หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 42-1 อุบายของจักรพรรดิอสูร (1)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 42-1 อุบายของจักรพรรดิอสูร (1)
ตอนที่ 42-1 อุบายของจักรพรรดิอสูร (1)
ตอนที่อวิ๋นจูกลับมาถึงเรือนฟางชุ่ยหยวน เฉียวเวย ฟู่เสวี่ยเยียน ฮองเฮาเยี่ยหลัว ไห่สือซานกับเยี่ยนเฟยเจี๋ยต่างก็ยืนมองนางอยู่ที่ลานบ้านอย่างพร้อมหน้า เหมือนรอคอยนางกลับมาอยู่นานแล้ว
ทุกคนมองไปด้านหลังนางพร้อมกันอย่างไม่ได้นัด เมื่อไม่เห็นจักรพรรดิอสูรก็เผยสีหน้าผิดหวังออกมาอย่างห้ามไม่ได้
ราชันอสูรกับสือชีที่อยู่ด้านในห้องชนกำปั้นกัน
อวิ๋นจูมองทุกคนด้วยสีหน้านิ่งสงบ “ยืนอยู่ตรงนี้ทำอะไรกัน ไม่มีงานต้องทำแล้วหรือ”
ไห่สือซานเกาศีรษะ “ข้าจะไปช่วยนายท่านเฉียวต้มยานะขอรับ”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกระแอมเบาๆ “ข้าจะไปดูอาการแม่ทัพน้อยมู่”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวบอกว่า “ข้าจะไปดูมู่เหยียนน้อย”
ฟู่เสวี่ยเยียนถูกแย่งบทพูดไปแล้วจึงสะอึกหนึ่งจังหวะ จากนั้นจึงตอบคนละเรื่องกับคำถามก่อนหน้า “ท่านยายเหนื่อยแล้วกระมัง เมื่อครู่ข้าเก็บดอกเหมยได้จำนวนหนึ่ง เดี๋ยวจะนำไปมอบให้ท่านนะเจ้าคะ”
เฉียวเวยไม่ส่งเสียงสักแอะ นางมองอวิ๋นจูเดินผ่านข้างกายตนเองไป เมื่ออวิ๋นจูเข้าไปในห้องแล้ว นางจึงหมุนฝ่าเท้าเดินตามเข้าไปด้วย
อวิ๋นจูรู้ว่านางเข้ามาแล้วแต่ก็ไม่พูดอันใด นางนั่งลงบนม้านั่งข้างโต๊ะแล้วยื่นมือออกไปหยิบถ้วยชา โ โ
เฉียวเวยชิงหิ้วกาน้ำชาขึ้นมาก่อนนางหนึ่งก้าว จากนั้นรินชาร้อนควันฉุยให้นางหนึ่งถ้วย ก่อนจะเอ่ยถามพลางมองสำรวจสีหน้าของนางไปด้วย “ท่านยาย ไม่มีหนทางอื่นแล้วจริงหรือ ท่านดูสิพวกเรามีกันตั้งหลายคน บิดาของข้าเป็นหมอเทวดา ข้าเองก็เป็นหมอเทวดา บางทีพวกเราอาจหาวิธีแก้ไขพบก็ได้”
อวิ๋นจูเงียบงัน ผ่านไปเนิ่นนานก็ส่ายหน้าตอบว่า “หาไม่พบหรอก”
เฉียวเวยนิ่งอึ้งจากนั้นก็จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของอวิ๋นจู แล้วถามหยั่งเชิงว่า “ท่านยาย ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ นอกจากช่วยตามหาหญ้ามังกรให้ท่านน้า ท่านก็ยังช่วยจักรพรรดิอสูรตามหาวิธีสะกดพลังของตนเองด้วยใช่หรือไม่”
อวิ๋นจูไม่ยอมรับ แต่ก็ไม่ปฏิเสธ นางเพียงเอ่ยว่า “นี่ไม่ใช่โรค แล้วก็ไม่นับว่าเป็นอาการบาดเจ็บดังนั้นยาหรือวิชาใดก็ไม่ได้ผลทั้งสิ้น อย่าเปลืองสมองคิดเลย เขาธาตุไฟเข้าแทรกกลายเป็นมารไปแล้ว ไม่ใช่มนุษย์ปกติอีกต่อไป”
แต่เขาก็ปกติดีจริงๆ นะ!
ในใจเฉียวเวยพึมพำเช่นนี้ แต่ภายนอกกลับไม่กล้าค้านท่านยาย
อวิ๋นจูเอ่ยต่อว่า “มีเพียงค่ายกลบนเกาะอิ๋นหูที่ขังเขาได้ ให้เขากลับไป ไม่ว่ากับใครก็ดีที่สุดแล้ว”
หากเขาคลุ้มคลั่งจนพลาดท่าสังหารคนรอบตัวไปมากมาย หลังจากได้สติแล้วเขาจะต้องเศร้าเสียใจและตำหนิตนเองอย่างแน่นอน
เฉียวเวยไม่เคยเห็นจักรพรรดิอสูรคลุ้มคลั่งมาก่อนนางจึงยังมีความคิดในแง่ดีอยู่บ้าง แต่นางคิดว่าท่านยายเคยเห็นมาแล้ว ดังนั้นนางจึงหวาดกลัวว่าฝันร้ายจะหวนกลับมาเกิดซ้ำอีกครั้ง
ทว่าในเวลาเดียวกันนางก็คิดว่าเวลาหลายปีที่จักรพรรดิอสูรถูกสะกดไว้ที่เกาะอิ๋นหูไม่ใช่ว่าจะเสียไปเปล่าๆ ไม่แน่ว่าตัวเขาเองอาจจะหาวิธีสะกดพลังพบตั้งนานแล้วก็เป็นได้
อวิ๋นจูจิบชาคำหนึ่งแล้ววางถ้วยลง จากนั้นจึงเอ่ยอย่างเหนื่อยล้า “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เจ้ากลับห้องไปพักผ่อนเถิด ข้าอยากอยู่เงียบๆ คนเดียว”
เฉียวเวยได้ยินดังนั้นก็เพิ่งตระหนักได้ว่าในหมู่พวกเขา อวิ๋นจูเป็นคนที่ใกล้ชิดกับจักรพรรดิอสูรที่สุด การไล่จักรพรรดิอสูรจากไป ไม่ว่าพวกเขาจะเสียใจเท่าใด อวิ๋นจูมีแต่จะเสียใจมากกว่า
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เฉียวเวยก็เข้าใจการตัดสินใจของอวิ๋นจูอย่างถ่องแท้แล้ว
เฉียวเวยกลับไปที่ห้อง นางเห็นแต่จิ่งอวิ๋น ไม่เห็นวั่งซูจึงถามจิ่งอวิ๋นว่า “น้องสาวเจ้าเล่า”
จิ่งอวิ๋นกะพริบตาปริบๆ บอกว่า “เหมือนจะไปถ่ายเบานะขอรับ”
วั่งซูไปถ่ายเบาจริงๆ นางถ่ายเบาเสร็จก็ล้างมืออย่างเป็นเด็กดีแล้วตั้งใจจะกลับไปที่ห้อง ทว่าทันใดนั้นเองถั่วเคลือบน้ำตาลเม็ดหนึ่งก็ร่วงลงมาจากบนท้องฟ้า ตกลงมาบนพื้นตรงหน้านาง
นางเก็บถั่วเคลือบน้ำตาลขึ้นมา เพิ่งจะเก็บขึ้นมาเสร็จก็มีถั่วเคลือบน้ำตาลอีกเม็ดหนึ่งตกอยู่ถัดไปอีกเล็กน้อย
นางเดินตามถั่วเคลือบน้ำตาลที่ร่วงลงมาไม่หยุด เก็บไปตลอดทางจนเดินออกมาพ้นเรือนฟางชุ่ยหยวน
หลังออกมาจากเรือนฟางชุ่ยหยวน สิ่งที่ตกลงมาบนพื้นหิมะก็ไม่ใช่ถั่วเคลือบน้ำตาลแล้วแต่เป็นลูกแก้ว
วั่งซูเก็บลูกแก้วที่ร่วงลงมาไม่หยุดต่อ นางเก็บไปๆ ตลอดทางจนมาถึงริมแม่น้ำสายน้อย ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
ริมแม่น้ำมีคนผู้หนึ่งนอนอยู่ เขาสวมอาภรณ์สีดำ ผมเผ้ารุงรังปิดบังใบหน้า นอนอยู่บนหิมะอันเย็นเฉียบ ลมหายใจแผ่วเบาอย่างยิ่ง
วั่งซูร้องเรียกสองสามคำก็ปลุกเขาไม่ตื่น แต่บนตัวนางไม่ได้พกอุปกรณ์ใดที่จะช่วยรักษาเขาได้มาด้วย ดังนั้นนางจึงคว้าคอเสื้อของเขา แล้วลากเขากลับไปที่เรือนฟางชุ่ยหยวนแทน
ระหว่างทางที่ถูกลากกลับไปอย่าให้พรรณนาเลยดีกว่า สรุปก็คือใครบางคนที่แต่เดิมจำเป็นต้องแปลงโฉมกลับถูกลากไปชนภูเขา ชนต้นไม้ ชนก้อนหินตลอดทางจนสภาพอเนจอนาถถึงขั้นสุด เมื่อกลับมาถึงเรือนฟางชุ่ยหยวนในที่สุด หน้าตาของเขาก็เปลี่ยนสภาพไปจนบิดามารดายังจำไม่ได้แล้ว
“วั่งซู!”เฉียวเวยเดินเข้าไปหาอย่างตกใจ “เจ้าออกไปได้อย่างไรกัน แล้วนี่ผู้ใด”
วั่งซูผายมือบอกว่า “ข้าไปเก็บลูกแก้วเจ้าค่ะ หลังจากนั้นข้าก็เก็บท่านลุงคนหนึ่งได้จากริมแม่น้ำ เขาหมดสติอยู่ ข้าจึงพาเขากลับมารักษา!”
เฉียวเวยไม่สะดวกใจจะบอกว่าสิ่งที่นางทำไม่ถูกต้อง ไม่ว่าอย่างไรการกระทำอันมีจิตใจเมตตาเหล่านี้ก็ต้อง ‘ขอบคุณ’ นิทานเกี่ยวกับเหลยเฟิง[1]จำนวนนับไม่ถ้วนที่นางเคยเล่าให้ฟัง
แต่เฉียวเวยไม่พาคนเข้าบ้านทันที นางย่อตัวลงมองใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างถี่ถ้วน แต่เดิมคิดจะดูว่าอีกฝ่ายหน้าตาเป็นเช่นไร ใช่คนในจวนหรือไม่ ผลปรากฏว่าเมื่อนางเพ่งมอง…
ลูกสาว นี่เจ้าแน่ใจหรือว่าไม่ได้ซ้อมเขา
แต่ต่อให้เฉียวเวยจำหน้าของเขาไม่ได้ก็จำรูปร่างที่สูงใหญ่เกิดมนุษย์ทั่วไปของเขา รวมถึงเสื้อผ้าสีดำที่ตนเลือกให้เขาเองกับมือได้อยู่ดี!
รู้จักเปลี่ยนมาใส่ชุดสีดำด้วยนะ!
ชุดสีขาวพลิ้วๆ ไม่เอาแล้วใช่หรือไม่
มิน่าเจ้าตุ้ยนุ้ยถึงจำไม่ได้
วั่งซูเงยหน้ามองเฉียวเวยแล้วถามว่า “ท่านแม่ ท่านลุงคนนี้เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ เขาไม่บาดเจ็บหนักหนานักใช่หรือไม่”
เฉียวเวยมองใครบางคนที่หลับตาแน่น มุมปากกระตุกเบาๆ แล้วบอกว่า “วางใจเถิด ลูกสาว ต่อให้ท่านพ่อราชันอสูรของเจ้าบาดเจ็บ เขาก็ไม่มีทางบาดเจ็บหรอก”
วั่งซูขานอ้อตอบคำหนึ่งก็ก้มลงมา ดวงตาโตสีดำขลับแวววาวจ้องเขม็งที่อีกฝ่ายแล้วบอกว่า “ถ้าเช่นนั้นเขาก็ป่วยสินะ ท่านแม่ท่านดูสิหน้าของเขาบวมหมดแล้ว”
“พวกเจ้ากำลังคุยอะไรกัน”
เฉียวเวยแววตาไหววูบขยับมาบังใครบางคนไว้ด้านหลัง จากนั้นหันกลับไปมองอวิ๋นจู “อ้อ ไม่มีอันใดเจ้าค่ะ มีบ่าวรับใช้คนหนึ่งเป็นลมไป ข้ากำลังคิดว่าจะช่วยรักษาเขา”
“บ่าวรับใช้หรือ” สายตาคลางแคลงของอวิ๋นจูจับบนร่างของคนที่ศีรษะถูกเฉียวเวยบังไว้ แต่ลำตัวกับแขนขาไม่อาจบังได้ โครงกระดูกที่ผิดจากมนุษย์ปกตินั่น ไม่ต้องพูดถึงบ่าวรับใช้ แม่ทัพที่แกร่งกล้าที่สุดในเมืองเยี่ยเหลียงก็ยังไม่ตัวสูงใหญ่ขนาดนี้!
แววตาของอวิ๋นจูดำทะมึนในทันที!
เฉียวเวยรู้ว่าพลาดท่าแล้ว นางตบศีรษะของตนเองแล้วบอกว่า “ท่านยาย ท่านฟังข้าอธิบาย…”
อวิ๋นจูเอ่ยขึ้นมาว่า “วั่งซู เจ้าเข้าห้องไปก่อน”
“เจ้าค่ะ” วั่งซูเข้าห้องไปอย่างว่าง่าย
นางเป็นแม่นางน้อยที่เชื่อฟังอยู่แล้ว!
อวิ๋นจูก้าวลงบันไดมาทีละก้าว เฉียวเวยยืนอยู่หน้าจักรพรรดิอสูร นางถูกสายตาดุดันของอวิ๋นจูมองจนขนหัวลุก สองขาอยากจะขยับหลบตามสัญชาตญาณ แต่นางกัดฟันอดทนไว้สุดชีวิต
“เจ้าใจกล้าพอสมควรเลยนะ” อวิ๋นจูเอ่ยขึ้นมา
เฉียวเวยฝืนอยู่ครู่หนึ่ง แววตาก็วูบไหว นางลูบท้องแล้วบอกว่า “ข้า…ข้าตั้งครรภ์อยู่ ท่านอย่าทำให้ข้ากลัว เดี๋ยวครรภ์จะกระทบกระเทือนได้นะเจ้าคะ”
อวิ๋นจูสั่งว่า “หลีกไป”
ไม่หลีก
เฉียวเวยยืนหยัดพิทักษ์ค่าย!
ยืนหยัดพิทักษ์จักรพรรดิอสูร!
อวิ๋นจูหันมามองนางด้วยสายตาเรียบเฉย “อย่าให้ข้าพูดเป็นครั้งที่…”
เฉียวเวยหลีกทางให้อย่างรู้ตัว!
อวิ๋นจูเดินไปตรงหน้าจักรพรรดิอสูรอย่างนิ่งสงบ นางหลุบตาลงมองจักรพรรดิอสูรที่แสร้งทำเป็นสลบไม่ตื่น “ข้ารู้ว่าท่านไม่ได้สลบ ท่านจะไปเองหรือจะให้ข้ามัดท่านแล้วลากออกไป”
จักรพรรดิอสูรไม่ขยับ
อวิ๋นจูกำนิ้วมือ แล้วสั่งเฉียวเวยว่า “ไปเอาเชือกมา”
เฉียวเวยแววตาสั่นไหว “ท่านยาย!”
อวิ๋นจูกำหมัด ถามด้วยสีหน้านิ่งเฉย “เจ้าก็จะไม่เชื่อฟังด้วยแล้วหรือ”
เฉียวเวยมองฟู่เสวี่ยเยียนที่อยู่ตรงประตู ฟู่เสวี่ยเยียนส่ายหน้าเบาๆ นางจึงก้มหน้าลงอย่างเศร้าใจ แล้วไปหยิบเชือกม้วนหนึ่งในห้องออกมา ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
เหตุการณ์ต่อจากนี้ นางไม่กล้าดูแล้ว
นางหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้อง นางได้ยินเสียงเชือกมัดกับอาภรณ์ ได้ยินเสียงอวิ๋นจูเรียกคนให้ขับรถม้ามาที่เรือนฟางชุ่ยหยวน แล้วก็ได้ยินเสียงล้อรถบดกับแผ่นหินเขียวอันเย็นเฉียบเข้ามาใกล้เรือนฟางชุ่ยหยวนทีละนิด
รถม้าจอดตรงเรือนฟางชุ่ยหยวน
อวิ๋นจูให้คนแบกจักรพรรดิอสูรที่หมดสติขึ้นไป
บ่าวรับใช้แบกไม่ไหว
อวิ๋นจูข่มกลั้นเพลิงโทสะ “สือชี”
สือชีก็แบกไม่ไหวเช่นกัน…
สาเหตุสำคัญก็เพราะเขาไม่กล้าแบก
อวิ๋นจูเรียกราชันอสูรมาต่อ ราชันอสูรก็แบกไม่ไหวเช่นกัน
จักรพรรดิอสูรเหมือนเชื่อมติดอยู่กับพื้น ใช้พลั่วตักก็ตักไม่ขึ้น!
อวิ๋นจูโมโหแทบแย่แล้ว นางกัดฟันก้มตัวลงไปอุ้มเขาด้วยตนเอง
หนนี้อวิ๋นจูอุ้มขึ้นมาได้สำเร็จ
อวิ๋นจูอุ้มจักรพรรดิอสูรขึ้นไปบนรถม้า แต่คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะวางลงบนรถม้าได้ ก็ได้ยินเสียงโครมดังสนั่น รถม้าถล่มลงมา!
อวิ๋นจู “…”
อวิ๋นจูโมโหจนคว้าตัวเขาเดินไปที่ริมกำแพงจวนจากนั้นโยนเขาออกไป!
ด้านนอกคือสระน้ำน้อย!
ตู้ม! ตกลงไปในสระน้ำแล้ว
หลังจากได้ยินเสียงตกน้ำ อวิ๋นจูก็เดินหอบกลับเข้ามาที่ลานเรือน
ทว่านางเพิ่งเดินเข้ามาในเรือนก็เห็นจักรพรรดิอสูรที่ถูกเชือกมัดทั้งตัว นอนหลับตาตัวเปียกโชกอยู่บนพื้นหิมะเย็นยะเยือก
อวิ๋นจูจะ จะ…
เฉียวเวยทนดูต่อไปไม่ได้แล้ว อากาศหนาวเช่นนี้ เปียกโชกไปทั้งตัวเดี๋ยวจะล้มป่วยเอาได้นะ นางเป็นหมอ!
เฉียวเวยเดินเข้ามาบอกอย่างปวดใจและจนปัญญา “ท่านยาย ท่านให้จักรพรรดิอสูรอยู่ต่อเถอะ”
อวิ๋นจูโกรธจุกอกไปหมด “แม้แต่เจ้าก็ถูกเขา…”
เขาเสแสร้งชัดๆ! ไหนเลยจักรพรรดิอสูรจะถูกผู้อื่นโยนลงน้ำได้จริงๆ นี่มันก็แค่อุบายเฉือนเนื้อตนเองเท่านั้น แต่ทุกคนในเรือนหลังนี้ดันเชื่อ!
จะไม่ใช่ทุกคนได้อย่างไร ดูสิสาวใช้บ่าวเฒ่า ไห่สือซาน เยี่ยนเฟยเจวี๋ย…ทุกคนยืนอยู่ตรงประตูมองจักรพรรดิอสูรตาปริบๆ สงสารเขาแทบตายอยู่แล้ว
แต่อวิ๋นจูไม่ใช่คนใจอ่อนง่ายเช่นนั้น
อวิ๋นจูมองจักรพรรดิอสูรที่แสร้งสลบขายความน่าสงสาร ขณะที่นางกำลังจะเอ่ยปาก จิ่งอวิ๋นก็วิ่งออกมาจากในห้อง
แต่เดิมเขาอ่านหนังสืออยู่ แต่น้องสาวเข้ามาอวดเขาว่าเก็บท่านลุงคนหนึ่งมาได้ เขาไม่เชื่อจึงโผล่หน้าออกมาดู พอมองแวบแรกเขาก็เห็นว่าท่านลุงนักเวทนอนออยู่บนพื้น
เมื่อเขาเดินออกมา อวิ๋นจูก็พูดไม่ออก
จิ่งอวิ๋นจับมือของอวิ๋นจูแล้วบอกว่า “ท่านยายทวด ท่านลุงนักเวทเขาเป็นอะไรไป เขาป่วยใช่หรือไม่”
จักรพรรดิอสูรครางอย่างอ่อนแรงออกมาหนึ่งหน
อวิ๋นจูอยากจะพองขนยิ่งนัก!
“ท่านลุงนักเวททรมานมากใช่หรือไม่ขอรับ” จิ่งอวิ๋นย่อตัวลงไปจับหน้าผากของจักรพรรดิอสูร
หน้าผากของจักรพรรดิอสูรที่แต่เดิมเย็นเฉียบร้อนผ่าวทะลุปรอทด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ!
จิ่งอวิ๋นจับปุ๊บก็เริ่มกังวลอย่างอดไม่ได้ “ท่านยายทวด เขาตัวร้อนมากเลยขอรับ เขาต้องป่วยหนักแน่”
อวิ๋นจูโกรธจะตายแล้ว โกรธจะตายแล้ว โกรธจะตายแล้ว…
หากจะถามว่าอวิ๋นจูใจอ่อนกับผู้ใดที่สุด แน่นอนย่อมต้องเป็นจิ่งอวิ๋นตัวน้อยผู้ถูกน้องสาวแย่งความสนใจไปตลอดเวลา
เมื่อเผชิญหน้ากับแววตาไร้เดียงสาแฝงแววอ้อนวอนของจิ่งอวิ๋น ในที่สุด ‘คนป่วยหนัก’ ก็ไม่ถูกส่งตัวออกไป
ทว่านี่ไม่ได้หมายความว่าอวิ๋นจูตั้งใจจะให้เขาอยู่ต่อจริงๆ
อวิ๋นจูบอกกับจิ่งอวิ๋นว่า “ท่านลุงนักเวทต้องกลับบ้านแล้ว ค้างหนึ่งคืน พออาการป่วยหายดี วันพรุ่งนี้ก็ต้องไป”
จิ่งอวิ๋นขานตอบ “ขอรับ”
แน่นอนว่าท่านจักรพรรดิอสูรไม่ ‘หายดี’ ง่ายดายถึงเพียงนั้น
วันที่หนึ่ง ไข้สูง
วันที่สอง ไข้สูง
วันที่สาม ไข้สูง
วันที่สี่ นอกจากไข้สูงแล้วยังมีอาการไอกับตุ่มแดงขึ้นตามตัวอีกด้วย
ทุกวันตอนที่อวิ๋นจูรีบมาไล่คนออกจากจวน นางก็จะพบจิ่งอวิ๋นปรากฏตัวอยู่หน้าเตียงของจักรพรรดิอสูรเช้ากว่านางทุกครั้ง มือน้อยอันนุ่มนิ่มของจิ่งอวิ๋นถือถ้วยยาสีดำปิ๊ดปี๋ถ้วยหนึ่ง เป่าแล้วป้อนจักรพรรดิอสูรทีละช้อน
จักรพรรดิอสูรถูกความขมของยาทำเอาตาเหลือก!
[1]เหลยเฟิง นายทหารแห่งกองทัพปลดปล่อยประชาชนซึ่งต่อมาถูกนำมายกย่องเป็นต้นแบบของการใช้ชีวิตอย่างมีคุณธรรม