมฆดำทะมึนประหนึ่งน้ำหมึกม้วนตัวพัดมาดำทะมึน
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง!
จิ่งอวิ๋นตกตะลึง
ท่ามกลางลมปราณที่แทบจะสังหารยอดฝีมือทั้งหมดจนสิ้นสายนี้ มีเพียงจักรพรรดิอสูรที่ยังคงท่าทีสุขุม
จักรพรรดิอสูรแผ่ลมปราณของตนเองออกมา
ทุกคนพลันรู้สึกว่าศีรษะเบาขึ้น
ในที่สุดเฉียวเวยก็กลับมาหายใจได้แล้ว นางเกาะกำแพงหอบหายใจแล้วถามว่า “นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
กงซุนฉางหลีหันไปมองทิศทางที่ตั้งลัทธิศักดิ์สิทธิ์ แล้วพึมพำว่า “อวิ๋นซู่ตื่นแล้ว เขากำลังเตือนจักรพรรดิอสูรว่าเขามาแล้ว”