หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 42-2 อุบายของจักรพรรดิอสูร (1)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 42-2 อุบายของจักรพรรดิอสูร (1)
ตอนที่ 42-2 อุบายของจักรพรรดิอสูร (1)
อวิ๋นจูเดินเข้าไปในห้อง
เขารีบหยุดเหลือกตา จากนั้นนอนลงกับเตียงอย่างว่าง่ายแล้วเริ่มครางอย่างไร้เรี่ยวแรง
เขายกมือทำท่าคล้ายอยากจะลูบศีรษะเด็กน้อยที่รู้ความและจิตใจดีคนนี้ แต่ยกมือขึ้นไปลูบศีรษะของจิ่งอวิ๋นไม่ทันถึง แขนก็ตกลงมาอย่างอ่อนแรงเสียก่อน
จิ่งอวิ๋นหันกลับมา “ท่านยายทวด เขายังไม่ดีขึ้นเลย เขาคงต้องพักรักษาตัวอีกหลายวันนะขอรับ”
อวิ๋นจูเริ่มอยากฆ่าคนขึ้นมาแล้ว!
อวิ๋นจูคิดในใจว่าไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่ให้เขาอยู่ที่จวนอ๋องต่อแล้ว อวิ๋นจูเรียกเฉียวเวยมาให้นางพาเด็กน้อยทั้งสองคนไปซื้อของที่ตลาด ไปซื้ออะไรมาก็ได้ ที่สำคัญก็คือก่อนฟ้ามืดอย่ากลับมา!
เฉียวเวยชักช้าร่ำไรอยู่พักใหญ่จนเห็นแววตาอยากจะกินหัวตนเองของอวิ๋นจู นางจึงจูงมือเด็กน้อยทั้งสองคนขึ้นรถม้าไปอย่างอืดอาด
เฉียวเวยกระแอม “อ้อ ดูเหมือนข้าจะลืม…”
“ยังไม่ไปอีก!”
อวิ๋นจูตวาดเสียงเหี้ยม เฉียวเวยตัวสั่นเทาปล่อยม่านลงแล้วให้สารถีขับรถม้าแล่นจากไป
คิดไม่ถึงว่ารถม้าแล่นบดถนนยังไม่ทันเลี้ยววนถึงสองรอบ รถม้าอีกคันก็แล่นเข้ามาประจันหน้าขวางทางของเฉียวเวยเอาไว้
เฉียวเวยเลิกม่านเปิดอย่างเชื่องช้า นางมองลอดช่องผ้าม่านขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กออกไปเห็นยิ่นอ๋องเดินอย่างสุขุมลงมาจากรถม้าฝั่งตรงข้ามกับตนเอง
เฉียวเวยให้เด็กๆ รออย่างเป็นเด็กดีอยู่บนรถ ส่วนตนเองเดินลงจากรถม้าไปหายิ่นอ๋อง แล้วถามเสียงเรียบเฉย “ท่านอ๋องมาที่นี่ทำอันใดอีก มาเยี่ยมท่านน้าอีกหรือ”
ยิ่นอ๋องแค่นเสียงหยัน “หนนี้ข้านำข่าวมาบอกพวกเจ้า”
เฉียวเวยยิ้มจางๆ “ท่านอย่าบอกเชียวว่าบิดาของท่านเลิกเก็บตัวฝึกวิชาแล้ว เรื่องนี้พวกเรารู้แล้ว ไม่ต้องให้ท่านอุตส่าห์เดินทางมาแจ้งหรอก”
ยิ่นอ๋องเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้น ข้าจะมาบอกเรื่ององค์หญิงเจาหมิง”
แววตาของเฉียวเวยสั่นไหว
ยิ่นอ๋องเห็นสีหน้าของนางทุกประการ ริมฝีปากจึงผุดรอยยิ้มหยันขึ้นมา “ยังมีของที่เจ้าใส่ใจอยู่สินะ”
เฉียวเวยหันไปมองเขาแล้วบอกว่า “เจ้าอย่าเป็นคนถ่อยได้ใจไปนัก คิดจะข่มขู่อะไรพวกข้าอีกก็รีบพูดมาเสียเถิด”
ยิ่นอ๋องมุ่นคิ้ว “ข่มขู่ ในสายตาเจ้าข้าเป็นคนเป็นคนถ่อยต่ำช้าเช่นนั้นหรือ”
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “แน่นอนว่าไม่ใช่”
ยิ่นอ๋องแค่นเสียงดังเหอะอย่างพึงพอใจ
ทว่าเฉียวเวยกลับเอ่ยต่อว่า “เจ้าหน้าไม่อายกว่าคนถ่อยต่ำช้าพวกนั้นอยู่นิดหน่อย”
“เฉียวซื่อ!” ยิ่นอ๋องหน้าทะมึนทันควัน
เฉียวเวยจ้องเขาอย่างไร้ความหวั่นเกรง
ยิ่นอ๋องสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งกดอารมณ์ที่พลุ่งพล่านเพราะเฉียวเวยยั่วโมโหลงไป ทุกครั้งที่พบผู้หญิงคนนี้ต้องถูกยั่วโมโหจนจะเป็นจะตาย ไม่รู้จริงๆ ว่าชาติก่อนเขาไปติดค้างอะไรนางไว้
ยิ่นอ๋องส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้เฉียวเวยจากนั้นเอ่ยว่า “หนนี้ข้ามาเป็นตัวแทนลัทธิศักดิ์สิทธิ์เพื่อส่งสาส์นให้พวกเจ้า หากพวกเจ้าต้องการร่างขององค์หญิงเจาหมิงกลับคืน สามวันให้หลังจงเดินทางมายังลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ข้าจะรอต้อนรับพวกเจ้าอยู่ที่นั่น”
เฉียวเวยรับสาส์นมาปัดเบาๆ แล้วว่า “รอต้อนรับ น่ากลัวว่าจะเป็นเหมือนงานเลี้ยงต้อนรับที่ประตูหงเหมิน[1]สินะ” โ
ยิ่นอ๋องเหยียดหยัน “ไม่กล้ามาก็ช่างเถิด ข้ารู้ว่าพวกเจ้าต้องการใช้กำลังบุกมาแย่ง แต่หากพวกเจ้าคิดว่ามีจักรพรรดิอสูรเพิ่มมาคนหนึ่งแล้วจะแย่งชิงองค์หญิงเจาหมิงกลับไปได้อย่างปลอดภัย พวกเจ้าก็ไร้เดียงสาเกินไปแล้ว”
เฉียวเวยตวัดสายตามองเขาอย่างเย็นชา เขาหัวเราะหยันแล้วหันหลังกลับขึ้นรถม้าไป
เฉียวเวยอ่านภาษาเยี่ยหลัวไม่ออก นางจึงถือสาส์นกลับไปที่จวน แล้วให้เยี่ยนเฟยเจวี๋ยพาเด็กน้อยทั้งสองคนไปเดินเล่นที่ตลาดแทน
อวิ๋นจูอยู่ในห้องของฟู่เสวี่ยเยียน เฉียวเวยมอบสาส์นให้ทั้งสองคนดู หลังอ่านจบสีหน้าของทั้งสองคนก็แปรเปลี่ยนไปมา
เฉียวเวยมองทั้งสองคนอย่างประหลาดใจแล้วถามว่า “เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ บนสาส์นเขียนอะไรไว้หรือ”
ฟู่เสวี่ยเยียนวางสาส์นลงบนโต๊ะ แล้วบอกว่า “นี่ไม่ใช่สาส์นเชิญ แต่เป็นสาส์นท้ารบ”
เฉียวเวยแววตาเย็นชาขึ้นมาทันควัน “ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ส่งสาส์นท้ารบมาให้พวกกเราหรือ”
ฟู่เสวี่ยเยียนพยักหน้า “ถูกต้องแล้ว ในนี้เขียนไว้ว่าสามวันให้หลังที่แท่นบวงสรวงของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ขอท้ารบกับพวกเรา หากพวกเราชนะจะคืนศพขององค์หญิงเจาหมิงให้พวกเรา แต่หากพวกเราพ่ายแพ้ต้องคืนธนูจันทร์โลหิตให้พวกเขา”
เฉียวเวยหรี่ตา “พวกเขาจะทำสงครามใหญ่ขนาดนี้เพื่อธนูจันทร์โลหิตสองคันหรือ เหตุใดจึงดูเหมือนมีกลิ่นอะไรแปลกๆ”
ฟู่เสวี่ยเยียนตอบว่า “ยังมีกระบี่โหราจารย์กับกริชเฟิ่นเทียนด้วย”
กุญแจทั้งหมดที่จะเข้าไปในพระราชวัง
เจ้าพวกสารเลวกลุ่มนี้ยังไม่ถอดใจจากพระราชวังอีกหรือ
เฉียวเวยลูบปลายคาง “สู้ตัวต่อตัวหรือว่าสู้เป็นกลุ่มเล่า”
“หืม” ฟู่เสวี่ยเยียนงุนงงวูบหนึ่ง แต่ไม่นานก็เข้าใจเจตนาของเฉียวเวยอย่างรวดเร็ว นางอธิบายว่า “ลัทธิศักดิ์สิทธิ์จะส่งทีละคนออกมาประลอง ห้ารอบชนะสาม”
เฉียวเวยชูนิ้วขึ้นมา “ถ้าเช่นนั้นก็คือ…ห้าต่อห้าสินะ”
“ก็ไม่ใช่” ฟู่เสวี่ยเยียนอธิบายสิ่งที่เขียนอยู่ในสาส์นท้ารบให้เฉียวเวยฟังอย่างละเอียด สรุปคร่าวๆ คือเหมือนกับที่ตระกูลจีประลองกับตำหนักราชครูเมื่อหนนั้น
การประลองแบ่งออกเป็นทั้งหมดห้าวัน แต่ละวันไม่จำกัดจำนวนครั้ง แต่ฝั่งไหนได้ชัยชนะสามรอบในวันนั้นก่อน ผู้นั้นก็ได้ชัยชนะของวันนั้นไป
คนที่ออกมาสู้ หากชนะก็สามารถสู้ต่อได้ตลอด แต่เฉพาะวันนั้นเท่านั้น
ในการประลองวันถัดไป ผู้ที่เคยออกมาสู้จะออกมาประลองอีกไม่ได้แล้ว ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
เฉียวเวยเข้าใจทันที “ข้าเข้าใจแล้ว นี่คล้ายกับการประลองรักษาตำแหน่งเจ้าเวที พวกเราเพียงต้องส่งยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดสามคนออกไป แบ่งกันเฝ้าเวทีประลองสามวัน พวกเราก็จะชนะ”
ฟู่เสวี่ยเยียนขานอืมตอบคำหนึ่งแล้วว่า “ก็ประมาณนั้น”
ยอดฝีมือสามคนนี้คือใครยังต้องพูดอีกหรือ
จักรพรรดิอสูรที่แอบฟังอยู่ริมกำแพงใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้จีบเป็นรูปหัวใจส่งมาให้
เฉียวเวยกับฟู่เสวี่ยเยียนหันขวับไปมองอวิ๋นจู
อวิ๋นจูไม่พูดจาอยู่เนิ่นนาน
เฉียวเวยไม่เชื่อว่านางไม่อยากได้ร่างของลูกสาวกลับคืนมา แล้วยิ่งไม่เชื่อว่านางไม่กล้ารับสาส์นท้าสู้ของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ “ท่านยาย ท่านกำลังกังวลใจอันใดอยู่หรือ กังวลว่าจักรพรรดิอสูรจะสู้แพ้อวิ๋นซู่หรือไร”
อวิ๋นจูส่ายหน้า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงไม่เคยไปแตะศพของเจาหมิง”
เฉียวเวยครุ่นคิด แล้วตอบว่า “เพราะ…โลงศพหยกเป็นกลไกหนึ่งที่สะกดจักรพรรดิอสูรอสูรไว้หรือ”
อวิ๋นจูพึมพำ “ทั่วทั้งเกาะอิ๋นหูถูกวางค่ายกลเอาไว้ ทุกคนต่างคิดว่าโลงศพหยกคือดวงตาค่ายกล ทว่าไม่มีผู้ใดรู้ว่าดวงตาค่ายกลที่แท้จริง…คือร่างทายาทผู้ใช้ไสยเวทของเจาหมิง”
เหนือกว่าปรมาจารย์ไสยเวทคือราชันไสยเวท
ตระกูลอวิ๋นเป็นทายาทของราชันไสยเวท
อาจารย์ของบรรพบุรุษโหราจารย์กับบรรพบุรุษราชครูเมื่อในอดีตก็คือราชันไสยเวทรุ่นแรก
เพียงแต่ว่าเมื่อทายาทสืบสายเลือดต่อกันมาแต่ละรุ่น สายเลือดราชันไสยเวทในร่างคนตระกูลอวิ๋นก็เจือจางลงอย่างยิ่ง ไม่ใช่ว่าผู้ใดก็จะปลุกความสามารถขึ้นมาได้ ในอดีตที่จักรพรรดิอสูรโมโหจนฝึกตนเองกลายเป็นนักรบมรณะก็เพราะว่าปลุกความสามารถขึ้นมาไม่ได้
เขาต้องการกลายเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าราชันไสยเวท แต่คิดไม่ถึงว่าเดินพลาดก้าวแรก ก็จะเดินพลาดก้าวต่อไปเรื่อยๆ จนหมากล้มทั้งกระดาน
เฉียวเวยถอนหายใจด้วยความเสียดาย ความรู้สึกไม่ยินยอม สิ่งนี้ทำร้ายผู้คนมาเท่าใดแล้ว!
ความจริงต่อให้เก่งกาจกว่าราชันไสยเวทแล้วอย่างไรเล่า เหนือสายธารวสันต์ยังมีสายน้ำเชี่ยวกราก เหนือภูเขายังมีขุนเขา บนโลกใบนี้มีผู้ใดแข็งแกร่งที่สุดตลอดกาลบ้าง ขอเพียงรู้จักปลง รู้จักพอใจ ชีวิตก็เท่ากับชนะแล้ว
ดูจากท่าทางที่เขาปฏิบัติต่ออวิ๋นจูในวันนี้ ตอนที่เขายังมีสติแจ่มชัดอยู่เขาคงเคยนึกเสียใจเมื่อสายมาแล้วแน่
หากให้ท่านผู้เฒ่าเลือกอีกครั้ง เขาคงไม่ดันทุรังเช่นนี้แล้วกระมัง
เฉียวเวยหยุดชะงักครู่หนึ่งแล้วบอกว่า “ท่านยาย ตอบรับสาส์นท้ารบของพวกเขาเถิด แต่พวกเราต้องเพิ่มเงื่อนไขข้อหนึ่งลงไปด้วย…ให้พวกเขาเอาลัทธิศักดิ์สิทธิ์มาเดิมพัน! หากพวกเราพ่ายแพ้ จะจับไปต้มยำทำแกงก็แล้วแต่พวกเขา แต่หากพวกเราชนะ ให้พวกเขาคืนลัทธิศักดิ์สิทธิ์มาเสีย!”
แต่เดิมลัทธิศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นของตระกูลอวิ๋น เอามันกลับคืนมา เจาหมิงก็ได้กลับบ้านแล้ว
…
อวิ๋นจูเห็นด้วยกับข้อเสนอของเฉียวเวย วันนั้นเยี่ยนเฟยเจวี๋ยเดินทางไปยังลัทธิศักดิ์สิทธิ์ในฐานะทูตผู้ส่งสารอย่างสง่าผ่าเผย เขานำสาส์นท้ารบที่เพิ่งเขียนขึ้นใหม่จากทางฝั่งพวกเขาไปมอบให้ยิ่นอ๋อง
หลังจากยิ่นอ๋องอ่านจบก็ตอบรับเงื่อนไขของพวกเขาอย่างฉับไวอย่างยิ่ง
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถามอย่างขบขัน “ท่านจะไม่ขอความเห็นของเจ้าลัทธิผู้เป็นบิดาของท่านคนนั้นหน่อยหรือ หากหนนี้พวกท่านพ่ายแพ้ขึ้นมา เขาจะมาเบี้ยวเดิมพันไม่ได้นะ…”
ยิ่นอ๋องตอบอย่างเย็นชา “เรื่องนี้เจ้าวางใจได้ ความตั้งใจของข้าก็คือความตั้งใจของเจ้าลัทธิ แต่ข้าก็ขอเตือนพวกเจ้า หากพวกเจ้าพ่ายแพ้ขึ้นมาจริงๆ ข้าจะไม่ยั้งมือไว้ไมตรีหรอกนะ!”
มีจักรพรรดิอสูรอยู่ ข้าต้องกลัวเจ้าหรือ
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหัวเราะหยัน แล้วหมุนตัวเดินลงจากเขาไป
การประลองจะจัดขึ้นสามวันให้หลัง ราชันอสูรย่อมต้องออกศึกแน่ เฉียวเวยไม่คิดว่าราชันอสูรจะต้องต่อสู้กับอวิ๋นซู่ แต่รานีอสูรก็ดูแคลนไม่ได้เช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อลัทธิศักดิ์สิทธิ์มีสิ่งที่ซ่อนอยู่มากมายนัก ไม่มีผู้ใดรู้ว่าพวกเขามีนักเวทศักดิ์สิทธิ์ที่เก่งกาจคนที่สองอยู่อีกหรือไม่
แต่ฝั่งพวกเขามียาพิษที่กงซุนฉางหลีมอบให้อยู่
เฉียวเวยสงสัยยิ่งนักว่าเจ้าหมอนี่อาจจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าลัทธิศักดิ์สิทธิ์จะประกาศท้ารบกับพวกเขา เขาถึงส่งยาพิษเม็ดหนึ่งมาให้
เฉียวเวยมอบยาพิษให้กับราชันอสูร
ราชันอสูรรับยาพิษไปแล้วไปเก็บตัวฝึกวิชา
นี่เป็นเพียงยาพิษระดับธรรมดาเท่านั้น เทียบกับยาพิษจากร่างหยินบริสุทธิ์ไม่ได้ รานีอสูรได้ยาพิษวันละเม็ดยังไม่เห็นว่าจะเลื่อนขั้นได้รวดเร็วนักหนา ดังนั้นหลังจากราชันอสูรกินยาพิษเข้าไปก็คงทำให้พลังแข็งแกร่งได้อีกนิดหน่อยเท่านั้น หากจะเอ่ยถึงการเลื่อนขั้นคงเป็นไปไม่ได้นัก
ทว่าสามวันต่อมาเมื่อราชันอสูรเลิกเก็บตัว เขากลับกระโดดจากช่วงต้นของขั้นหกไปถึงขีดสูงสุดของขั้นเจ็ด
ทุกคนตกตะลึงจริงๆ!
ยาพิษเม็ดเดียวก็ได้ผลลัพธ์เช่นนี้แล้ว ไม่อยากจะจินตนาการเลยว่าหากทุกวันได้กินวันละเม็ดเขาจะร้ายกาจถึงระดับใด
แน่นอนว่าพลังเพียงเท่านี้ยามอยู่ต่อหน้าจักรพรรดิอสูรก็ยังไม่มีค่าให้ชายตาแลอยู่ดี
จักรพรรดิอสูรหนังตาไม่กระตุกสักนิดขณะที่ยื่นมือออกมาช้าๆ
ราชันอสูรทำหน้าเหมือนคนถูกรังแก พลางส่งถั่วเคลือบน้ำตาลสองถุงที่เฉียวเวยอุตส่าห์ให้เป็นรางวัลไปให้
[1]งานเลี้ยงต้อนรับที่ประตูหงเหมิน สมัยปลายราชวงศ์ฉิน เซี่ยงอวี่กับหลิวปังเป็นผู้นำของกองทัพโค่นล้มราชวงศ์ฉิน หลังจากที่พวกเขาบุกเข้าเมืองหลวงจับตัวทายาทของจักรพรรดิมาได้สำเร็จ เซี่ยงอวี่ก็ใช้อุบายจัดงานเลี้ยงที่ประตูหงเหมินเพื่อหาทางลอบสังหารหลิวปัง แย่งชิงใต้หล้ามาไว้ในมือตนเอง แต่หลิวปังกับพรรคพวกใช้ไหวพริบแก้สถานการณ์หนีรอดไปได้ ดังนั้นต่อมางานเลี้ยงประตูหงเหมินจึงหมายถึงงานเลี้ยงที่ต้องการทำร้ายแขกที่มาร่วมงาน